ตอนที่ 32 ระดมพลเข้าป่า
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้โอ้อวดเกินจริง งานแกะสลักรากไม้ถือเป็นงานศิลปะประเภทหนึ่ง การนำรูปทรงและความเป็นธรรมชาติของรากไม้มาใช้เพื่อสร้างสรรค์ผลงาน ย่อมแสดงเสน่ห์และคุณค่าเฉพาะตัวของมันออกมาได้อย่างชัดเจน ทั้งยังทนทานอีกด้วย
หากวัสดุที่เลือกมีคุณภาพสูง ราคาก็ย่อมสูงขึ้นตามไปด้วย เมื่อเทียบกับผลงานมือสมัครเล่นเช่นนั้น นับว่านางเหนือชั้นกว่าเป็นร้อยเท่า
“คุยโม้ไม่ผิดกฎหมาย แต่ช่วยไปโม้ที่อื่นเถิดแม่นาง”
คุณชายที่นั่งอยู่บนรถม้าเอ่ยขัดคำพูดที่ดูถูกของเกาหลั่ง “แม่นาง หากตั้งราคาไว้ถึงห้าร้อยตำลึง ทั้งที่ยังไม่ได้เห็นตัวสินค้า มันจะไม่…”
“ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่คิดเรียกเก็บเงินมัดจำใดๆ ขอเพียงนัดแนะเวลาเพื่อตรวจสอบสินค้า แล้วค่อยดูว่าสินค้าสมราคาหรือไม่ เท่านั้นก็ถือว่าให้เกียรติข้ามากแล้ว” ครั้นได้ยินดังนั้น ในใจของเขาจึงปลื้มปิติเป็นอย่างมาก เพียงเท่านี้ก็นับว่าประสบความสำเร็จไปแล้วเก้าในสิบ เนื่องจากคนสมัยก่อนเวลาเจรจาธุรกิจมักจะดูความซื่อสัตย์เป็นหลักเสมอ นับประสาอะไรกับคุณชายผู้สูงศักดิ์ที่แสนสุภาพอ่อนโยนและรักชื่อเสียงของตนยิ่งชีพผู้นี้
มั่วเชียนเสวี่ยมั่นใจในผลงานแกะสลักชิ้นนี้…ผลงานที่แกะสลักจากรากไม้นี้ต้องตราตรึงใจผู้คนแน่
ท้ายที่สุด หากเขาบอกว่าไม่ต้องการมัน นางก็ยังขายให้คนอื่นได้ แม้จะขายได้ในราคาที่ไม่สูงนักแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
“ฟังจากคำพูดของเหนียงจื่อน้อยผู้นี้แล้ว ถ้อยคำคมคายดูมั่นใจในผลงานแกะสลักของตนยิ่ง นับว่าเป็นคนช่างเจราจาและเฉลียวฉลาดโดยแท้” คุณชายครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “อีกเจ็ดวันเป็นวันครบรอบวันเกิดของท่านเหล่าไท่จวิน ดังนั้นขอให้ทุกอย่างเสร็จทันภายในหกวันให้หลังนี้ ตกลงหรือไม่ ส่วนเวลานัดพบขอให้เป็นในเวลาบ่ายของวันที่หก ณ ภัตตาคารไป๋อวิ๋นจวี ซินอี้หมิงผู้นี้จะตั้งตารอรับชมผลงานของเจ้า”
ซินอี้หมิง! ชื่อไพเราะนัก เขาเป็นคนเด็ดเดี่ยว แม้ดูเหมือนจะขอความเห็นแต่แท้จริงแล้วนี่เป็นการยื่นคำขาด
วันนี้ช่างเป็นวันดีเสียจริง ถ้าเขาไม่พูดถึงวันกำหนดส่ง มั่วเชียนเสวี่ยคงวิ่งวุ่นจนทำให้เสร็จภายในวันนี้แน่ หลังจากเจ็ดวันผ่านไปจะถึงวันชี้ชะตา นางต้องการเงินโดยเร็วที่สุด!
หลังจากตกลงกันเรียบร้อย ความกังวลใจที่หนักอึ้งของมั่วเชียนเสวี่ยก็หายวับไปกับตา
แกะสลักรากไม้ให้เสร็จภายในไม่กี่วันนี้ดูเป็นไปไม่ได้เสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้นางจะต้องก้าวข้ามขีดจำกัดและไม่ว่าจะต้องอดหลับอดนอนเพียงใดก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาเร่งมือทำให้สำเร็จ
ต้องรักษาจี้หยกไว้ให้ได้!
และที่ดินติดท่าเรือผืนนั้นจะต้องตกเป็นของข้า! มั่วเชียนเสวี่ยปฏิญาณกับตัวเอง
คิดได้เช่นนั้น มั่วเชียนเสวี่ยจึงรีบกว้านซื้อเครื่องมือสำหรับการแกะสลักแล้วจ้างรถม้ากลับไปที่หมู่บ้านทันที
นางต้องรีบกลับไปหารากไม้!
บนรถม้าสุดหรู คุณชายในชุดขาวกำลังเอนหลังอย่างสบายใจโดยมีเกาหลั่งคอยปรนนิบัติ บ่าวรับใช้พลางเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
“นายน้อย เหนียงจื่อน้อยนางนี้จะเชื่อถือได้หรือ เหตุใดถึงยอมง่ายดายนัก เงินห้าร้อยตำลึงเชียวนะขอรับ! เทียบกับผลงานชิ้นเอกชั้นหนึ่งของช่างใหญ่แห่งนี้ที่มีราคาเพียงสามร้อยตำลึงเท่านั้นแล้ว…”
“เกาหลั่ง เหนียงจื่อน้อยได้เอ่ยปากตอบรับแล้วไม่ใช่หรือ อย่าระแวงนักเลย สงบจิตสงบใจเสียเถิด หากผลงานของนางทำให้เราพอใจได้ก็นับว่าเป็นเกียรติของนาง แต่หากไม่ เราก็ไม่มีอะไรต้องเสียเช่นกัน เพียงหวนกลับมาที่ร้านขายเครื่องไม้นี้ก็พอ”
“แล้วพบกันนะคุณชาย!” มั่วเชียนเสวี่ยร้องตามหลัง
……
ณ ท่าเรือเมืองเทียนโยว บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นของผู้คนที่มาหาปลา ซึ่งวิถีชีวิตเรียบง่ายเช่นนี้เริ่มลดน้อยลงเสียแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและพึ่งพาอาศัยกัน บางครั้งถึงขั้นต้องหยุดงานเพื่อกลับมาช่วยเหลือธุระของคนในครอบครัว ส่วนคนที่ว่างงาน พวกเขาก็มักจะมาที่ท่าเรือแห่งนี้
มั่วเชียนเสวี่ยกลับบ้านในเวลาบ่าย เท้ายังไม่ทันแตะถึงพื้นบ้านก็รีบไปที่บ้านของอาซ้อฟางเพื่อขอเรียกใช้คนงานสักสองสามคนไปที่ภูเขาด้านหลัง นางต้องการแรงงานช่วยขุดหารากไม้
หลังจากตัดโค่นต้นไม้ไปแล้วเจ็ดถึงแปดต้น แต่กลับพบว่ามีรากที่ใช้ได้อยู่เพียงไม่กี่ต้นเท่านั้น เมื่อเห็นท่าไม่ดี มั่วเชียนเสวี่ยจึงป่าวประกาศโดยทั่ว ว่าหากผู้ใดสามารถหารากไม้พันธุ์ดีมาให้นางได้ก่อนรุ่งสางของวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะได้รับเงินรางวัลตอบแทนเป็นจำนวนสองร้อยอีแปะ
อันที่จริง หากต้องการขุดรากไม้สภาพดีๆ สักหน่อย มีวิธีอื่นที่ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาถึงสองหรือสามวันด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม นางเชื่อว่ารางวัลตอบแทนที่น่าสนใจย่อมดึงดูดเหล่าผู้กล้าอาสาได้อย่างแน่นอน
ชายสองสามคนในหมู่บ้านตกตะลึงทันที เมื่อคิดว่าเงินตั้งสองร้อยอีแปะนั่นคงมาจากการที่หนิงเหนียงจื่อขายสูตรเต้าหู้ผัดพริกเมื่อคราวก่อน ช่างน่าเหลือเชื่อนัก!
อีกทั้ง รากไม้ที่ถูกขุดกลับมานี้ล้วนถูกส่งต่อไปยังเตาเผาทั้งนั้น ไม่มีประโยชน์อันใด แล้วนางจะเอาไปทำอะไรกัน ไหนจะเงินสองร้อยอีแปะนั่นอีก? ใช้เงินฟุ่มเฟือยเสียจริง!
แต่ใครเล่าจะกล้าปฏิเสธเงินมากมายขนาดนั้น แม้ว่าทุกคนจะมีความสงสัยอยู่ในใจแต่กลับไม่มีผู้ใดคิดออกปากคัดค้านสักคน ฟางต้าถังและชาวบ้านอีกคนเอ่ยชักชวนกันไม่กี่ประโยค ไม่เพียงแต่พวกเขาจะตอบรับข้อเสนอของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ยังต้องปิดปากเงียบและทนมองสายตาดูถูกจากคนอื่นๆ ด้วย
ผู้ที่รับงานนี้มีความสุขได้เพียงครู่เดียวก็ต้องเป็นกังวล เนื่องจากมั่วเชียนเสวี่ยได้ตั้งกฎเหล็กขึ้นมา ว่าหากแก่นของรากไม้ที่นำมาชำรุดเสียหายหรือผู้ใดไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จภายในเวลาที่กำหนด นางจะไม่จ่ายสักอีแปะเดียว…
เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่คนคนเดียวจะสามารถขุดรากไม้ขนาดมหึมาเช่นนั้นได้ ดังนั้นพวกเขาจึงกลับไปผนึกกำลังคนและรวบรวมเครื่องมือต่างๆ เพื่อพิชิตภารกิจนี้
ในเวลานี้ หมู่บ้านหวังจยากำลังคึกคัก หนทางสู่เงินสองร้อยอีแปะภายในคืนเดียว…เพียงการขุดหารากไม้ โอกาสดีๆ เช่นนี้ ใครเล่าจะไม่คว้าเอาไว้ อย่างที่รู้ว่าเมื่อครอบครัวเดือดร้อนคนในครอบครัวก็พร้อมช่วยเหลือ เช่นเดียวกับคนที่เป็นภรรยาหรือลูกๆ
ฉะนั้น อาซ้อฟางและซวนจื่อจึงต้องตามฟางต้าถังและชาวบ้านอีกคนไปด้วยเช่นกัน ก่อนจากไปพวกเขาได้ฝากยายาไว้กับมั่วเชียนเสวี่ยให้ช่วยดูแล
ท้ายที่สุดแล้วใครเล่าจะกล้าปฏิเสธเงินมากมายเพียงนี้
ในคืนนั้น แสงคบเพลิงส่องสว่างทั่วหลังเนินเขาของหมู่บ้านหวังจยา บรรยากาศดูครึกครื้นเสียเหลือเกิน
การระดมพลสำหรับภารกิจในครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จทีเดียว เช้าวันรุ่งขึ้น รากไม้แปดรากที่สมบูรณ์พร้อมจากจำนวนทั้งหมดถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบที่ลานเล็กๆ ของบ้านคนแซ่หนิง
ยามมองไปที่รากไม้เหล่านั้น ดวงตาของมั่วเชียนเสวี่ยจ้องมันอย่างคลั่งไคล้ ปฏิกิริยาของนางทำให้หนิงเซ่าชิงยิ่งงุนงง
เมื่อวันก่อนนางยังมองจี้หยกราคาพันตำลึงของเขาราวกับเป็นเพชรเม็ดงาม แต่มาวันนี้รากต้นไม้พวกนั้นกลับมีค่ามากกว่าหยกงามนั่นเชียวหรือ
เขามองไปที่รูปทรงต่างๆ ของรากไม้สลับกับมั่วเชียนเสวี่ยด้วยสายตาแสนอบอุ่น ภาพตรงหน้าทำให้หนิงเซ่าชิงรู้สึกสนใจขึ้นมาและเพื่อไขข้อสงสัย เขาจึงยิ้มอย่างนึกเอ็นดูพร้อมกับเอ่ยถาม “รากไม้เหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างไรหรือ ไหนเจ้าลองบอกให้ข้าได้รู้เสียหน่อย”
มั่วเชียนเสวี่ยที่มองรากไม้อย่างพินิจพิเคราะห์พลางเอ่ยตอบโดยไม่ได้หันหลังกลับ “แน่นอนว่ารากไม้เหล่านี้มีค่ามาก นี่คือร้านของเราที่ท่าเรือ!”
“ร้าน? จี้หยกของข้าน่าจะทำเงินได้ไม่น้อยนี่ ยังไม่เพียงพออีกหรือ” หนิงเซ่าชิงประหลาดใจเล็กน้อย
เดิมทีราคาตลาดของจี้หยกมีมูลค่าสูงถึงสามพันตำลึง ดังนั้นหากตีราคาเป็นจำนวนพันแปดร้อยตำลึงก็ไม่น่าเป็นปัญหา
หรือว่านางโดนใครหลอกเข้า?
สีหน้าของเขานิ่งไป
ทันทีที่มั่วเชียนเสวี่ยหันหน้ากลับมาแล้วพบว่าสีหน้าของคนร่างสูงดูไม่ค่อยดีนัก ดูเหมือนว่าเขากำลังเข้าใจอะไรบางอย่างผิด ดังนั้นนางจึงรีบดึงจี้หยกออกจากคอแล้วพูดขึ้น “ข้าชอบจี้หยกนี้มาก จนรู้สึกเสียดายหากต้องขายไป”
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยยังสวมจี้หยกไว้ที่คอของนาง ทำให้หนิงเซ่าชิงเกิดคำถามมากมาย
ขณะนี้สีหน้าของเขาเผยให้เห็นความกลัดกลุ้มในใจอย่างชัดเจน มั่วเชียนเสวี่ยจึงแกล้งเย้าแหย่พลางหัวเราะ “นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านให้อะไรกับข้านี่ ข้าจะทำใจทิ้งมันได้อย่างไร”
ใบหูของหนิงเซ่าชิงเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นางคิดไตร่ตรองถี่ถ้วนดีแล้วจึงทำเช่นนี้ “แม้จะไม่ได้นำไปจำนำ แต่ถือว่ามันเป็นของข้าแล้ว หากท่านนึกอยากจะได้คืน ข้าไม่ให้!”
มั่วเชียนเสวี่ยเก็บจี้หยกไว้ที่เดิม ราวกับกลัวว่าเขาจะมาคว้ามันไป หนิงเซ่าชิงหัวเราะท่าทีของนางพร้อมเอ่ยย้ำ “มันเป็นของเจ้ามาตั้งแต่แรก อยากจะทำอะไรย่อมเป็นสิทธิ์ของเจ้า” อันที่จริงเขาควรจะมอบมันให้นางตั้งนานแล้ว
เรื่องการทำเต้าหู้ เวลานี้ยกให้อาซ้อฟางและอาซ้อกุ้ยฮวาเป็นผู้จัดการ หลังจากส่งสำรับเช้าไปให้หนิงเซ่าชิงซึ่งมั่วเชียนเสวี่ยได้ไหว้วานให้อาซ้อฟางเป็นคนทำอาหารในช่วงสองสามวันนี้เอง ส่วนเจ้าตัวก็ขลุกอยู่กับการเลือกสรรรากไม้และวัสดุที่จะนำไปใช้แกะสลักเป็นผลงานชิ้นเอกของตน