ตอนที่ 10 คำพูดที่ทรงพลัง
หลังจากเดินไประยะหนึ่ง ไม่นานมั่วเชียนเสวี่ยก็สืบเสาะพบเจอว่าถนนสายใดที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดและร้านอาหารใดคึกคักที่สุด
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเที่ยงตรง แม้ภัตตาคารจะเปิดทำการแล้วแต่ลูกค้าก็ยังคงไม่มากนัก เป็นจังหวะและโอกาสอันดีในการเข้าไปพูดคุยเจรจาเรื่องค้าขาย
มั่วเชียนเสวี่ยจูงมืออาซ้อฟางไว้ สองเท้าก้าวเข้าไปในภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ดูมีสง่าราศีที่สุด ทั้งยังเป็นภัตตาคารที่เล่ากันว่าค้าขายดีที่สุด…ภัตตาคารอิ๋งเค่อเซวียน
เมื่อถึงประตูทางเข้า อาซ้อฟางที่อยู่ข้างหลังกลับดึงนางกลับอย่างไม่ไว้ใจ ทั้งสองหลบมายืนข้างๆ พลางพูดคุยกัน “สถานที่แบบนี้ ไม่ใช่ที่ของพวกเราหรอก ใจพี่หวาดกลัวเหลือเกิน พวกเรากลับกันจะดีกว่า” เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาแวววาวของมั่วเชียนเสวี่ยที่หันมามอง นางจึงเสริมอีกประโยคด้วยความเขินอาย “ข้ากลัว…กลัวว่าถ้าหากไปทำวัตถุดิบเสียหาย พวกเราคงชดใช้ไม่ไหว”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเล็กน้อยอย่างเข้าใจ พร้อมกับพูดปลอบใจ “มีข้าอยู่ทั้งคน ซ้อแค่ทำตามที่ข้าบอกก็เพียงพอแล้ว ไม่ต้องกังวล!”
จากนั้นทั้งสองจึงจัดเสื้อผ้าและผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินเข้าไปข้างใน เมื่อพบกับเสี่ยวเอ้อร์ มั่วเชียนเสวี่ยก็เอ่ยทักทายอย่างสุภาพและอธิบายจุดประสงค์ของการมาเยือน
หลังจากเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินว่าทั้งสองคนไม่ได้มาทานอาหาร รอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า แค่เพียงชั่วพริบตาเดียวก็พลันหายไปโดยปริยาย
เมื่อฟังอีกครั้ง ที่คนตรงหน้าบอกว่ามาหาเถ้าแก่ของร้านเพื่อพูดคุยเรื่องค้าขาย เขาก็เงยหน้าสังเกตพวกนางอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ทั้งคู่ใส่เสื้อผ้าหยาบๆ บนร่างกายไม่มีแม้แต่เครื่องประดับสักชิ้น คนหนึ่งใช้ปิ่นปักผมไม้ ม้วนผมขึ้น ส่วนอีกคนใช้ตะเกียบข้างหนึ่งม้วนผมเอาไว้ ล้วนแล้วเป็นการแต่งตัวของคนชนบท ครั้นเห็นดังนั้นเสี่ยวเอ้อร์จึงขับไล่พวกนางออกไปด้วยสีหน้าดูถูกเหยียดหยาม
ระหว่างที่ผลักไสกันอยู่นั้น จู่ๆ มีชายคนหนึ่งคนเดินออกมาจากทางด้านใน
ชายผู้นั้นสวมเสื้อคลุมยาวทั้งตัว ท่าทางดูเฉลียวฉลาด แต่สีหน้าที่กลับดูไม่สบอารมณ์
“เกิดอะไรขึ้น” ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าของที่นี่
มั่วเชียนเสวี่ยที่กำลังรอเพื่อที่จะก้าวไปอธิบาย แต่ถูกเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นแย้งขึ้นเสียก่อน
“ผู้จัดการเลี่ยว สตรีนักต้มตุ๋นสองนางนี้บอกว่าต้องการจะขอพบท่านเถ้าแก่เพื่อพูดคุยเรื่องค้าขาย นางจึงขอให้ข้าไปเรียกแต่ข้าไม่ยอม ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไปเสียทีขอรับ”
ผู้จัดการเลี่ยวไม่แม้แต่จะชายตามองหญิงสาวทั้งสอง แต่กลับฟาดใส่หน้าและหัวเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นเต็มแรง
“เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังต้องให้สั่งอะไรอีก เพียงไล่ออกไปให้พ้นก็พอแล้วหรือถ้ายังไม่ไปก็ให้ขนมปังนึ่งไปสองก้อนก็สิ้นเรื่อง อย่าทำให้เสียเวลาทำมาค้าขายไปมากกว่านี้ จัดการไม่ได้? เจ้าไม่มีปัญญาจัดการก็พูดมา!”
ไม่ต้องให้เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นมาไล่ มั่วเชียนเสวี่ยยืดหลังตรงพร้อมกับดึงอาซ้อฟางที่ก้มหน้าสงบเสงี่ยมเดินผลุนผลันออกไปข้างนอก
ให้ขนมปังสองก้อนแล้วไล่ให้ไปงั้นหรือ เห็นนางเป็นขอทานหรืออย่างไร
ทันทีที่ออกมามั่วเชียนเสวี่ยก็สบถในใจ พวกคนชอบดูถูกคนอื่น แล้วจะต้องเสียใจในภายหลัง
ใบหน้าเงยหน้ามองฝั่งตรงข้ามก็พบภัตตาคารแห่งหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่…ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวี ดูแล้วขนาดคงพอๆ กันกับร้านที่เพิ่งออกมาเมื่อครู่ ทั้งรูปแบบตกแต่งที่งดงามและหรูหรา
ถึงแม้รูปแบบของภัตตาคารแห่งนั้นจะยิ่งใหญ่มโหฬาร แต่ได้ยินมาว่าเรื่องค้าขายซบเซามาก ตอนแรกก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ยเช่นกัน
แต่พอประสบกับเหตุการณ์เมื่อครู่ ในใจของนางเต็มไปด้วยความโมโหอย่างรุนแรง ครุ่นคิดเล็กน้อย จากนั้นก็จูงมืออาซ้อฟางข้ามมาที่ฝั่งตรงข้ามทันใด
ครั้งนี้นางสุภาพมากขึ้น สองเท้าเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับเชิดคางขึ้นเล็กน้อย ยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อขอให้เสี่ยวเอ้อร์ไปเชิญเถ้าแก่ของร้านมาด้วยท่าทางดุดัน
ยุคสมัยนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็เคารพกันเพียงเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหม ไม่ได้เคารพที่ตัวบุคคลแต่อย่างใด นางไม่มีเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าไหม อาจดูน่าขันที่กล้าใช้อำนาจและอิทธิพลไปกดดันผู้อื่น แต่จะให้ทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อ…
ยุทธศาสตร์ในการทหารคือการใช้เล่ห์เหลี่ยมไหวพริบ
ยุทธศาสตร์ในเรื่องค้าขายก็ใช้หลักการเดียวกัน
แม้เสี่ยวเอ้อร์จะเห็นว่าเสื้อผ้าของนางขาดวิ่น ทว่าดูท่าทางไม่เหมือนคนทั่วไป ถึงคำพูดคำจาค่อนข้างใช้อำนาจเล็กน้อยแต่กลับลังเลกลัวว่าจะทำให้นางเกิดไม่พอใจขึ้นมา
“ปฏิบัติหน้าที่ได้ล่าช้าเพียงนี้ หากกระทบชื่อเสียงของท่านเถ้าแก่ เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าทีลังเลไม่ตัดสินใจเสียที ก็มีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแล้วตวาดเขาไปหนึ่งที ทั้งที่จริงในใจของนางกลับเต้นระรัวราวกับกำลังตีกลองบ่วง
อาซ้อฟางเคยประสบพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหนกัน เอาแต่อยู่ตามหลังร่างบางด้วยสีหน้าหวาดผวากลัวจนหัวหด ไม่เหมือนเพื่อนคู่คิดแต่เหมือนกับหญิงสาวรับใช้เสียมากกว่า
เสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้นไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของนาง พอถูกตวาดไปหนึ่งทีจึงคิดไตร่ตรองอีกหน ถึงอย่างไรก็แค่นำเรื่องไปบอกเท่านั้น
ถ้าหากว่าปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าจนกระทบชื่อเสียงของเถ้าแก่ขึ้นมาจริงๆ ลูกจ้างตัวเล็กๆ เช่นเขาก็คงรับผิดชอบไม่ไหว คิดได้ดังนั้น เสี่ยวเอ้อร์จึงยิ้มพลางพูดสุภาพขึ้นมาเล็กน้อย “ข้าจะนำทางไปพบ เชิญทั้งสองท่านทางนี้”
ลานทางด้านหลังของภัตตาคารค่อนข้างกว้างขวาง ต้นไม้เขียวชอุ่มหลายต้นเรียงรายทำให้ลานแห่งนี้พลันเงียบสงบขึ้นมาโดยปริยาย
ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่วุ่นวาย ทว่ายังสามารถรักษาความสงบเงียบไว้ได้ เจ้าของภัตตาคารแห่งนี้น่าจะเป็นคนที่มีอารมณ์สุนทรีย์พอควร
เสี่ยวเอ้อร์ให้ทั้งสองรออยู่ในบริเวณลานกว้าง ส่วนตนจะไปห้องที่อยู่ด้านข้างห้องโถงใหญ่เพื่อจัดการแจ้งข่าวให้ทราบ ครั้นกำลังจะเคาะประตูประจวบกับมีคนเดินออกมาจากด้านใน
ชายอายุประมาณห้าสิบปี เสื้อแขนกุดสีฟ้าอมเขียวถูกสวมด้วยเสื้อคลุมยาวแบบสามัญชน เลี้ยงเคราที่สั้นและแหลมกระจุกหนึ่งพร้อมกับใบหน้าสุภาพอ่อนโยน
เมื่อเห็นเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังจะเคาะประตู ก็พลิกฝ่ามือไปปิดประตูพลางถามขึ้นอย่างสงสัย “เสี่ยวฉีจื่อ เจ้าไม่ต้องคอยต้อนรับแขกอยู่ที่ห้องโถงด้านนอกหรือ เหตุใดจึงมาที่ลานด้านในนี้กัน”
“เถ้าแก่หลี่ขอรับ แต่สตรีสองนางนี้บอกว่าจะมาขอพบท่าน กล่าวว่ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาหารือ ข้าไม่กล้าขัดขวางจึงพาพวกนางเข้ามา” เสี่ยวเอ้อร์โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยตอบ
“อ้อ เจ้าสองคนมาหาคนแก่อย่างข้ามีเรื่องอะไรหรือ” เถ้าแก่หลี่เคลื่อนย้ายสายตามามองที่มั่วเชียนเสวี่ยและอาซ้อฟาง พลางสำรวจขึ้นลงเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีสีหน้าดูถูกปรากฏออกมาให้เห็น แต่ใบหน้านั้นกลับดูหยิ่งยโสขึ้นมา
มั่วเชียนเสวี่ยทำความเคารพเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบ “เถ้าแก่หลี่เจ้าคะ ข้ามีเรื่องสำคัญจะปรึกษาหารือจริงๆ”
“มีเรื่องปรึกษาหารือเช่นนั้นหรือ เรื่องสำคัญอะไรกัน” บนใบหน้าของเถ้าแก่หลี่ฉายแววหวาดระแวงออกมา
สตรีชนบทที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนแต่กลับมาขอพบเขา จะมีเรื่องสำคัญอะไรได้
“ข้ามีใบรายการอาหารสองสามใบที่อยากจะเสนอขายให้เถ้าแก่” มั่วเชียนเสวี่ยพูดตรงไปตรงมาด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
การพูดคุยเรื่องค้าขายก็คือการพูดคุยเรื่องค้าขาย เอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน ไม่มีอะไรที่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน
“ว่าอย่างไรนะ ขายใบรายการอาหารอย่างนั้นหรือ ข้าไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม หญิงสาวชนบททั่เช่นเจ้ารู้หรือว่าอะไรที่เรียกว่าใบรายการอาหาร เพียงทำอาหารง่ายๆ ธรรมดาไม่กี่อย่าง อย่าได้ริอ่านคิดว่าตนจะเทียบเท่าพ่อครัวใหญ่ได้ หยุดความคิดเถิด! เห็นแก่ชีวิตของหญิงสาวที่ยากลำบากเช่นเจ้า ข้าจะไม่โต้เถียงให้มากความ เสี่ยวเอ้อร์ส่งแขก”
เมื่อเขาได้ยินว่าคนตรงหน้ามาเพื่อขายใบรายการอาหาร สีหน้าก็พลันเปลี่ยนไปทันควัน มีคนแบบนี้ไม่น้อยวนมาให้เห็นทุกปี แต่ว่ากลับไม่เคยมีใครนำเสนออาหารที่เป็นแนวคิดแปลกใหม่มาเสนอเลยสักครั้ง ทั้งยังทำให้สิ้นเปลืองวัตถุดิบของภัตตาคารไปไม่น้อย คิดแล้วก็เสียดาย
เสี่ยวเอ้อร์ที่เห็นเถ้าแก่มีท่าทีหงุดหงิด เริ่มรู้สึกไม่ดี กลัวว่าจะทำให้เขาพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย จึงรีบส่งแขกในทันที
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สนใจแรงดึงของอาซ้อฟางสักนิด พลางพูดเสียงดังตามหลังเถ้าแก่ “คำพูดของเถ้าแก่นั้นผิดแล้ว เคยมีคำกล่าวที่ว่า ‘เหล่าสตรีก็มีศักยภาพ ไม่ว่าบุรุษจะทำอะไรสตรีย่อมทำได้เช่นเดียวกัน!’ ท่านเถ้าแก่จะมาดูถูกสตรีเช่นข้าได้อย่างไร”
คิดดูถูกนางอย่างนั้นหรือ
เหอะ! อาหารที่นางเคยกิน เขาไม่แม้แต่จะเคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำ
“หน้าร้านระดับเดียวกัน บนถนนเส้นเดียวกัน เหตุใดภัตตาคารอิ๋งเค่อเซวียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับมีลูกค้าหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อเทียบกับภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีของท่านที่มีลูกค้าเพียงหยิบมือ หรือว่าเถ้าแก่ไม่ต้องการคำนึงถึงสาเหตุและยินดีถูกพวกเขากดไว้ตลอดไปเช่นนี้”
เถ้าแก่หลี่ครั้นถูกมั่วเชียนเสวี่ยย้อนถามก็สะอึกชั่วขณะ จังหวะฝีเท้าที่เดินจากไปหยุดชะงักลงในทันที
แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะถูกกดไว้เช่นนี้ ทั้งประเภทอาหารของทั้งสองแห่งก็นับว่าต่างกันไม่มาก ฝีมือก็อยู่ในระดับเดียวกัน เดิมทีที่แห่งนี้เป็นภัตตาคารอันดับต้นๆ ในเมืองเทียนเซียงเสียด้วยซ้ำ
แต่เถ้าแก่ผู้นั้นไม่รู้ว่าไปเชิญหญิงมากพรสรรค์มาได้อย่างไร ทั้งเรื่องแสดงดนตรีและการแสดงฝีมือในห้องโถงเกือบทุกวัน
ลูกค้าจำนวนมากจึงถูกดึงไปมากกว่าครึ่งในพริบตาเดียวและก็เป็นเพราะภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา ลูกค้าที่มาจึงมักเปรียบเทียบทั้งสองร้านแล้วก็เลือกที่จะเข้าร้านนั้นไป ส่งผลให้การค้าขายของภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีแห่งนี้เริ่มไปต่อไม่ได้