บทที่ 298 คำสาบานของผู้คนในสำนักหม่าเฉิน
บทที่ 298 คำสาบานของผู้คนในสำนักหม่าเฉิน
ศึกใหญ่ที่ผู้คนต่างเฝ้ารอไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ทั้งสองคนนั้นสนิทสนมกลมกลืนกันมาก
สำนักหม่าเฉินจึงไม่ได้ท้าทายผู้คนในสำนักเฉียนหลงต่อ และในทางกลับกันฝั่งของทางสำนักเฉียนหลงเอง เนื่องจากเห็นแก่หน้าของลั่วอู๋ พวกเขาจึงไม่คิดจะริเริ่มท้าทายอีกฝ่ายเช่นกัน
แม้ว่าผู้คนทั้งสองฝ่ายจะไม่ถูกกันและอยากจะวิวาทเต็มทน แต่พวกเขาต่างก็ต้องยับยั้งชั่งใจตัวเอง
การมาถึงของทายาทผู้สืบทอดของเผ่าเทียนหวู่ ดึงดูดความสนใจของทางสำนักเฉียนหลงเป็นอย่างมาก ถึงขั้นที่รองประธานหลี่หวู่หยวนออกมาต้อนรับเขาเป็นการส่วนตัว
รองประธานได้ขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์ที่ฟังดูมีพลัง และกระตุ้นให้ทุกคนร่วมมือกันอย่างสามัคคีปรองดองกันและสร้างความก้าวหน้าร่วมกัน ก่อนจะหายตัวไป
คำพูดเหล่านั้นที่เขาพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นเหล่านักเรียนหรือแม้แต่เหล่าอาจารย์ก็ยังแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
ณ บ้านพักของลั่วอู๋
หยู่เฮากำลังระลึกถึงอดีต
“ลั่วอู๋ คุณภาพของโล่ที่เจ้าให้ข้ากลับมาด้วยนั้นดีมากจริงๆ” หยู่เฮาถอนหายใจ “อัตราการบาดเจ็บในชนเผ่าของพวกเราลดลงมากเพราะมัน”
“ถ้าเจ้าชอบมัน ข้าก็พร้อมจะให้อีกชุดหนึ่งกลับไปนะ มันเป็นแค่ของเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้มีค่าอะไรมากมาย” ลั่วอู๋พูดด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้หากเขาไม่ได้ช่วยเหลือลั่วอู๋ไว้ในตอนที่เขาไปพัวพันกับความขัดแย้งในทีมหวงชา ลั่วอู๋อาจจะไม่สามารถมาถึงจุดที่เขาปกป้องตัวเองได้เช่นตอนนี้
“ไม่เป็นไร ๆ” หยู่เฮายิ้ม
ที่เขาต้องการโล่คริสตัลนั้นไม่ใช่เพื่อใช้ปกป้องตัวเขาเอง แต่มันสำหรับสมาชิกในเผ่าคนที่ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่เลือดร้อนเกินไป
ลั่วอู๋ถาม “ว่าแต่ แล้วเจ้ากลายมาเป็นคนของสำนักหม่าเฉินได้อย่างไร และที่ว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดของหัวหน้าเผ่าเทียนหวู่นี่ หมายความว่าอย่างไรกัน ?”
หยู่เฮา เริ่มอธิบาย
“หัวหน้าเผ่า เทียนหวู่ เป็นพ่อของข้า แต่ข้าไม่ใช่ลูกชายคนเดียวของเขา ข้ามีพี่น้องรวมทั้งหมดสิบแปดคน”
“เมื่อไม่นานมานี้ ข้าสามารถเอาชนะพวกเขาทั้งหมดได้ ดังนั้นจึงได้เป็นผู้สืบทอดของหัวหน้าเผ่า แต่มันเป็นเพียงชื่อบอกตำแหน่ง ในเผ่าของเราแม้แต่หัวหน้าเผ่าก็ต้องมีส่วนร่วมในการต่อสู้ ดังนั้นหัวหน้าเผ่าจึงต้องมีทายาทหลายคนเพื่อไม่ให้สายเลือดขาดช่วงไป”
ลั่วอู๋ปรับความเข้าใจใหม่อีกครั้งเกี่ยวกับการต่อสู้ของเหล่าชนเผ่าภูเขาแห้งแล้ง
ราชวงศ์มังกรเร้นกายกล้าหาญเทียบเท่ากับหัวหน้าเผ่าของพวกเขาได้รึเปล่า? การเป็นหัวหน้าเผ่านั้นดูจะเป็นงานที่อันตรายมาก ถึงขั้นต้องกังวลว่าสายเลือดจะขาดช่วงและทายาทไว้สืบทอดถึง 19 คน
เดี๋ยวก่อนนะ แต่ที่ราชวงศ์มังกรเร้นกายมีองค์ชายหลายคนก็เพราะเหตุผลเดียวกัน แบบนี้เขาก็เทียบได้กับองค์ชาย รัชทายาทเลยนะสิ?
ลั่วอู๋มองไปที่หยู่เฮาโดยไม่รู้ตัว
ฉูจงฉวนกล่าวอย่างล้อเลียนว่า “ถ้าเจ้าได้เป็นหัวหน้าเผ่าในอนาคต เจ้าเองก็จะมีลูกมากมายขนาดนั้นด้วยงั้นเหรอ?”
“แน่นอนสิ” หยู่เฮาพยักหน้าอย่างจริงจัง “ตอนนี้ข้ามีคู่หมั้นสามคน เป็นลูกสาวของหัวหน้าเผ่าที่มีอำนาจ เมื่อข้าขึ้นเป็นหัวหน้าเผ่าแล้ว ข้าก็จะได้แต่งงานกับพวกนางในทันที”
ฉูจงฉวนตกตะลึง
อึ!
มีร่องรอยของความอิจฉาในใจของเขา
ลั่วอู๋แซว “เจ้ามีปัญหาอะไรงั้นเหรอ ไม่พอใช้รึไง? ที่ว่าในขณะที่เจ้ายังโสดและอยู่คนเดียว แต่เขามีคู่หมั้นถึงสามคน?”
“หึ ก็ข้าไม่ได้ต้องการคู่ครองซะหน่อย” ฉูจงฉวนพูดปัด ๆ
หยู่เฮายังคงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของตัวเอง
ไม่น่าแปลกใจที่เขาสามารถเอาชนะพี่น้องอีก 18 คนได้ เพราะตั้งแต่ในตอนที่เขายังเด็ก เขาก็มีความสามารถที่เหนือกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ แล้ว
เขาเป็นคนเดียวในรุ่นที่สามารถจับขวานที่ทำจากเหล็กแห่งความโกลาหลได้
ส่วนสาเหตุที่เขาได้เป็นนักเรียนและผู้สืบทอดของสำนักหม่าเฉินนั้นง่ายและหยาบกว่ามาก
เพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้นเขาจึงเข้าไปมีส่วนร่วมในการทดสอบบนภูเขาเพื่อชิงตำแหน่งสูงสุด และในที่สุดเขาก็ได้รับคุณสมบัติในการเข้าร่วมสำนักหม่าเฉิน
ในสำนักหม่าเฉิน เขาได้แสดงผลงานอันยอดเยี่ยมในการทำพิธีคืนชีพ และได้พบกับแมมมอธธารน้ำแข็ง สัตว์วิญญาณโบราณ
แมมมอธธารน้ำแข็งเป็นสัตว์วิญญาณที่อยู่ในระดับทองขั้นสูง
ว่ากันว่ามันเป็นสัตว์วิญญาณระดับสูงที่แข็งแกร่งที่สุดชนิดหนึ่ง มันสามารถบดขยี้สัตว์วิญญาณระดับสูงอย่างมังกรได้อย่างง่ายดาย น่าเสียดายที่มันสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อหมื่นปีก่อน
แมมมอธธารน้ำแข็งนั้นเป็นสัตว์วิญญาณที่เหมาะกับ หยู่เฮา มันมีทั้งพละกำลังและความสามารถในการควบคุมการต่อสู้รวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบในตัวเดียว
ในสายตาของหยู่เฮา แมมมอธธารน้ำแข็งนั้นมีเสน่ห์มาก เขาจึงฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากแมมมอธธารน้ำแข็งและทำพันธสัญญากับมัน
หลังจากนั้นเขาก็ถูกเรียกไปพบกับเจ้าของสำนักหม่าเฉินให้เป็นผู้สืบทอด เช่นเดียวกับตัวเอกในนิยาย โดยท่านหม่าเฉิน ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจมากที่สุดในภูเขาแห้งแล้ง ในฐานะเทพพิทักษ์
ว่ากันว่าท่านหม่าเฉินปกป้องภูเขาที่แห้งแล้งมานานกว่า 1300 ปี เขาได้ช่วยภูเขาแห้งแล้งให้รอดพ้นจากอันตรายหลายต่อหลายครั้ง เขาเป็นคนที่ถูกเคารพบูชามากที่สุดในอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง
ไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะกล่าวว่าท่านหม่าเฉินเป็นดั่งพระเจ้าแห่งอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง!
ฉูจงฉวนรู้สึกไม่สมดุลอย่างมากในหัวใจของเขา หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวว่าตัวเขาเองก็เป็นอัจฉริยะ แต่แล้วทำไมช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองมันถึงได้ใหญ่ขนาดนี้กัน
ทำไมหยู่เฮาถึงได้พบกับแมมมอธธารน้ำแข็งโดยบังเอิญแบบนั้น ทำไมตัวเขาถึงไม่มีโชคแบบนี้บ้าง ไมว่าจะเป็น เทพธิดาแห่งวายุ เงือกแห่งห้วงลึก หรือ ปีศาจ พวกมันหายไปไหนกันหมด
บางทีอาจจะเพราะอีกฝ่ายนั้นโง่พระเจ้าเลยให้โชคมาแทน ฉูจงฉวนปลอบใจตัวเอง เขาคงฉลาดเกินไปจึงไม่มีโชคดีแบบนั้น
ลั่วอู๋กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อพวกเราคุ้นเคยกันดี พวกเราคงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรกันแล้ว” “ข้าขอพูดตรงไปตรงมาเลยก็แล้วกัน ฉูจงฉวนและข้าต้องการเป็นอันดับต้น ๆ ของรายชื่อเฉียนหลง ”
เมื่อได้ยินลั่วอู๋พูดถึงรายชื่อเฉียนหลง การแสดงออกของหยู่เฮาก็เปลี่ยนไป
“ปกติแล้ว ข้าไม่ได้สนใจสิ่งที่เรียกว่าอันดับต้น ๆ หรอกนะ มันไม่สำคัญเลยที่ข้าจะต้องต่อสู้เพื่อพวกมันรึเปล่า” หยู่เฮา พูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม “แต่คราวนี้ข้าคงปล่อยไปไม่ได้ ข้าเองก็ต้องขึ้นไปที่ด้านบนสุดของรายชื่อนั้นให้ได้เช่นกัน และข้าต้องช่วยคนสำนักหม่าเฉินในการชิงอันดับด้วย”
ลั่วอู๋รู้สึกประหลาดใจ
ทำไมผู้คนในสำนักหม่าเฉิน ถึงสนใจอันดับรายชื่อของสำนักเฉียนหลงถึงขนาดนี้?
มันเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยาก
“ผู้ที่ติดอันดับหนึ่งในรายชื่อ สามารถยื่นคำร้องขอกับทางสำนักเฉียนหลงได้ แต่พวกเจ้าจากสำนักหม่าเฉิน ไม่น่าจะมีอะไรมาขอสำนักของเรานี่นา ถ้าจะขออะไรก็ควรจะเป็นทางของสำนักหม่าเฉินมากกว่าไม่ใช่เหรอ?” ฉูจงฉวนกล่าวอย่างไม่พอใจ
ด้วยที่มีผู้คนเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแข่งขันกันเพื่อชิงอันดับต้น ๆ ของรายชื่อ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าความหวังของเขาที่จะได้เป็นที่หนึ่งนั้นดูเลือนรางไปเรื่อย ๆ
การแสดงออกของหยู่เฮามืดมน อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะไม่ดีเท่าไหร่นัก เขาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ “เพราะว่าท่านหม่าเฉินกำลังจะตายในไม่ช้า”
ลั่วอู๋และฉูจงฉวนตกใจ
มันไม่สามารถเป็นเรื่องจริงได้
แม้ว่าท่านหม่าเฉินจะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในภูเขาแห้งแล้ง แต่เขาก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งทวีปและชื่อเสียงของเขาเองก็ไม่ได้น้อยลงไปเลยในอาณาจักรของราชวงศ์มังกรเร้นกาย
ไม่เคยมีใครคิดว่าเขากำลังจะตาย
การเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาและเหตุการณ์นับไม่ถ้วนในประวัติศาสตร์นั้น มีเพียงเทพพิทักษ์ของภูเขาแห้งแล้ง ท่านหม่าเฉินและเทพผู้พิทักษ์ของราชวงศ์มังกรเร้นกายเท่านั้นที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอาณาจักรทั้งหมด พวกเขาเฝ้ามองดูโลกเช่นเดียวกับเทพเจ้าที่มีตัวตนอยู่จริง
อย่างไรก็ตามหยู่เฮาบอกว่าเขาคนนั้นกำลังจะตาย
เทพผู้พิทักษ์นั้นกำลังจะดับสูญ
นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจจริง ๆ แม้จะมันจะฟังดูขัดแย้งกับสามัญสำนึกที่ผ่านมาของพวกเขา
“นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผู้คนของสำนักหม่าเฉิน จึงกังวลมากในเรื่องการหาตัวผู้สืบทอด” หยู่เฮาอยู่ในอารมณ์เศร้า อย่างไรก็ตามในไม่ช้าเขาก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีร่องรอยของความหนักแน่นปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “ดังนั้นพวกเราจากสำนักหม่าเฉิน จึงต้องการแสดงให้ท่านหม่าเฉินเห็นว่าลูกหลานของเขานั้นยอดเยี่ยมเพียงใด แม้ว่าเขาจะจากไปแล้ว พวกเราก็จะสามารถเติบโตและเป็นเสาหลักค้ำจุนปกป้องอาณาจักรภูเขาแห้งแล้ง ไม่ให้มีใครมารังแกพวกเราได้”
“สำหรับท่านหม่าเฉินแล้ว ป่านิรันดร์ของภูเขาแห้งแล้งเป็นสัญลักษณ์แห่งชีวิตนิรันดร์”
หยู่เฮาพูดประโยคนี้เหมือนกำลังกล่าวคำสาบาน
ลั่วอู๋รู้สึกมีอารมณ์ร่วมเล็กน้อย
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไม ผู้คนจากสำนักหม่าเฉินถึงต้องร่วมมือกันชิงอันดับรายชื่อ และเข้าร่วมการทดสอบเพื่อชิงอันดับในรายชื่อเฉียนหลง
เพราะนี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาจะสามารถทำได้เพื่อผู้อาวุโสที่พวกเขาให้ความเคารพสูงสุดก่อนที่เขาคนนั้นจะจากโลกนี้ไป