บทที่ 281 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอันดับรายชื่อเฉียนหลง
บทที่ 281 การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอันดับรายชื่อเฉียนหลง
ทั่วทั้งเวทีการประลองตกอยู่ในความเงียบงัน
ในที่สุดก็มีชายคนหนึ่งก็เดินมาข้างหน้า
เขาเป็นลูกหลานของตระกูลผู้มีอำนาจอันยิ่งใหญ่ใน มณฑลหยางหลิง ชื่อหวู่เล่อ
ใบหน้าของหวู่เล่อมีรอยแผลเป็นยาว ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นแผลใหม่ที่เพิ่งตกสะเก็ด
“พี่ชายทั้งสองคน ช่างตรงไปตรงมาเหลือเกิน” หวู่เล่อหัวเราะจากนั้นเขาก็หยิบกระดาษสีขาวหนึ่งแผ่นออกมาเขียนข้อมูลมากมาย
“ข้าเองก็อยากเห็นว่าพี่ชายทั้งสองได้เรียนรู้อะไรมาบ้างจากการทดสอบ ดังนั้นข้าจึงจะให้ข้อมูลเชิงลึกและรายละเอียดที่ข้าสังเกตเห็นมาในระหว่างการทดสอบ”
“ข้านั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ จึงถูกคนจากภูเขาแห้งแล้งทุบตี ข้าได้แต่อดทนกล้ำกลืน เพราะข้าไม่คิดว่าตัวข้าสามารถก้าวไปสู่สิบอันดับแรกได้ แต่อย่างน้อยที่ข้าทำได้ในตอนนี้ก็คือการช่วยพวกท่านลากพวกคนป่าเถื่อนเหล่านั้นออกจากอันดับรายชื่อเฉียนหลง ”
“รายชื่ออันดับเฉียนหลง มันควรจะเป็นรายชื่อของผู้คนในสำนักเฉียนหลงอย่างพวกเรา หากพวกคนป่าเถื่อนเหล่านั้นต้องการมันไป ข้าไม่มีทางยอมให้พวกมันแน่” หวู่เล่อร้องออกมา
หลังจากพูดสิ่งนี้ หวู่เล่อก็นั่งลงด้วยความสบายใจ จากนั้นก็นั่งอ่านประสบการณ์ของลั่วอู๋และฉูจงฉวนอย่างระมัดระวัง
หลังจากนั้นไม่นานใบหน้าของหวู่เล่อก็แสดงให้เห็นถึงความประหลาดใจ “การประเมินความแข็งแกร่ง ระดับห้ามีความลึกลับแบบนี้ด้วยเหรอ? แนะนำให้บีบอัดความแข็งแกร่งเข้าด้วยกัน เรียนรู้ซะ!”
หลังจากนั้นหวู่เล่อก็เดินไปที่ส่วนการทดสอบด้วยความมั่นใจเต็มที่
นักเรียนของสำนักเฉียนหลงนั้นไม่ได้โง่ บางครั้งพวกเขาก็ต้องการเพียงคำแนะนำเล็กน้อย จากนั้นพวกเขาก็จะสามารถรู้แจ้งเข้าใจได้ในทันที
แม้ว่าการทดสอบนี้จะเป็นการทดสอบความแข็งแรงของผู้เข้ารับการทดสอบ แต่มันก็เป็นเพียงการทดสอบรูปแบบหนึ่ง หากผู้เข้ารับการทดสอบรู้วิธีใช้พละกำลังให้ถูกต้องตามแบบที่วางไว้ เขาก็จะได้รับคะแนนมากกว่าแค่คะแนนสำหรับผ่านการทดสอบ
ในไม่ช้าหวู่เล่อก็ผ่านการทดสอบความแข็งแกร่งระดับห้า แล้วเดินออกมา
คะแนนของเขาเพิ่มขึ้นมาอีกเกือบพันคะแนน ไม่ใช่แค่นั้นแต่นิสัยใจคอของเขาเองก็เปลี่ยนไป เขาดูมั่นคงและมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น
นั่นก็เพราะเขาได้เรียนรู้ทักษะการใช้พละกำลังให้ถูกต้องจากการทดสอบ และได้รับความมั่นใจในตนเองอย่างมากจากการที่เขาผ่านมันในทางจิตวิทยา
ฝูงชนเดือดขึ้นมาในทันที
แม้ว่าจะไม่ได้สนใจการชิงอันดับ แต่นี่ก็เป็นเรื่องของผลกำไรและความปลอดภัย
“ข้าขอร่วมด้วย”
“นี่คือประสบการณ์ของข้า ถ้ามีตรงไหนแปลก ๆ เจ้าสามารถค้านเกี่ยวกับมันได้”
“ข้าติดอยู่ที่การทดสอบเจตจำนงระดับสี่มานานแล้ว ข้าผ่านมันไม่ได้ซะที”
ผู้คนต่างเดินเข้ามาเขียนประสบการณ์ของตัวเอง
พวกเขาอาจจะยังไม่สามารถนำข้อมูลที่ได้เรียนรู้และรับรู้เขียนออกมาได้ทั้งหมด แต่นี่เป็นการเริ่มต้นที่ดี
“เอาล่ะ ในเมื่อท่านอาจารย์ออกตัวมาแล้วแบบนี้ ไปกันเถอะพี่สาว น้องสาว พวกเราต้องสนับสนุนท่าน”
สาว ๆ จากกลุ่มแม่มดเองก็ตื่นเต้นที่จะได้เขียนประสบการณ์ของตัวเอง
เพียงครู่เดียว บรรยากาศบนเวทีการประลองนั้นก็มีความสุขขึ้นมาก
พวกเขาจมอยู่กับบรรยากาศอันเป็นมิตรของการสื่อสาร
ผู้คนจำนวนมากออกมาแบ่งข้อมูลอย่างชัดเจน
ใบหน้าของเอ๋าหยู่นั้นดูน่าเกลียดมาก เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าลั่วอู๋จะกล้าทำเรื่องแบบนี้
เขาอยู่ในสิบอันดับแรก
อะไรกันคือข้อดีที่ทำให้เขาทำเช่นนี้?
ข้อมูลเชิงลึกของนักเรียนธรรมดา ๆ เหล่านี้มันจะช่วยเขาได้มากแค่ไหนเชียว?
สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือลั่วอู๋รู้สึกเพียงแค่ว่าบรรยากาศของการสื่อสารและการแบ่งปันนั้นเป็นอะไรที่ดีมาก แม้ว่ามันจะอาจจะทำให้อันดับเขาตก แต่มันก็ไม่ได้สำคัญกับเขาขนาดนั้น
“เป็นอะไรที่ดีจริง ๆ” เหวินเสี่ยวยิ้ม จากนั้นก็เดินไปเขียนประสบการณ์ของตัวเอง
เขาเป็นถึงอันดับสองในการทดสอบ การรับรู้และมีคะแนนเกือบจะเท่ากับคะแนนการประเมินของไห่เซอที่อยู่ในอันดับหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีประโยชน์มาก
เหว่ยเฉิงโฉวลังเลอยู่ครู่หนึ่งและดูเหมือนจะตัดสินใจแล้ว
เขาเรียกพรรคพวกอีกสามคนของตระกูลจี๋อี๋มา
ตระกูลจี๋อี๋มีชื่อเสียงในเรื่องความสุดขั้ว ผู้ใช้พลังวิญญาณทุกคนล้วนใช้สัตว์วิญญาณที่มีลักษณะเดียวกันมุ่งสู่จุดสูงสุดในด้านใดด้านหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น เหว่ยเฉิงโฉวที่เลือกเส้นทางแห่งการป้องกัน เขามีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งจากสัตว์วิญญาณทั้งสามของเขา หมีเกราะ ภูตโล่และเต่ามังกร
ด้วยทักษะการป้องกันทุกชนิดที่เขามี พลังในการป้องกันของเขาสามารถได้ไปถึงจุดสูงสุด ทำให้เขาอาศัยการป้องกันอันแข็งแกร่งนี้ในการเอาชนะ
ส่วนอีกสามคนต่างก็มีรูปแบบที่คล้าย ๆ กัน เพียงแต่เป็นในด้านอื่น ความแข็งแกร่ง ความเร็ว และการควบคุมอันยอดเยี่ยม
พวกเขาต่างก็ได้รับการอันดับสูง ๆ ในการประเมินอย่างใดอย่างหนึ่ง
ตระกูลจี๋อี๋ ทั้งสี่คนได้เขียนประสบการณ์ของตัวเองลงไป ทันใดนั้นพวกเขาก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้เดินมาเข้าร่วม
พวกเขาเริ่มเข้าใจว่ามันตรงไปตรงมาเกินกว่าจะเป็นการหาประโยชน์จากผู้อื่นเพียงอย่างเดียว มันเป็นเพียงการแบ่งบันประสบการณ์ซึ่งกันและกัน
แม้ว่าพวกเขาจะเอาข้อมูลเชิงลึกของตัวเองออกไปให้ผู้อื่นได้รับรู้ แต่คนอื่น ๆ นั้นก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาเชี่ยวชาญได้ง่าย ๆ อยู่ดี กลับกันแล้วในแง่มุมอื่น ๆ พวกเขาจะได้รับการแนะนำเพื่อปรับปรุงทั้งรอบด้าน
มันคุ้มค่ามาก!
เอ๋าหยู่เองก็คิดเช่นนั้น
แน่นอนว่าประสบการณ์ของนักเรียนธรรมดานั้นไร้ประโยชน์ แต่ประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญเช่นตระกูลจี๋อี๋นั้นมีค่ามาก
ต่อให้พวกเขาจะไม่ได้เขียนประสบการณ์ถึงเบื้องลึก แต่มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจในเทคนิคในการเข้ารับการทดสอบ
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขานั้นรู้สึกอับอายจริง ๆ
เมื่อกี้เขาเพิ่งจะล้อเลียนลั่วอู๋ไป แต่ตอนนี้เขากลับต้องมาตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของเขาอย่างนั้นเหรอ?
“มันไม่มีอะไรน่าทึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อย” เอ๋าหยู่ยังคงปากแข็ง เขาหันหลังแล้วเดินจากไป
ลั่วอู๋ขี้เกียจเสียเวลาไปคุยกับเขา
ด้วยที่มีข้อมูลการทดสอบจำนวนมากอยู่ต่อหน้าเขา เขาจึงตั้งใจต้องอ่านพิจารณามันให้ดี
ลั่วอู๋นั้นไม่ได้เขียนประสบการณ์ในการทดสอบการปรับแต่งพลังวิญญาณลงไป เพราะว่าทุกคนต่างก็มีความเชี่ยวชาญในวิชาลับที่แตกต่างกัน และจะต้องเจอกับปัญหาที่แตกต่างกันไปตามวิชาการปรับแต่งของตนเอง ทำให้ประสบการณ์ในการทดสอบปรับแต่งพลังวิญญาณของเขานั้นแทบจะไม่มีความหมาย
หลังจากได้สื่อสารกัน ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ผู้คนจำนวนมากเริ่มกลับไปรับการทดสอบตรวจสอบแก้มือกันอีกรอบ และตามที่คาดไว้พวกเขาทั้งหมดได้รับคะแนนการประเมินเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด
หากปรับปรุงความสามารถในทุก ๆ ด้านเพียงเล็กน้อย คะแนนโดยรวมก็จะสูงขึ้นมาก
“นี่เป็นข้อเสนอที่ดีมากเลยล่ะ” เหว่ยเฉิงโฉวเดินมาหาลั่วอู๋ และถอนหายใจ “คนจากภูเขาแห้งแล้งทำแบบนี้กันมานานแล้ว พวกเขาจึงเขี่ยพวกเราออกจากรายชื่ออันดับต้น ๆ ได้ กลับกันแล้วพวกเราไม่มีใครยอมแบ่งปันข้อมูลกันเลย สาเหตุที่เราพ่ายแพ้ในตอนแรกเป็นเพราะพวกเราเห็นแก่ตัวมากกว่าพวกเขางั้นเหรอเนี่ย?”
ลั่วอู๋ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม “ไม่หรอก มันไม่ง่ายเลยที่คนเราจะฝืนธรรมชาติโดยการไม่คิดถึงตัวเองเป็นหลัก มันไม่เกี่ยวอะไรกับความเห็นแก่ตัวหรอก นอกจากนี้สุดท้ายแล้วทุกคนก็ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเองใช่ไหมล่ะ”
เหว่ยเฉิงโฉวกล่าว “แต่เจ้าก็ไม่ได้เห็นแก่ตัวไม่ใช่เหรอ ?”
“ข้าเองก็ได้สิ่งที่ต้องการมาแล้วเช่นกัน” ลั่วอู๋โบกกระดาษแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่เหรอ?”
การแสดงออกของเหวินเสี่ยวขยับราวกับว่าเขากำลังคิดอะไรบางอย่าง จากนั้นเขาก็ตรวจดูอันดับรายชื่อแล้วมองไปที่อันดับหนึ่งในอันดับรายชื่อเฉียนหลง
อา
เขาส่ายหัวไปมาอย่างไม่แน่ใจแล้วเดินจากไป
ผลการจัดอันดับล่าสุดออกมาแล้ว
เหวินเสี่ยวขึ้นกลับไปสู่สิบอันดับแรก คนจากตระกูลจี๋อี๋ผู้ถนัดในด้านความเร็วและ คนชื่อเทียนเจียวผู้มาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิ เองก็พุ่งขึ้นสู่สิบอันดับแรก
มีห้าคนจากสำนักเฉียงหลงที่ได้ขึ้นไปสู่สิบอันดับแรกของอันดับรายชื่อเฉียนหลง
อย่างไรก็ตามสามอันดับแรกนั้นก็ยังคงเป็นคนจากอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง ยอดฝีมือของภูเขาแห้งแล้งนั้นทรงพลังจริง ๆ
น่าเสียดายที่ฉูจงฉวนอยู่ในอันดับที่ 11
“ถ้าข้ามีสัตว์วิญญาณตัวที่สามนะ !!!” เสียงของฉูจงฉวนเต็มไปด้วยความแค้น
ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพื่อการชิงอันดับเฉียนหลงข้าว่าเจ้าคงต้องหาสัตว์วิญญาณระดับทองขั้นสูงมาแก้ขัดแล้วละมั้ง?”
“ไม่ ไม่มีทาง” ฉูจงฉวนพูดอย่างแน่วแน่ “ข้าเป็นคนมีหลักการ ข้าจะมีเพียงแค่สัตว์วิญญาณที่สวยงามที่สุด แม้ว่าข้าจะได้เป็นอันดับหนึ่ง แต่ถ้าสัตว์วิญญาณของข้าไม่ใช่สาวงามมันจะไปมีความหมายอะไร?”
ลั่วอู๋กลอกตาของเขาโดยไม่พูดอะไร
จากนั้นลั่วอู๋ก็เริ่มเข้าใจในประสบการณ์ของคนอื่น ๆ ต้องบอกเลยว่าข้อมูลของพวกเขานั้นมีประโยชน์มากจริง ๆ แม้แต่ข้อมูลของนักเรียนทั่ว ๆ ไปก็มีผลมากเลยทีเดียว
ลั่วอู๋จึงเริ่มเข้ารับการทดสอบอีกครั้ง
ผลก็คือลั่วอู๋ได้เข้ารับการทดสอบทั้งเจ็ดรูปแบบอีกรอบ โดยผลลัพธ์นั้นออกมาดีเลยทีเดียว คะแนนของแต่ละรูปแบบเพิ่มขึ้นมาหลายร้อยคะแนนและทำให้เขาขึ้นสู่อันดับห้าได้สำเร็จ
ส่วนผู้ที่อยู่ในอันดับห้าอย่างเหว่ยเฉิงโฉวก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นอันดับสี่
ตอนนี้อันดับที่หกคือคนที่อยู่ในอันดับสี่คนก่อน
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในรายชื่ออันดับเฉียนหลงทำให้ผู้คนจากภูเขาแห้งแล้งต้องตกใจ
พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้