ตอนที่ 13 หญิงหม้ายมักถูกจับตามอง
มั่วเชียนเสวี่ยได้เดินทางออกจากภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีไปแล้ว คุณชายเจ็ดพลันหุบรอยยิ้มลง จากนั้นกำชับให้เถ้าแก่หลี่คัดลอกสูตรอาหารตามที่นางได้ทิ้งเอาไว้ให้ถึงสิบกว่าแผ่น จากนั้นจึงไล่ให้เขานำวิธีปรุงเหล่านั้นส่งไปให้ถึงมือเถ้าแก่ประจำภัตตาคารสาขาต่างๆ ด้วยตนเอง
เมื่อเถ้าแก่หลี่เดินทางออกไปแล้ว เขาเองก็ได้คัดลอกด้วยลายมือของตนเองอีกหนึ่งฉบับพลางยื่นส่งให้กับอาลู่ “เอ้านี่ เจ้าจงนำไปให้อาจ้าวพร้อมกับสั่งให้เขาใช้ม้าไวส่งไปยังเมืองหลวง พร้อมทั้งบอกกับคุณชายใหญ่ว่าอีกเพียงไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะทำให้ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวีของเราค้าขายรุ่งเรืองขึ้นมาและจะมีแขกมากมายเดินทางมาที่นี่”
“ขอรับ!” อาลู่รับกระดาษจดสูตรอาหารนั้นมาแล้วใช้ผ้ากันน้ำห่อหุ้มอย่างดี ขณะที่เขากำลังเตรียมตัวออกเดินทาง คุณชายเจ็ดก็ได้กำชับเขา “เมื่อจัดการธุระเรียบร้อยแล้ว เจ้าไปหาเถ้าแก่หลี่ บอกให้เขาหาบัณฑิตที่พอจะมีความรู้บ้างมาพบข้า”
เมื่ออาลู่รับคำสั่งจากไปแล้ว คุณชายเจ็ดจึงได้คัดลอกสูตรอาหารนั้นด้วยมือของเขาหนึ่งฉบับแล้วใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับสายตายิ้มกรุ้มกริ่ม “ส่วนฉบับนี้คือของข้าเอง”
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยจัดการซื้อของที่ต้องการใช้ครบครันแล้ว อาซ้อฟางจึงได้เข้าใจว่าสิ่งใดคือการ ‘ชอปปิง’ ที่ร่างบางกล่าว แม้นางอยากจะห้ามปรามเพียงใดก็ไม่อาจทำได้เลย เนื่องจากมั่วเชียนเสวี่ยมักจะหาเหตุผลต่างๆ มาหักล้างกับนางได้เสมอ
เนื่องจากรถม้าของแซ่จางถูกจ้างวานไปแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงเรียกรถม้าอีกคันหนึ่งซึ่งเจ้าของเป็นชายหนุ่มที่มาจากหมู่บ้านตะวันออกบริเวณใกล้เคียง
“หนิงเหนียงจื่อ เจ้าต้องการจะเปิดร้านขายของในเมืองอย่างนั้นหรือ” ระหว่างที่รถม้าเอนเอียนอยู่บนถนน อาซ้อฟางก็ได้เอ่ยถามสิ่งที่เก็บไว้ในใจมาเนิ่นนาน
ครั้นอยู่ในเมือง มั่วเชียนเสวี่ยได้เอ่ยถามผู้คนมากมายไปทั่วอย่างละเอียดถี่ถ้วน สิ่งเหล่านี้นางเองก็เห็นอยู่ในสายตา
“สถานการณ์ของบ้านข้า อาซ้อเองก็น่าจะรู้ดี เพียงค่าตอบแทนของท่านอาจารย์หนิงเล็กน้อยนั้น เขากินคนเดียวก็แทบจะยังไม่พอ อีกทั้งร่างกายยังไม่แข็งแรง หากว่าน้องไม่คิดหาวิธีอื่นเกรงว่าเมื่อถึงปลายปีบ้านของเราคงไม่เหลือแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ”
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่านางเอ่ยถามขึ้น จึงไม่อยากปิดบังความคิดของตนไว้
“ทว่า ค่าเช่าร้านในเมืองนั้นแพงอักโข เจ้าจะรับมือได้อย่างไร” คำพูดของอาซ้อฟางดูเหมือนจะค่อนข้างเป็นกังวล อย่าว่าแต่เรื่องสัญญาเช่าซื้อเลย ค่าเช่าร้านในแต่ละเดือนที่จะต้องจ่ายก็นับเป็นตัวเลขมหาศาลแล้ว นางไม่กล้าแม้แต่จะคิด
เมื่อเห็นท่าทางกังวลใจของอาซ้อฟาง มั่วเชียนเสวี่ยก็หัวเราะออกมา “อาจเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นข้าเองจึงยังไม่ได้วางแผนเปิดร้านในเร็ววันนี้ ทั้งนี้อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว ข้ายังสามารถคิดสูตรอาหารเพิ่มได้อีกหนึ่งอย่าง หลังทำเสร็จเราจะส่งเข้าไปในเมืองอีกครั้ง เมื่อถึงเวลานั้นอาซ้อจะต้องช่วยข้าด้วยนะ”
เงินสองร้อยตำลึงสำหรับอาซ้อฟางและครอบครัวเกษตรกรเช่นพวกเขานั้นถือว่าเป็นเงินก้อนโตทีเดียว แต่สำหรับการเริ่มต้นสร้างกิจการของมั่วเชียนเสวี่ยแล้วนับว่ายังห่างไกลความจริงมากเหลือเกิน อีกอย่างในวันนี้เมื่อซื้อของเสร็จสรรพก็หมดไปเสียหลายสิบตำลึงแล้ว
เมื่ออาซ้อฟางได้ยินนางกล่าวว่ายังไม่ได้ตั้งใจลงมือก็ทอดถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก แต่นางดันลืมฟังคำว่าเร็ววันนี้ไปเสียได้ จากนั้นจึงยื่นมือขึ้นมาสัมผัสลูบไล้ปิ่นเงินก่อนจะยิ้มแล้วตอบกลับ “แน่นอน ในฤดูหนาวข้าเองก็ไม่มีงานอะไรให้ต้องทำมากนัก เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นลูกมือเจ้าเอง เมื่อฤดูหนาวนี้ผ่านพ้นไปและถึงฤดูใบไม้ผลิย่างเข้ามา ค่อยให้ทางหมู่บ้านปล่อยน้ำออกมาให้ท่านอาจารย์สักหนึ่งนา ระหว่างนั้นหากมีเงินจากการทำอาหารก็คงไม่ต้องกังวลใดๆ อีก”
มั่วเชียนเสวี่ยเม้มริมฝีปากหัวเราะ เป็นจริงดังนั้นที่ว่าสตรีมักคู่กับความงดงาม ตลอดการเดินทาง อาซ้อฟางลูบไล้ดอกไม้สลักบนปิ่นเงินนั้นนับครั้งไม่ถ้วน
“วางใจเถิดซ้อฟาง ข้าจะให้ค่าตอบแทนท่านเดือนละแปดร้อยอีแปะ”
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กลับทำให้อาซ้อฟางตกใจพร้อมกับกล่าวอย่างตะกุกตะกัก “เจ้าว่าอย่างไรนะ ค่าตอบแทนหรือ! ซ้อจะไปเอาเงินจากเจ้าได้อย่างไร! ไม่ได้! ซ้อจะช่วยเจ้าโดยไม่…”
อาซ้อฟางดูเหมือนกำลังจะกล่าวบางสิ่งออกมาอีกแต่ถูกมั่วเชียนเสวี่ยขัดจังหวะข “อาซ้อฟาง แม้แต่พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันอย่างเปิดเผย อาหารที่ข้าทำนั้นก็เพื่อนำไปแลกกับเงิน เมื่อได้เงินมาแน่นอนว่าจะต้องแบ่งเป็นค่าตอบแทนให้แก่ซ้อด้วย ซ้อคงไม่ได้คิดว่าข้ามีแผนการอื่นซ่อนเร้นหรอกใช่หรือไม่”
ทั้งสองคนโต้เถียงกันไปมา ท้ายที่สุดก็เข้าใจถึงเรื่องผู้จ้างกับผู้ว่าจ้าง
รถม้าดำเนินไปตามทางกันดาร ทุกสิ่งอย่างเริ่มมองเห็นแนวทางแล้ว ในที่สุดมั่วเชียนเสวี่ยก็สามารถวางหินก้อนใหญ่ในใจลงสักที เมื่อเปิดม่านออก อากาศอันแสนบริสุทธิ์ก็ลอยเข้ามา พร้อมกับสูดหายใจเข้าเต็มปอด อากาศในโลกนี้ช่างดีจริงๆ
“เอ๊ะ นั่นไม่ใช่กุ้ยฮวาแม่หม้ายแซ่เกาหรอกหรือ พี่ชายช่วยหยุดรถก่อน!”
รถม้าจึงหยุดลงตามคำเรียกร้องของอาซ้อฟาง ด้านข้างของรถมีหญิงวัยยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีผู้หนึ่งยืนอยู่
“กุ้ยฮวา เหตุใดเวลานี้เจ้ายังอยู่ข้างทางอีก ขึ้นมาเถิด พวกเราจะส่งเจ้ากลับบ้าน” เมื่ออาซ้อฟางพบหญิงผู้นั้นก็ให้การทักทายอย่างอบอุ่นแล้วแนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันก่อนจะเชื้อเชิญแม่นางผู้นั้นขึ้นรถม้าด้วยกัน
“ไม่เป็นไร หนทางไม่ได้ไกลจนเกินไป ข้าเดินกลับเองได้” กุ้ยฮวาก้มหน้าลงปฏิเสธเสียงเบา
“ไม่ไกลอย่างนั้นหรือ นับจากตรงนี้ยังต้องเดินทางอีกถึงยี่สิบลี้เชียวนะ! เจ้าจะมาเกรงใจซ้อทำไมกันเล่า อีกอย่างหากเจ้ากลับไปช้าล่ะก็ใครจะดูแลหนีเอ๋อร์ ป่านนี้คงหิวแย่แล้ว”
เมื่อกุ้ยฮวาได้ยินคำว่าหนีเอ๋อร์ นางก็ชะงักและมีท่าทีอ่อนลงทันใด อาซ้อฟางเห็นนางดูลังเลคิดไม่ตกจึงได้กระโดดลงจากรถม้าแล้วลากนางขึ้นมาด้วยกัน
“อาซ้อกุ้ยฮวา เหตุใดตอนเช้าไม่นั่งรถม้ามากับอาซ้อจางเล่า” เมื่อทั้งสองคนขึ้นรถมา มั่วเชียนเสวี่ยก็ได้ขยับเข้าไปด้านในแล้วเอ่ยทักอย่างเป็นมิตร
“นางจะกล้านั่งหรือ หากนางนั่งไปด้วยละก็เถ้าแก่เนี้ยจางคงจะตระเวนลากนางไปดุด่าทั่วหมู่บ้าน หรือไม่ก็ยืนดักด่านางที่หน้าบ้านนั่นแหละ…” อาซ้อฟางเป็นผู้มีนิสัยทนไม่ได้หากเห็นผู้ใดถูกรังแก
จะว่าไป เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยนึกถึงเรื่องเมื่อเช้าขึ้นมาได้
อาซ้อจางจะให้สามีของนางไปส่งพวกนางเข้าเมือง แต่เมื่ออาซ้อฟางส่งเงินให้พร้อมกับกล่าวว่านี่คือเงินค่ารถของพวกนาง แม้ปากของอาซ้อจางจะกล่าวว่าหากรับไว้คงเกรงใจแย่ แต่มือกลับเอื้อมมาคว้าหมับเก็บใส่กระเป๋าอย่างว่องไว ราวกับกลัวอาซ้อฟางจะเปลี่ยนใจ
คนคนนี้ คงไม่น่าคบหาเท่าไรนัก!
“หนิงเหนียงจื่ออย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป แท้จริงแล้ววันนี้ข้าตื่นสายจึงได้ออกเดินทางช้าประกอบกับตาคู่นี้นับวันยิ่งมองเห็นเลือนลางขึ้นทุกที ขณะที่ปักทอผ้าจึงเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง มัวแต่แก้ไขตรงนั้นตรงนี้ ดังนั้นตอนเดินทางกลับจึงช้ากว่าเดิมเล็กน้อยก็เท่านั้น”
หลังจากได้ยินคำพูดของอาซ้อฟางเมื่อครู่ กุ้ยฮวาก็ไม่ได้เอ่ยคัดค้านแต่อย่างใดแต่กลับอธิบายถึงเหตุผลที่เดินทางกลับช้า
“เจ้าตื่นสายเสียที่ไหนกัน เช้าวันนี้เจ้าก็เห็นไม่ใช่หรือว่ารถม้าของคนแซ่จางยังอยู่ แต่เจ้ากลับรอให้รถม้าเคลื่อนห่างออกไปก่อนจึงค่อยเริ่มออกเดินทางไม่ใช่ หญิงชั่วที่จิตใจโหดร้ายนั่นช่างใจคับแคบเสียเหลือเกิน แม้แต่เจ้าที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีเพียงนี้นางยัง…”
แม้ตอนอยู่ในเมือง อาซ้อฟางจะดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่ในหมู่บ้านนางเป็นผู้ที่ไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใด หากเป็นชายหนุ่มล้วนแล้วแต่ถูกนางกำราบเสียจนต้องยอม ทั้งสตรีน้อยใหญ่นางก็ไม่เคยเกรงกลัว
อาซ้อฟางตะโกนก่นด่าออกมาเสียจนพอใจ แต่หยาดน้ำใสในดวงตาของกุ้ยฮวากลับเริ่มเอ่อล้นออกมา
“อาซ้อฟาง ข้าขอร้องล่ะเจ้าอย่าได้กล่าวต่อไปอีกเลย”
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าทางของนางยามเอ่ยวาจา น้ำเสียงช่างเบาบางอ่อนช้อยเหลือเกิน แม้แต่เวลานี้นางก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องไม่ดีถึงอาซ้อจางแม้แต่น้อย รู้ได้ทันทีว่านางนั้นคือสตรีผู้อ่อนโยนเพียงใด แต่ทว่าชะตาของนางช่างน่าเศร้า ชีวิตของหญิงหม้ายมักจะเป็นที่จับตามองของผู้คนเสมอ!
มองดูแล้วนางน่าจะอายุยังไม่ถึงสามสิบปีแต่ขอบตากลับดำคล้ำ คงเกิดจากการอดหลับอดนอนเพื่อปักทอผ้าอยู่ตลอด