บทที่ 299 ในวันที่ทุกคนต่างแสดงพลังของตัวเองออกมา
บทที่ 299 ในวันที่ทุกคนต่างแสดงพลังของตัวเองออกมา
“ถ้าอย่างนั้น พวกเรามาแข่งขันอย่างยุติธรรมกันเถอะ”
ทั้งสามคนบรรลุฉันทามติ
แม้แต่ฉูจงฉวนก็ไม่สามารถพูดอะไรกับหยู่เฮาได้
“ข้าจะช่วยเจ้าปรับแต่งสัตว์วิญญาณให้เอง” ลั่วอู๋อาสา
เพราะไม่ว่าจะเป็นสัตว์วิญญาณของฉูจงฉวนหรือ หลี่หยิน ลั่วอู๋ก็ได้ทำการปรับแต่งพวกมันทั้งหมดให้พวกเขาแล้ว หยู่เฮาเองก็เป็นเพื่อนที่ดีของลั่วอู๋ เขาจึงสมควรได้รับความช่วยเหลือจากลั่วอู๋
หยู่เฮาปฏิเสธ “เอาไว้หลังจาก การต่อสู้เพื่อชิงอันดับรายชื่อจบลงก่อนดีกว่า”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ลั่วอู๋ก็ไม่สามารถเสนอให้ช่วยเหลืออีกฝ่ายได้อีก เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังจะสื่อความหมายอะไร และเลือกที่จะไม่พูดอะไรต่อ
หลังจากนั้นหยู่เฮาก็เดินออกจากบ้านพักไป
เมื่อออกไปข้างนอกเขาก็พบว่า ผู้คนจากสำนักหม่าเฉินได้มายืนรอเขาอยู่ พวกเขามองหยู่เฮาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
“การต่อสู้ชิงอันดับจะยังคงต้องดำเนินต่อไป” หยู่เฮาตบหน้าอกของเขาด้วยความเย่อหยิ่งและความภาคภูมิใจอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวภูเขาแห้งแล้ง
สภาพจิตใจของผู้คนต่างก็ดีขึ้นมาก
พวกเขาทุกคนมีสายตาอันเต็มไปด้วยขวัญและกำลังใจสูง
แม้ว่าหวู่เก๋าและอากูดะจะเสียชีวิต อีกทั้งจินฉันยังได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงมีเพียงหยู่เฮาเท่านั้นที่จะเป็นความหวังให้กับพวกเขาได้ เพราะเขานั้นเป็นผู้สืบทอดของท่านหม่าเฉิน
“สำหรับเรื่องของอากูดะและหวู่เก๋า ข้าจะตามหาชายลึกลับที่เป็นคนก่อเหตุให้เจอเอง” หยู่เฮาพูดอย่างจริงจัง “หากเขายังกล้าปรากฎตัวขึ้นมาอีก คราวนี้ข้าจะฆ่าเขาเอง”
……
……
วันต่อมา ลั่วอู๋ได้เริ่มเข้ารับการทดสอบเพื่อเก็บคะแนน
หลังจากการเข้ารวมการทดสอบการต่อสู้จริงมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน แม้ว่าเขาจะบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ แต่คะแนนที่ได้รับก็เพิ่มขึ้นมาเพียงแค่ประมาณ 2000 คะแนนกว่า ๆ เท่านั้น ทำให้เขาล้าหลังอย่างมากในรายชื่ออันดับเฉียนหลง
ตอนนี้ลั่วอู๋อยู่ที่อันดับ 37
เงื่อนไขวิธีในการทำคะแนนต่าง ๆ ในการทดสอบเริ่มถูกค้นพบมากขึ้น เช่นในด้านการรับรู้ เดิมทีคนส่วนใหญ่ติดอยู่ที่ในระดับ 5 แต่ตอนนี้เกือบทั้งหมดได้ผ่านระดับ 5 ไปแล้ว มาติดอยู่ในที่ระดับ 6 กันแทน แต่ก็เริ่มมีคนที่ไปถึง ระดับ 7 กันบ้างแล้วแม้จะเป็นส่วนน้อยมาก ๆ
แต่แน่นอนว่าอันดับแรกของการทดสอบการปรับแต่งนั้นก็ยังคงเป็นของลั่วอู๋
ต้องขอบคุณระบบการแบ่งปันข้อมูล ลั่วอู๋จึงได้มีโอกาสอ่านประสบการณ์ของคนอื่น ๆ ทำให้เขามีความเข้าใจในการทดสอบด้านอื่นดีขึ้นมากเช่นกัน
นอกจากนี้การต่อสู้กับคนระดับแนวหน้าจากสำนักหม่าเฉิน ได้ทำให้ลั่วอู๋พัฒนาขึ้นมากในทุก ๆ ด้าน และเมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบต่าง ๆ ลั่วอู๋ก็ดูเหมือนจะรับมือพวกมันได้อย่างสบายใจ
ในการทดสอบศิลปะการต่อสู้ 7 รูปแบบ คะแนนของลั่วอู๋นั้นได้เพิ่มขึ้นมาจาก 2,000 ถึง 3,000 คะแนน
เนื่องจากเขาเชี่ยวชาญเน้นไปที่การปรับแต่งพลังวิญญาณ จึงทำให้ ลั่วอู๋ ได้คะแนนมาเพียง 60% ของคะแนนทั้งหมดที่เขาควรจะได้รับ ลั่วอู๋จึงได้คะแนนมาเพียงแค่ 10,000 คะแนน
ทว่าคะแนนการทดสอบกว่าหนึ่งหมื่นคะแนน ก็ได้พาอันดับของลั่วอู๋ ก็พุ่งไปสู่อันดับที่ 10 ในรายชื่ออันดับเฉียนหลง
อย่างไรก็ตามหากเขายังต้องการคะแนนมากกว่านี้ เขาคงต้องใช้เวลาให้มากขึ้นกับการทดสอบ และถ้าหากเขาไม่ได้พยายามอย่างต่อเนื่องและสรุปประสบการณ์ในหลาย ๆ ครั้งออกมา มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะได้คะแนนที่สูงขึ้นมากกว่านี้
เวลาผ่านไป
หลังจากที่ลั่วอู๋ได้ให้ความสำคัญกับการทดสอบเป็นหลัก คะแนนของเขาก็ดีขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
แต่เขาก็สังเกตเห็นได้ถึงสิ่งผิดปกติเช่นกัน
มีบางอย่างแปลก ๆ ในการจัดรายชื่ออันดับเฉียนหลง
เดิมทีแล้ว 6 ใน สิบอันดับแรกของรายชื่อนั้นเป็นคนของสำนักเฉียนหลง แต่ตอนนี้กลับเหลือเพียงแค่สามคนเท่านั้น แม้จะนับรวมลั่วอู๋ไปแล้ว ส่วนอีกเจ็ดคนมาจากสำนักหม่าเฉินทั้งหมด
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ภายในระยะเวลาอันสั้น อันดับ 1 ของเหว่ยเฉิงโฉว ก็ถูกหยู่เฮายึดไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับลั่วอู๋เท่าไหร่ เพราะยังไงซะอีกฝ่ายก็เป็นถึงผู้สืบทอดของท่านหม่าเฉิน
อย่างไรก็ตามเหว่ยเฉิงโฉว ซึ่งควรจะตกไปอยู่อันดับสอง กลับตกลงไปถึงอันดับเจ็ดแทน
เหวินเสี่ยวซึ่งควรอยู่ในอันดับสามเองก็ได้ตกลงมาอยู่ที่อันดับแปด
ฉูจงฉวน, เอ๋าหยู่, หนานกงหยิงเอ๋อ, ทัวป๋าเจียฉี ลูกหลานอีกสามคนของตระกูลจี๋อี๋ และเหล่าผู้มีพรสวรรค์จากเมืองหลวงของจักรวรรดิอีกหลายคน ได้หายไปจากสิบอันดับแรกของรายชื่อ
ปัญหาไม่ได้อยู่ความสามารถของพวกเขาแน่ สถานการณ์ของผู้คนในสำนักหม่าเฉินในตอนนี้นั้นผิดปกติ คะแนนการทดสอบของพวกเขาเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป
“มันเกิดขึ้นได้อย่างไร”
ลั่วอู๋ได้ลองสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาจึงได้ค้นพบถึงสาเหตุว่าทำไมคะแนนสอบของทุกคนในสำนักหม่าเฉินเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร
พวกเขาไม่เพียงแต่แบ่งปันประสบการณ์ของพวกเขาเท่านั้น แต่หยู่เฮานั้นได้หยิบตำราวิชาของท่านหม่าเฉินที่บันทึกไว้ เมื่อตอนที่เขายังเป็นเด็กแบ่งปันให้กับทุกคนโดยไม่ลังเล
ท่านหม่าเฉินนั้นเป็นถึงเทพพิทักษ์!
แม้ว่าในตอนนั้นเขาจะยังมีอายุน้อย แต่เขาก็เป็นถึงคนที่มีอำนาจมากที่สุดคนหนึ่ง ที่พวกเขาสามารถหาประโยชน์จากประสบการณ์และความรู้ได้
นี่มันเกือบจะเทียบเท่ากับการได้ท่านหม่าเฉินมาสั่งสอนพวกเขาเป็นการส่วนตัว เมื่อเป็นแบบนี้แล้วความแข็งแกร่งของพวกเขาจะไม่พัฒนาขึ้นได้อย่างไรกัน
“แน่อยู่แล้วว่าพวกเราในสำนักเฉียนหลงโกรธกันมาก แต่ที่พวกเขาทำมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดกฏ! ความรู้ที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นของพวกเขาเอง และมันไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้คะแนนเพิ่มขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากภายนอก”
ฉูจงฉวนพูดขณะที่กำลังเร่งรีบ
ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปแม้แต่ตัวเขาเองก็อาจจะไม่ติดสิบอันดับแรกเลยด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่เขาไม่มีสัตว์วิญญาณคู่พันธสัญญาตัวที่สาม มันเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเขาที่หายไป ซึ่งมีผลอย่างมากต่อความแข็งแกร่งของเขา
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากข้าเข้าไปมีส่วนร่วมในการทดสอบการต่อสู้จริงทุกวัน!” ฉูจงฉวนกัดฟันของเขาแล้วเดินเข้าไปบริเวณการทดสอบในภูเขาแห้งแล้ง
ตลอดสองเดือนมานี้ เขาเข้ารับการทดสอบการต่อสู้จริงทุกวัน แม้ว่าเขาจะชนะมากกว่าแพ้ แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสในทุก ๆ สามวัน ห้าวัน เพราะที่นั่นนั้นมีผู้มีฝีมืออยู่มากมาย
เขามาหาลั่วอู๋ทันทีที่ได้รับบาดเจ็บ
แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าลั่วอู๋ทำได้อย่างไร แต่ลั่วอู๋นั้นสามารถใช้ทักษะ ระดับ S [แสงศักดิ์สิทธิ์] ได้
เขาไม่เสียเวลาถามว่าอีกฝ่ายทำได้อย่างไร เขาชอบบริการรักษาของลั่วอู๋มาก มันสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายที่เขาต้องเสียได้มากโขเลยทีเดียว
เพราะการเข้าไปใช้โรงพยาบาลของสำนักเฉียนหลง จะต้องมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 500 คะแนนต่อหนึ่งครั้ง
ใช้เวลาถึงสองเดือน ฉูจงฉวนก็ได้มาถึงอันดับเก้าได้ในที่สุด
ในรายชื่อเฉียงหลงตอนนี้หกอันดับแรกนั้นมาจากสำนักหม่าเฉิน และสี่คนสุดท้ายมาจากสำนักเฉียนหลง หากตัดสินจากจำนวนคนแล้วมันก็ไม่ได้น่าอับอาย แต่จากการจัดอันดับโดยรวมแล้วมันน่าอับอายมาก
เพียงแค่ดูอันดับรายชื่อเฉียนหลง ทุกคนก็จะเข้าใจได้ว่าสำนักหม่าเฉินกำลังบีบบังคับทางสำนักเฉียนหลงให้ไล่ตามพวกเขาให้ทันอยู่
“ข้าทนไม่ไหวแล้ว!” ในที่สุดก็มีคนโวยขึ้นมา “พวกเจ้าไปขอให้เอ๋าเฉียนจุนออกมาสู้ได้ไหม ? เขาเป็นอัจฉริยะระดับสัตว์ประหลาดของรุ่นนี้ไม่ใช่รึไง?”
เวลานั้นได้ผ่านไปเกินสามเดือนแล้ว
การต่อสู้เพื่อชิงอันดับรายชื่อเฉียนหลงนั้นกินเวลาหกเดือน และตอนนี้ก็ผ่านมามากกว่าครึ่งทางแล้ว
“ใช่ ทำไมเขาต้องซ่อนตัว ฝึกฝนตลอดเวลาและไม่ยอมแสดงตัวด้วย?” มีคนเห็นด้วย
“เขามีคะแนนเริ่มต้นสูงสุดในช่วงแรกของทดสอบเข้าเรียน หมายความว่าเขาเก่งที่สุดในสายตาของสำนักเฉียนหลง ถ้าเขาก้าวขึ้นมาไม่แน่ว่าพวกเราอาจจะ … ”
“เอ๋าหยู่ เขาเป็นสมาชิกในตระกูลเอ๋าของเจ้า เจ้าไปขอให้เขาออกมารับการทดสอบหน่อยไม่ได้เหรอ? คนมีความสามารถระดับนี้จะมามัวทำรังเป็นนกในตำนานมันก็ไม่ใช่เรื่อง ?”
มีคนเรียกร้องให้เอ๋าหยู่ไปตามตัวเอ๋าเฉียนจุนมา
เอ๋าหยู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหัว “มันไม่มีประโยชน์หรอก เขาไม่เคยรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ต่อให้หัวหน้าตระกูลเอ๋ามาด้วยตัวเอง ก็คงไม่สามารถชี้นำเขาได้”
ผู้มีพรสวรรค์หลายคนที่มาจากเมืองหลวงของจักรวรรดิและเคยต่อสู้กับ เอ๋าเฉียนจุน ต่างหัวเราะอย่างขมขื่นเพราะพวกเขารู้ว่าเอ๋าหยู่พูดความจริง
“ข้าไม่เชื่อหรอก ในเมื่อเขาไม่ได้มีส่วนร่วมในการทดสอบของสำนักเฉียนหลง ก็อย่าปล่อยให้เขาได้ครอบครองคฤหาสน์ที่อยู่บนจุดสูงสุดของสำนักที่มีพลังวิญญาณสูงสุดต่อไปแบบนี้สิ!” ใครบางคนไม่สามารถนั่งนิ่งต่อไปได้
เขาคือทายาทของตระกูลใหญ่ ที่มีชื่อว่าถู่เล่ย
เขาอยู่ในอันดับที่ 33 ของรายชื่อเฉียนหลงและมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสูง
“ข้าจะไปหาเขา ถ้าเขายังไม่ยอมมาเริ่มรับการทดสอบ ข้าก็จะลองคุยกับเขาดู หรือไม่ก็ท้าทายไปเลย ในเมื่อบางทีเขาก็อาจจะไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะสามารถเอาชนะข้าได้”
ถู่เล่ยขึ้นไปบนยอดเขาซึ่งมีพลังวิญญาณสูงที่สุดในสำนักเฉียนหลง
หลังจากได้ขึ้นไปถึงยอดแล้ว
ถู่เล่ยก็ถูกโยนลงมาจากยอดเขาวิญญาณลงมากระแทกกับพื้น
ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเลือด กระดูกอกหักทั้งหมดราวกับว่าเขาถูกเหยียบย่ำลงมา มันเป็นเรื่องที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง ร่างของเขาถูกชโลมด้วยเลือดราวกับออกมาจากถังเลือด
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นผู้ใช้พลังวิญญาณระดับสูง เขาคงจะตายไปแล้ว
ในเวลาเดียวกันเสียงเบา ๆ ลอยมาจากยอดเขาวิญญาณ
“ใครที่มารบกวนข้ามันจะต้องตาย”
นั่นคือเสียงของเอ๋าเฉียนจุน
เกิดความโกลาหลขึ้นในทันที
เขาเป็นคนทำมัน