บทที่ 270 รวมพลเทวดา
บทที่ 270 รวมพลเทวดา
“นั่นมันคืออะไรกัน?”
“น่าขยะแขยงชะมัด”
บางคนอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
เพราะพวกเขารู้สึกเหมือนว่าเนตรทรราชชั่วร้ายนั้นได้กลืนกินเนตรทรราชชั่วร้ายอีกตัวเข้าไปทางตา โดยที่ยังย่อยไม่เสร็จ
หลี่หวู่หยวนรองเจ้าสำนักสำนักเฉียนหลงถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นฉากนี้ จากนั้นปากของเขาก็ยิ้มด้วยความชื่นชม “น่าสนใจจริง ๆ ที่มันสามารถรวมเข้ากันได้ด้วยวิธีแบบนี้”
ใช่แล้ว เนตรทรราชชั่วร้ายทั้งสองรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
พลังในแก่นวิญญาณของมันนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า และพลังทำลายล้างของตัวมันที่หลอมรวมเข้าด้วยกันนั้นก็มากกว่าการมีสองตัวอย่างมาก
และแล้วดวงตาของมันก็ค่อย ๆ เปิดขึ้น
ตอนนี้เนตรทรราชชั่วร้ายร้ายได้กลายเป็นดั่งทรราชเหมือนชื่อของมัน ลมปราณของมันรุนแรงมากจนดูเหมือนจะฉีกธาตุอากาศออกเป็นชิ้น ๆ พลังของมันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าระดับทองขั้นสูง
ใบหน้าเฉยเมยของเอ๋าหยู่ ในที่สุดก็มีความผันผวน นี่คือไพ่ตายที่เขาและเอ๋าเฉา ศึกษาด้วยกันมาช้านาน
เนตรทรราชชั่วร้ายตาสองสี
เนื่องจากสองพี่น้องตระกูลเอ๋าเกิดมาพร้อมกับนัยน์ตาสองข้างที่แตกต่างกันพวกเขามีสภาพร่างกายที่เข้ากันได้ดีกับเนตรทรราชชั่วร้าย นอกจากนี้พันธสัญญาของพวกเขาทั้งคู่เองก็มีลักษณะพลังวิญญาณที่คล้ายคลึงกันมาก
ทั่วทั้งโลกคงจะมีเพียงสองพี่น้องตระกูลเอ๋าเท่านั้นที่จะสามารถทำอะไรแบบนี้ได้
“รู้สึกเป็นเกียรติซะเถอะ เจ้าเป็นคนแรกในโลกที่ได้เห็นถึงพลังที่แท้จริงของเนตรทรราชชั่วร้ายตาสองสี” ดวงตาของเอ๋าหยู่เผยให้เห็นความบ้าคลั่ง
เมื่อได้ครอบครองพลังอันแข็งแกร่ง ความยับยั้งชั่งใจก็ไม่มีอีกต่อไป
แมกม่าร้อนเขาก็สามารถทำให้มันกลายเป็นไอน้ำได้
เขามีพลังแห่งความมืดมิดอันชั่วร้ายเพียงพอที่จะสามารถกลืนกินแสงสว่างทั้งหมด
ลั่วอู๋ที่ลงทุนแต้มเซียนทั้งหมดยกระดับมิติวิญญาณของตวนซีไปสู่ระดับทอง มิติ 5 เพื่อพลังของภูตสงครามระดับทอง มิติ 5 ดูเหมือนจะไร้พลังไปเลยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดตรงหน้าเขา
ช่างเป็นความสุขของเอ๋าหยู่เสียจริง!
ลั่วอู๋ตะโกน “ข้าขอประท้วง นี่นับเป็นการยืมกำลังคนอื่นชัด ๆ นี่มันผิดกฎกติกาของเวทีการประลองแล้ว ข้าอยากตัดสินให้เขาแพ้!”
อาจารย์พิเศษที่รับผิดชอบในการประลองรู้สึกสับสน
นี่มันถือเป็นการละเมิดกฎรึเปล่า?
ขณะนั้นเสียงที่ดูใจดีของรองเจ้าสำนักาก็ได้แพร่กระจายไปทั่วส่วนผู้ชม “เอ๋าหยู่ อยู่ในสภาพของการผสานพลังวิญญาณระหว่างผู้ใช้พลังวิญญาณและสัตว์วิญญาณและสามารถควบคุมพลังของเนตรทรราชชั่วร้ายตาสองสีได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่ผิดกฎการประลอง”
เหตุผลนั้นง่าย ๆ เลย
เขาสามารถควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ มันจึงถือเป็นของเขา แม้ว่าเดิมทีมันจะเป็นสัตว์วิญญาณที่คนอื่นให้ยืมมาแต่ถ้าเขาควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์มันก็ถือว่าไม่ผิดกฎการประลอง
มันเหมือนกับการยืมดาบเหล็กธรรมดามาจากคนอื่น หากสามารถควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ มันไม่ผิดกฎการประลอง
หากยืมดาบอันแข็งแกร่งระดับที่ไม่มีใครเทียบได้มาจากคนอื่น และดาบนั้นมีพลังวิญญาณขัดขืนไม่ถือว่าคนใช้เป็นเจ้านาย แม้ว่าจะพอยืมพลังของดาบมาได้ แต่ก็ถือว่าผิดกฎการประลอง
เมื่อข้อสรุปเป็นเช่นนี้ลั่วอู๋ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหุบปาก
เนื่องจากรองเจ้าสำนักเป็นคนออกปากเอง จึงสรุปได้ว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ละเมิดกฎแต่อย่างใด
“สกปรกที่สุด” หลี่หยินตะโกน
อย่างไรก็ตามไม่มีใครตอบกลับ
เอ๋าหยู่ร้อง “ตายซะ”
ดวงตาอันน่ากลัวของเนตรทรราชชั่วร้ายตาสองสีหมุนเล็กน้อยราวกับเครื่องจักรเผยให้เห็นถึงพลังวิญญาณอันแปลกประหลาดและลึกลับ
ทันใดนั้นดวงตาทั้งภายในและภายนอกของมันก็จับจ้องไปที่ลั่วอู๋พร้อม ๆ กัน
แสงสว่างค่อย ๆ จางหายไป
ลั่วอู๋รู้สึกว่าเขากำลังถูกดูดพลังวิญญาณธาตุแสงไป
เปิดใช้ทักษะระดับ SS [การทำลายล้างสูงสุด]
นี่คือไพ่ใบสุดท้ายของสองพี่น้องตระกูลเอ๋า พวกเขาเชี่ยวชาญทักษะนี้ถึงระดับที่สูงกว่า ความเชี่ยวชาญของฉูจงฉวนในทักษะ [อัญเชิญเทพเพลิง] ของเขาเสียอีก
อย่างน้อยสองพี่น้องตระกูลเอ๋าก็น่าจะเชี่ยวชาญมันถึงราว ๆ 40%
กรวดที่พื้นเริ่มลอยขึ้น
พื้นที่ทั้งหมดดูเหมือนจะไม่สามารถทนต่อการควบคุมแรงโน้มถ่วงของทักษะนี้ได้
พลังลึกลับได้สึกกร่อนพลังวิญญาณในเวทีประลองทั้งหมด หลังจากที่พลังวิญญาณที่ถูกกัดกร่อนก็หายไปจนไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่เช่นเดียวกับสสารทั้งหมดที่กลายเป็นฝุ่นในพริบตา
นี่คือผลของทักษะ การทำลายล้างสูงสุด
ทุกอย่างในขอบเขตของมันได้สูญสิ้น
ผู้ชมทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความเสียใจ
เรื่องมหัศจรรย์ที่ผู้อ่อนแอชนะผู้แข็งแกร่งดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ทุกคนนั้นอดไม่ได้ที่จะรอคอยความมหัศจรรย์ที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้น
หากลั่วอู๋ชนะมันจะถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
การต่อสู้ของลั่วอู๋เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิด ไม่ว่าจะทั้งสัตว์วิญญาณหายากและการควบคุมอันยอดเยี่ยมของเขา น่าเสียดายถึงกระนั้นเขายังสร้างปาฏิหาริย์ไม่ได้
“ ลั่วอู๋ ยอมแพ้เถอะ” ฉูจงฉวนตะโกน
เสียงของเขานั้นถูกถ่ายทอดออกไป แต่มันก็ดูเหมือนว่าจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ขัดขวางเอาไว้อยู่
ไม่มีสิ่งใดเข้าไปในบริเวณการประลองได้แม้แต่เสียง
ทันทีที่คิดได้สีหน้าของอาจารย์พิเศษก็เปลี่ยนไปเขาตะโกนไปทางท่านรองเจ้าสำนัก “ท่านรองเจ้าสำนัก ท่านต้องการหยุดการประลองเดี๋ยวนี้ ไม่งั้นได้เขาได้ตายแน่”
“ ไม่ต้องห่วงไป” รองเจ้าสำนักกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ายังไม่เห็นอีกเหรอว่าลั่วอู๋ไม่ได้มีท่าทีคิดจะยอมจำนนเลยแม้แต่น้อย”
ฝูงชนหันไปมองที่ลั่วอู๋
ใช่แล้ว ใบหน้าของลั่วอู๋บนเวทีนั้นเต็มไปด้วยความหนักแน่น แทนที่จะเป็นความหดหู่ ความผิดหวัง หรือความกลัว เขาดูแน่วแน่
“การต่อสู้ที่สำคัญที่สุดของข้าจะไม่มีทางจบด้วยการยอมแพ้แน่”
ลั่วอู๋หายใจเข้าลึก ๆ
เปิดใช้ทักษะระดับ SS [รวมพลเทวดา]
แสงศักดิ์สิทธิ์สอดส่องลงมาจากท้องฟ้า ทำลายหมอกควันทั้งหมด แต่น่าเสียดายที่มันไม่สามารถสลายความมืดที่หนาทึบนี้ได้
ในแสงสว่างนั้นมีสัตว์วิญญาณโผล่ออกมา
มันมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ที่มีปีกหกปีก ดูมีความอ่อนโยนและมีดวงตาที่ลึกราวกับห้วงทะเล พวกมันถือหนังสือสีทองในมือเหมือนคนฉลาดที่มองสถานการณ์ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง
มันคือภูตแห่งปัญญา
ภูตแห่งปัญญานั้นคือสัตว์วิญญาณที่เป็นดั่งตัวแทนของความรู้ทั้งมวล
นอกจากขึ้นชื่อในเรื่องสติปัญญาแล้ว มันยังเป็นภูตธาตุแสงที่แข็งแกร่งที่สุด
ว่ากันว่าภูตแห่งปัญญาที่ทรงพลังที่สุด สามารถเชี่ยวชาญทักษะได้มากกว่า 30 ทักษะ ถึงจะยังไม่มีข้อพิสูจน์ใด ๆ เลยก็ตาม
อย่างไรก็ตามเนื่องจากลั่วอู๋มีความเชี่ยวชาญทักษะนี้อยู่ในระดับต่ำ เวลาการดำรงอยู่ของภูตแห่งปัญญาจึงสั้นมาก
“ช่วยข้าจัดการทักษะนี้ที” ลั่วอู๋รีบพูดในสิ่งที่เขาต้องการ
ภูตแห่งปัญญาพยักหน้า
หนังสือทองคำในมือของเขาลอยขึ้นช้า ๆ ทันใดนั้นโล่แสงขนาดใหญ่เจ็ดอันก็ตกลงรอบ ๆ ร่างของลั่วอู๋เพื่อต้านทานพลังอันรุนแรงของการทำลายล้างสูงสุด
ทักษะระดับ S [โล่แสงศักดิ์สิทธิ์]
“รวมพลเทวดา! หนึ่งในทักษะประเภทอัญเชิญที่ทรงพลังที่สุด มันเป็นทักษะของภูตสงคราม
ชาติก่อนลั่วอู๋เคยช่วยโลกไว้รึไง เขาถึงได้โชคถึงขนาดมีทักษะระดับนี้ในภูตสงครามของเขา”
“ภูตแห่งปัญญาที่มีพลังต่อสู้ 100%! น่าอิจฉาชะมัด”
มีเสียงครวญครางดังออกมาจากรอบนอก
แม้แต่อาจารย์พิเศษหลายคนก็ยังรู้สึกอิจฉาลั่วอู๋
แต่เพียงแค่เท่านั้นมันยังไม่จบ ภูตแห่งปัญญากำลังใช้ทักษะของมันอย่างรวดเร็ว ในแง่ของการร่ายทักษะนั้น ภูตแห่งปัญญาสามารถร่ายได้เร็วที่สุดในบรรดาสัตว์วิญญาณประเภทภูตทั้งหมด
ทักษะระดับ A [การล่าถอยแห่งความมืด]
ทักษะระดับ S [บทสวดสวรรค์]
ทักษะระดับ S [ถ้อยคำแห่งเทพเจ้า]
ทักษะระดับ S [แสงแห่งวันพิพากษา]
ทักษะระดับ S? [อักขระ]
ทักษะทั้งห้าถูกร่ายออกมาในเวลาเดียวกันปกคลุมไปทั่วร่างของลั่วอู๋ จากนั้นเวลาอัญเชิญก็หมดลงและภูตแห่งปัญญาก็สลายหายไปเป็นแสงเล็ก ๆ นับไม่ถ้วนในทันที
นี่มันเร็วเกินไปแล้วมั้ง ? ลั่วอู๋เสียใจ
อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องยอมรับว่าภูตแห่งปัญญานั้นทรงพลังจริง ๆ เพราะในเวลาอัญเชิญอันแสนสั้น มันสามารถใช้ทักษะพลังวิญญาณมากมายของมันได้ในทันที และมอบการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดให้กับลั่วอู๋ได้ทันเวลา
เมื่อเห็นฉากนี้ใบหน้าของเอ๋าหยู่ก็ดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เนื่องจากพลังของการทำลายล้างสูงสุดนั้นช้ามากและค่อย ๆ ลดลงอยู่ตลอดเวลา หากเขาไม่รีบทำอะไรสักอย่างทักษะนี้ก็จะจบลง
ลั่วอู๋ก้าวไปข้างหน้าในทันที
พลังป้องกันและทำลายล้างเข้าปะทะกันอย่างรุนแรงและเริ่มที่จะหักล้างซึ่งกันและกัน
ลั่วอู๋ผู้ซึ่งได้รับการป้องกันจากภูตแห่งปัญญา ตอนนี้สามารถรับมือกับทักษะของคู่ต่อสู้ ได้อย่างเท่าเทียมทั้งในแง่ของระดับความแข็งแกร่งและระยะเวลา ผลลัพธ์นั้นเริ่มที่จะเด่นชัดขึ้นเรื่อย ๆ
พลังของทักษะการทำลายล้างสูงสุดเริ่มแผ่วลงเรื่อย ๆ
“จบกันสักทีนะ! เอ๋าหยู่” ลั่วอู๋เงื้อดาบระบำแห่งความตายขึ้นแล้วคำราม
เอ๋าหยู่หยุดการร่ายทักษะของเขา
เขารู้ดีว่าต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้ยังไง
“ไอ้ภูตสงครามบัดซบ!” เอ๋าหยู่คำรามขึ้นไปบนฟ้าแล้ววิ่งเข้าใส่ลั่วอู๋ ด้วยความบ้าคลั่งและจิตสังหาร
ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
พลังวิญญาณของทั้งสองเข้าปะทะกันไปมา
แต่ทุกคนล้วนทราบดี ว่าการต่อสู้นั้นกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
และแล้วในจังหวะที่เอ๋าหยู่กำลังสับสนระหว่างการต่อสู้
[ลมหายใจมังกร]
ปากของลั่วอู๋ควบแน่นพลังทำลายล้างและเริ่มปล่อยการโจมตีครั้งสุดท้ายออกมา
เอ๋าหยู่นั้นไม่สามารถต้านทานความเจ็บปวดจากบาดแผลและการโจมตีต่างๆของลั่วอู๋ได้อีกและล้มลงในที่สุด
“ตายซะ!” ลั่วอู๋พร้อมที่จะเสียบดาบระบำแห่งความตายเข้าไปที่อกของอีกฝ่าย
แต่แล้วก็มีเสียงอันแผ่วเบาดังขึ้นมา “หยุดเดี๋ยวนี้”
ดาบของลั่วอู๋ถูกพลังบางอย่างขัดขวางและไม่สามารถแทงลงไปได้อีก