ไหปีศาจ – ตอนที่ 313 ความโกรธที่หายไป

บทที่ 313 ความโกรธที่หายไป
บทที่ 313
ความโกรธที่หายไป

เลขาเฉินนั้นไม่ได้อยู่ห่างออกไปเท่าไหร่นัก เนื่องจากเขาได้รับคำสั่งจากหวังฉีให้คอยดูแลรับรองคนจากสำนักโล่พิทักษ์

ตัวเขานั้นไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารลำดับเจ็ดกับสำนักโล่พิทักษ์เท่าไหร่ ดังนั้นตราบใดที่ทางสำนักโล่พิทักษ์ยังไม่มีปัญหาอะไร เขาก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง

ด้วยท่าทีของลั่วอู๋ที่ดูมั่นใจมาก เลขาหลี่จึงเริ่มไม่แน่ใจว่าเขาคิดถูกรึเปล่าและเดินออกไปหาเลขาเฉิน

“ที่เขาพูดเป็นความจริง ท่านหวังฉีนั้นเป็นคนเชิญให้สำนักโล่พิทักษ์มาที่นี่” เลขาเฉินพยักหน้าและกล่าวตามนั้น

เขาเป็นคนสนิทของหวังฉี
สิ่งที่เขาพูดจึงมีน้ำหนักมาก
ผู้คนต่างตกตะลึง นี่เป็นความจริงงั้นเหรอ? สำนักโล่พิทักษ์ที่เสียหน้าอย่างโง่เขลาในการประชุมเสนอของขวัญนั้น ได้รับเชิญมาโดยผู้บริหารลำดับเจ็ดจริงๆงั้นเหรอ

หลายคนต่างอิจฉาตาร้อนผ่าว
ท่านผู้บริหารลำดับเจ็ดชอบอะไรเกี่ยวกับร้านค้าเล็ก ๆ นี้กัน? พวกเขามีประโยชน์มากพอที่ควรจะเชิญชวนให้มาพูดคุยเกี่ยวกับการขนสินค้าเข้าสู่เมืองหลวงของจักรวรรดิเลยงั้นเหรอ ?

เหตุผลคืออะไร?
ดวงตาของเลขาหลี่ดูมืดมน “ทำไมเจ้าไม่บอกตั้งแต่ก่อนหน้านี้?”

“ท่านหวังฉีเป็นคนที่มีความหมายลึกซึ้งในการกระทำ แล้วจะให้ข้ากล้าพูดเรื่องที่ดูไร้สาระแบบนี้ได้ยังไง เจ้าตั้งหากที่ผิด” เลขาเฉินจ้องมองไปที่เลขาหลี่ “ไม่ว่าร้านค้าจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า ทั้งที่เจ้าทำหน้าที่ในฐานะเจ้าภาพแต่แล้วทำไมถึงได้ทำตัวสงสัยนู่นนี่ไปเรื่อยคิดอะไรอยู่กันแน่”

เลขาหลี่ดูลนลานรีบร้อน
กลับกันแล้วเลขาเฉินนั้นไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด
แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนสนิทโดยตรงของผู้บริหารอย่างเซาฉาง แต่ตัวเขาเองก็เป็นคนสนิทของหวังฉีที่เป็นผู้บริหารเช่นกัน ไม่ว่าจะในแง่ของภูมิหลังหรือสถานะพวกเขาต่างก็ทัดเทียมกัน

เลขาหลี่กัดฟันแน่นแล้วพูดว่า “การเสนอของขวัญจะยังคงดำเนินต่อไป”

แน่นอนว่าปัญหาต่าง ๆ นั้นได้จบลงแล้ว
เลขาเฉินเดินจากไป และแล้วการประชุมเสนอของขวัญก็ดำเนินต่อไปตามที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตามสายตาของเลขาหลี่ ที่มองไปยัง ลั่วอู๋ ดูไม่มีความสุข บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้สึกเสียหน้าเพราะลั่วอู๋

การประชุมเสนอของขวัญนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

แม้ว่าร้านค้าต่าง ๆเหล่านี้จะไม่ได้เป็นร้านค้าที่โด่งดังอันดับต้น ๆ แต่สิ่งที่พวกเขานำออกมาล้วนเป็นสินค้าหายากมาก
ไม่ว่าจะเป็นยาหายาก สัตว์วิญญาณหายาก หรือโบราณวัตถุวิญญาณลึกลับ แม้แต่ของเก่าเมื่อหลายพันปีก่อนก็ยังถูกนำออกมา

ลั่วอู๋ได้รับข้อมูลความรู้ใหม่ ๆ มากมาย
“แล้วสำนักโล่พิทักษ์ล่ะ เจ้ามีอะไรมาเสนอ?” ในที่สุด เลขาหลี่ก็เดินมาถึง ลั่วอู๋ “อะไรคือสินค้าที่เจ้าจะนำมาเสนอในครั้งนี้?”

ความสนใจของตัวแทนร้านค้าต่างก็มุ่งเป้าไปทางลั่วอู๋
ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ทางสำนักโล่พิทักษ์ได้นำยา “ระดับต่ำ” ออกมา แต่เขากลับเป็นคนที่ผู้บริหารลำดับเจ็ดต้องส่งคนสนิทมารับรอง ทำให้หลายคนรู้สึกดูหมิ่นและอิจฉา

มันไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างมาก
มีหลายคนอยากเห็นสำนักโล่พิทักษ์ ทำตัวโง่ ๆ อีกครั้ง
ลั่วอู๋หยิบหินก้อนเล็ก ๆ ที่เปล่งแสงสีทองออกมา หินก้อนเล็ก ๆ นั้นมีรัศมีแปลก ๆ จาง ๆ ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความลึกลับ

เลขาหลี่ตกตะลึง “หินแก่นวิญญาณ?”
นี่เป็นของหายาก
นอกจากนี้มันยังมีผลกระทบต่อผู้คนในทุกระดับมิติวิญญาณ มันสามารถช่วยให้พลังวิญญาณเข้าสู่สถานะไร้ตัวตนและเพิ่มความน่าจะเป็นในการพัฒนามิติวิญญาณเรียกได้ว่าเป็นของดีที่หาได้ยากมาก

เหล่าตัวแทนร้านค้าต่างประหลาดใจ
มูลค่าของสิ่งนี้ดีกว่าของต่าง ๆ ที่ร้านค้าของพวกเขานำเสนอมาก

หากนำไปขายที่โรงประมูล คงจะได้ราคาหลายสิบล้านหินวิญญาณ พวกเขาไม่คาดคิดว่าสำนักโล่พิทักษ์จะมีของแบบนี้อยู่ในครอบครอง

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะประเมินสำนักโล่พิทักษ์ต่ำเกินไป
“เจ้านี่มีค่าพอรึเปล่า ?” ลั่วอู๋ ถาม
ใบหน้าของเลขาหลี่ดูน่าเกลียดเล็กน้อย จากนั้นดูเหมือนว่าเขาหยุดครุ่นคิดอะไรบางอย่าง เขาพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “มันก็มีค่าพออยู่หรอกนะ แต่มันไม่ได้พิเศษอะไรขนาดนั้น เจ้าคิดว่าองค์จักรพรรดิจะไม่มีของแบบนี้งั้นเหรอ ? ขอโทษด้วยแต่มันคงจะไม่เหมาะที่จะส่งของที่เจ้าเสนอเข้าวัง”

เขาพูดด้วยเสียงสูง
“ นั่นคือเหตุผลของเจ้างั้นเหรอ?” ลั่วอู๋หัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าองค์จักรพรรดิจะไม่มีงั้นเหรอ ? หากใช้ตรรกะตามที่เจ้าพูดมา ก็อย่าส่งของขวัญไปให้ท่านเลยเสียดีกว่า”

“โอหัง เจ้ากล้าขึ้นเสียงดังที่นี่งั้นเหรอ ข้าจะไล่เจ้าออกไปเดี๋ยวนี้” ใบหน้าของเลขาหลี่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

“ แค่นี้เจ้าก็บอกว่าข้าขึ้นเสียงอย่างงั้นเหรอ ?” ลั่วอู๋โกรธในทันที อีกฝ่ายนั้นจงใจมุ่งเป้ามาที่เขาอย่างชัดเจน จากนั้นลั่วอู๋จึงสนองด้วยการขึ้นเสียงพูด “ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ ว่าแบบนี้ต่างหากที่เรียกว่าขึ้นเสียง!”

ทุกคนต่างประหลาดใจ
ชายคนนี้บ้าไปแล้วรึเปล่า? ทำไมเขาถึงกล้าท้าทายคฤหาสน์ชวนเทียน เช่นนี้

เขาคิดว่าจะรอดไปได้รึยังไง?
เลขาหลี่นั้นไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขามีความสุขมาก เขาไม่ต้องกังวลแล้วว่าตัวเองจะหาข้ออ้างไล่อีกฝ่ายออกไปไม่ได้ “ในเมื่อเจ้าท้าทายมาขนาดนี้ ข้าก็คงจะต้องไล่เจ้าออกไป”

หึ! แม้ว่าหวังฉีจะมีตำแหน่งสูงแค่ไหนในคฤหาสน์ชวนเทียน แต่ก็ไม่สามารถควบคุมเขาได้

แม้แต่ในคฤหาสน์ชวนเทียนก็มีกลุ่มแยกเป็นฝักฝ่ายของตัวเอง

ผู้คุมเดินเข้ามาพร้อมที่จะพาลั่วอู๋ออกไป
อาฟูรู้สึกกังวล เขาจึงพูดด้วยเสียงต่ำ “อย่าหุนหันพลันแล่นไปสินายน้อย ที่นี่คือคฤหาสน์ชวนเทียนนะ”

ลั่วอู๋หันไปมองผู้คุมรอบตัวแล้วเย้ยหยัน “อย่าได้ริเอามือมาแตะ ข้าจะเดินออกไปเอง ข้าไม่คิดมาก่อนเลยว่า คนสนิทของเซาฉางจะทำแบบนี้”
ที่เขาเข้าร่วมในพิธีเสนอของขวัญนั้นเป็น เพราะเขาต้องการใช้โอกาสนี้ เพื่อช่วยให้สำนักโล่พิทักษ์สามารถมาตั้งหลักอย่างมั่นคงในเมืองหลวงของจักรวรรดิได้

อย่างไรก็ตามมันก็ยังมีอีกหลายวิธีสำหรับการตั้งถิ่นฐานในเมืองหลวงของจักรวรรดิ โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีขี้ขลาดแบบนี้

หลังจากนั้นลั่วอู๋ก็พาอาฟูและหลี่หยินที่อยู่ใกล้เดินจากไป

ทันใดนั้นหัวใจของเลขาหลี่ก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกควัน คำพูดสุดท้ายของอีกฝ่ายนั้นหมายถึงอะไร? อีกฝ่ายรู้จักกับเซาฉางอย่างนั้นเหรอ?

“เจ้าของลั่ว … ” เลขาเฉินเข้ามาหยุดลั่วอู๋ไว้
ลั่วอู๋สงบลง หลังจากนั้นเลขาเฉินก็เข้ามาหาคนของสำนักโล่พิทักษ์

“เลขาเฉินช่วยรับแร่นี่ไปเป็นที่ระลึกที ถือเป็นของขวัญของข้าให้กับท่านหวังฉี” ลั่วอู๋โยนของที่แร่แก่นวิญญาณให้กับเลขาเฉิน “ขอบคุณที่ท่านช่วยดูแลพวกเราจากสำนักโล่พิทักษ์ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา”

ฝูงชนตกตะลึง
มอบสิ่งที่มีค่าขนาดนี้ให้กับอีกฝ่าย เขาใจกว้างเกินไปแล้ว

ลั่วอู๋เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง
เลขาเฉินนั้นไม่ได้โง่ เขารู้ว่ามันต้องมีเหตุผลบางอย่างผู้บริหารลำดับเจ็ดถึงได้สนใจสำนักโล่พิทักษ์ หากคิดถึงเหตุผลแล้วล่ะก็ เขาคิดว่ามันคงจะเป็นเพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำนักโล่พิทักษ์คือผู้ที่มีอำนาจสูงส่ง

ดังนั้นเลขาเฉินจึงรับของขวัญจากลั่วอู๋มาแล้วออกเดินตามหาผู้บริหารลำดับเจ็ด

ตอนนี้หวังฉีนั้นงานยุ่งมาก เขาต้องเตรียมจัดการเกี่ยวกับดอกไม้ไฟในเทศกาลเสริมอายุยืนยาว และเขาต้องตรวจสอบทุกกระบวนการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น

หากมีอะไรผิดพลาด ผลที่ตามมาคงจะร้ายแรงมาก
เลขาเฉินเดินเข้าไปหาเขาในทันที แม้ว่าหวังฉีจะยุ่งมาก แต่เขาก็พร้อมสละเวลาฟังรายงานของ เลขาเฉิน

หลังจากได้ยินสิ่งที่เลขาเฉินเล่า หวังฉีก็หัวเราะออกมาพร้อมกับปรบมือ

“ท่านผู้บริหาร ท่านหัวเราะเรื่องอะไรขอรับ” เลขาเฉินอยากรู้อยากเห็น

หวังฉี กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ สัตว์วิญญาณกลายพันธุ์สองตัวที่เซาฉางหามาได้คือตัวอะไร?”

“ข้ารู้ดีขอรับ มันคือหมาเพลิงกลายพันธุ์ที่มีเปลวไฟสีทอง กับ จิ้งจอกหิมะเก้าหางกลายพันธุ์ที่เกิดมาพร้อมกับแสงเรืองรองระยิบระยับงดงาม” เลขาเฉินตอบโดยไม่ต้องคิด “ว่ากันว่าเซาฉางได้รับความไว้วางใจจากองค์ชายเล็กให้ช่วยค้นหาพวกมัน”

หวังฉีกล่าวว่า “ใช่แล้ว สัตว์วิญญาณเหล่านั้นคือของขวัญที่องค์ชายจัดเตรียมไว้สำหรับเทศกาลเสริมอายุยืนยาว หรือก็คือเซาฉางต้องพยายามอย่างเต็มที่ทุกวิถีทางเพื่อตามหาสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวนี้มา เนื่องจากองค์ชายมองว่าพวกมันมีคุณสมบัติเพียงพอในการถวายให้แก่องค์จักรพรรดิ แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าเซาฉางได้สัตว์วิญญาณสองตัวนี้มาจากที่ไหน?”

“ท่านกำลังจะบอกว่า … ” เลขาเฉินประหลาดใจ
“ใช่แล้ว” หวังฉี กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตามที่แหล่งข้อมูลของข้าบอกมา สัตว์วิญญาณทั้งสองตัวนี้ถูกซื้อมาจากลั่วอู๋”

เลขาเฉินเข้าใจได้ในทันทีว่าความสัมพันธ์ระหว่างเซาฉางและลั่วอู๋ นั้นไม่ได้ตื้นเขินแน่

“เจ้ารีบไปหาเซาฉาง แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังซะ คนสนิทของเขาบังอาจไล่แขกของข้าออกไป เขามีบัญชีต้องสะสางกับข้า” หวังฉี กล่าว

เลขาเฉินยิ้มแล้วพยักหน้า “รับทราบขอรับ”

ไหปีศาจ

ไหปีศาจ

Status: Ongoing
อ่านนิยายเรื่อง ไหปีศาจลั่วอู๋ โดนไหหล่นใส่หัวจนข้ามมิติไปอยู่ในร่างของ นายน้อยลั่ว ผู้ถูกเนรเทศ เพราะไม่สามารถทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรได้ แต่แล้วเขาก็พบว่าเจ้าไหที่เป็นปัญหาได้เชื่อมต่อกับเขา ความสามารถของเจ้าไหปีศาจนี้ท้าทายสวรรค์ยิ่งนัก เพียงแค่ ลั่วอู๋ใส่ ดอกหญ้าลงไปมั่วๆ มันสังเคราะห์สัตว์วิญญาณระดับเงินให้กับเขา ยิ่งเขาลองใส่ของลงไปมั่วซั่วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสังเคราะห์ สิ่งต่างๆออกมา ทั้ง ยาวิญญาณ อาวุธวิญญาณ สัตว์อสูร ภูต

Comment

Options

not work with dark mode
Reset