ตอนที่ 51 นางอยู่ที่ใดที่นั่นก็คือบ้าน
เจี่ยนฮูหยินรับฟังเรื่องราวทั้งหมดทั้งน้ำตา “ถือว่าฟาดเคราะห์ไปนะลูกแม่”
นางยืนขึ้นพลางชี้ไปยังคนมากมายที่นั่งอยู่บนพื้นพร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงแหลม “มานี่เลย มาให้ข้าตีให้ตายบัดเดี๋ยวนี้ หากยังไม่สำนึกข้าจะส่งครอบครัวของพวกเจ้าไปขายในที่กันดานเสียให้หมด พวกเจ้าจะต้องทนทุกข์ทรมานทำงานหนักไปตลอดชีวิต บอกข้ามาว่าใครเป็นคนที่ทำให้ลูกสาวของข้าตกลงไปในน้ำ!”
นายหญิงของบ้านกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ไม่นานก็จับตัวการที่ ‘บังเอิญ’ ชนคุณหนูตกลงไปในน้ำได้
เจี่ยนเหล่าไท่จวินเปิดปากพูด “เอาล่ะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะต้องสืบหาว่าให้ได้ว่าใครคือเหนียงจื่อน้อยที่ช่วยชีวิตหลานข้าไว้ ต้องส่งของกำนัลตอบแทนบุญคุณช่วยชีวิตในครั้งนี้เสียหน่อย อย่าให้ใครมาว่าได้ว่าตระกูลเจี่ยนของเราตระหนี่และหยิ่งผยอง นอกจากนี้ หุบปากสกปรกของพวกเจ้าทุกคนเอาไว้ อย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป”
“ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องยิ่งนัก เดี๋ยวลูกจะจัดการเรื่องนี้ให้เองขอรับ” ตระกูลใหญ่ปกครองบ้านด้วยความกตัญญูและสร้างชื่อเสียงด้วยความเมตตากรุณา นายท่านเจี่ยนระงับโทสะไปได้เนื่องด้วยคำพูดของมารดา
“แต่ตอนนี้ชื่อเสียงของโยวเอ๋อร์ถูกทำลายไปหมดแล้ว ตระกูลใหญ่ที่ไหนจะมาสู่ขออีก คงจะดีหากท่านแม่ตอบตกลงข้อเสนอของบุตรชายคนโตแห่งตระกูลซิน แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ตระกูลใหญ่โต แต่ก็ยังถือว่าเป็นตระกูลใหญ่ใหม่ที่อยู่ในลำดับต้นๆ ถือว่ายังสามารถเทียบเคียงกับตระกูลเจี่ยนของเราได้อยู่บ้าง…”
เมื่อได้ยินนายท่านพูดถึงลูกชายคนโตของตระกูลซิน ดวงตาของเจี่ยนชิงโยวพลันเป็นประกาย
เจี่ยนเหล่าไท่จวินที่ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยขัดขึ้น “เจ้าพูดอะไร บุตรสาวของวงศ์ตระกูลใหญ่เช่นเราก็ต้องคู่กับบุตรชายของวงศ์ตระกูลใหญ่เท่านั้น ไม่ว่าตระกูลซินจะมีศักดิ์เป็นขุนนางชั้นสูง แต่ก็ไม่ต่างอะไรไปจากจอกแหนที่ไร้รากฐานอันมั่นคง จะคู่ควรกับหลานสาวตระกูลเจี่ยนของข้าได้อย่างไร ”
“ที่ท่านแม่กล่าวนั้นถูกต้องยิ่งนัก คนที่ช่วยชีวิตก็เป็นสตรีนางหนึ่ง ไม่กระทบชื่อเสียงอะไรมากมายนัก หากไม่สามารถเแต่งงานกับตระกูลใหญ่ขั้นสูงสุด ด้วยความสามารถและคุณธรรมของชิงโยวแล้ว ก็ยังคู่ควรกับคุณชายจากตระกูลใหญ่ที่รองลงมา…”
แสงสว่างในดวงตาของเจี่ยนชิงโยวพลันมอดดับลง นางจึงยืนขึ้น มีหมัวมัวช่วยพยุงนางให้เดินไปทำยอบกายกล่าวลาจากไป
……
ณ จวนผู้ว่าการมณฑลซิน
“โชคดีที่เจี่ยนเหล่าไท่จวินผู้นั้นไม่ได้หมั้นหมายหลานสาวให้กับตระกูลของเรา วันนี้คุณหนูเจี่ยนได้ไปก่อเรื่องไว้ที่ท่าเรือ มิฉะนั้น ตระกูลซินของเราอาจจะกลายเป็นตัวตลกไปด้วย” ซินอวี้ยินดีปรีดาด้วยใบหน้าดูถูกเหยียดหยาม
“ท่านพ่อ อี้หมิงจะยังแต่งงานกับคุณหนูของตระกูลเจี่ยน” ซินอี้หมิงขมวดคิ้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับในมือกำหมัดแน่น หากคนผู้นี้ไม่ใช่บิดาของเขา เขาคงจะรีบเข้าไปสั่งสอนให้หลาบจำแล้ว
“อะไรนะ เจ้าโง่ นี่เจ้าถูกผีเข้าสิงหรืออย่างไร”
“ท่านพ่อเคยสัญญากับอี้หมิง…” แม้ว่าคำพูดของเขาจะนิ่งเรียบ แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความโกรธ
“วันนี้กับวันนั้นมันไม่เหมือนกัน!” ซินอวี้ยิ้มแห้ง
สำหรับลูกชายคนนี้ เขามีความกังวลเล็กน้อย เนื่องจากที่เขาสามารถมีวันนี้ได้ก็เพราะความร่วมมือของบุตรชายผู้นี้ รวมไปถึงความสัมพันธ์ที่เกื้อหนุนทางการเงิน ตั้งแต่แม่ของเขาเสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน ลูกชายคนนี้ก็เข้ามารับช่วงต่อจากกิจการทันที ทำให้เขาเห็นว่าบุตรชายผู้นี้โดดเด่นยิ่งนัก
การขึ้นสู่ตำแหน่งผู้ว่าการในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นเพราะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยผ่านทางบุตรชายคนนี้ แต่น่าเสียดายที่อี้หมิงเป็นคนดี ไม่มีเจตนาที่จะประกอบอาชีพขุนนาง เขาจึงคิดหาวิธีอย่างการหาหญิงสาวดีๆ มาเพื่อเกลี้ยกล่อมลูกชายของเขา
ดูเหมือนว่าหญิงสาวที่ขอให้หลี่อี๋เหนียงจัดการเมื่อครั้งที่แล้วล้วนไร้ประโยชน์ คราวนี้เห็นทีเขาคงต้องออกโรงเองเสียแล้ว
“เอาล่ะๆ พักเรื่องคู่ครองของเจ้าไว้ก่อน ข้าได้ยินมาว่าเกิดเรื่องขึ้นวันนี้ที่ท่าเรือ คนที่ทางการชังโยวส่งตัวไปโดนลอบทุบตี ขวัญเสียจนต้องรีบหนีไปเสียด้วย? เจ้าเป็นคนบงการใช่หรือไม่” คนเจ้าเล่ห์แสร้งเอ่ยถามด้วยความจริงใจ
“ท่านพ่อคิดว่าอี้หมิงว่างนักหรือ” ดวงตาของเขาฉายแววดูถูกเหยียดหยาม เจ้าหน้าที่ท่าเรือ? ควรค่าแก่การที่เขาจะไปใช้ลูกไม้สกปรกเช่นนี้ด้วยหรือ
“ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็ดี ส่วนเจ้าไปสืบมาว่ามีใครที่คิดอยากจะทำลายความเป็นพันธมิตรระหว่างตระกูลซินและตระกูลว่านแห่งชังโยว แม้ว่าตระกูลว่านจะไม่ทรงพลังเทียบเท่ากับตระกูลเจี่ยน จำเอาไว้ว่าตระกูลซินของพวกเราไม่มีพละกำลังอะไรมาก เราต้องผูกมิตรเท่านั้น อย่าได้คิดสร้างศัตรู”
ซินอวี้ไม่สนใจท่าทีของลูกชายคนนี้ที่มีต่อเขา ขอแค่ทำงานให้กับเขาอย่างเต็มที่ก็พอ “พอมาคิดดูแล้ว หากเจ้าสามารถแต่งงานกับคุณหนูของตระกูลเจี่ยนได้จริงๆ ก็ไม่เลวเลยนะ อย่างน้อยในราชวงศ์เทียนฉีนี้ ตระกูลเจี่ยนก็เป็นอีกตระกูลที่มีรากฐานมั่นคง”
“ข้าไม่ได้จะแต่งงานกับคุณหนูของตระกูลเจี่ยนเพราะชาติตระกูลของนาง!”
ซินอี้หมิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยขัดจังหวะขึ้น จากนั้นจึงหันหลังจากไปยังห้องหนังสือทันทีอย่างเสียมารยาท ยามนี้เหลือเพียงซินอวี้ที่ยืนตกตะลึง เขาใช้เวลาอยู่นานกว่าครึ่งวันจนสามารถสงบสติอารมณ์ลงได้ สองมือทุบโต๊ะปึงปัง “ลูกนอกคอก…”
……
ณ ไป๋อวิ๋นจวี
เป็นเวลายามดึกแล้ว แต่คุณชายเจ็ดยังคงนั่งจมดิ่งในความคิดอยู่ที่ห้องหนังสือ
ท่าเรือเทียนโยวนั้นสามารถไปมาหาสู่ระหว่างเมืองหลวงได้ ดังนั้นเขาจึงส่งคนไปตรวจสอบ
เมื่ออาจ้าวไปถึงที่นั่น เขาบังเอิญเห็นฉากที่คุณหนูตระกูลเจี่ยนตกลงไปในน้ำ เขาคงไม่สนใจหากคนตกน้ำไม่ใช่คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลเจี่ยน และเขาคงไม่ดูเหตุการณ์ต่อหากคนที่ช่วยชีวิตนางไว้ไม่ใช่มั่วเชียนเสวี่ย
การรายงานของอาจ้าว สร้างความตกใจให้กับคุณชายเจ็ดตระกูลซูเป็นอย่างมาก บรรดาบุตรของตระกูลซูล้วนแล้วคุ้นเคยกับทักษะทางการแพทย์ไม่มากก็น้อย ทั้งนี้เขาเคยได้ยินวิธีการส่งต่อลมปราณมาก่อน แต่เขารู้ดีว่าหากไม่ใช่ญาติสนิท คงไม่มีใครคิดที่จะลองทำง่ายๆ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันวุ่นวายอย่างใหญ่ยิ่ง
คนโง่ นางไม่รู้หรือว่ามันเสี่ยงแค่ไหน ถ้าหาก…
อะไรทำให้หญิงสาวตัวเล็กๆ กล้ากระทำการใหญ่อย่างน่าตกใจแบบนี้ได้ ต้องใจกว้างเพียงไหนกันเชียวถึงกล้าพอช่วยเหลือผู้อื่น พอสำเร็จแล้วก็ล่าถอยไปอย่างเงียบๆ
รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นในใจอีกครั้ง เขารู้สึกอิจฉาหญิงสาวที่ตกน้ำยิ่งนัก…
……
ในช่วงต้นฤดูหนาวของหมู่บ้านหวังจยา ยามเช้ามักจะเงียบสงบ
เมื่อหนิงเซ่าชิงตื่นนอน เห็นริมฝีปากบวมเจ่อของมั่วเชียนเสวี่ย จู่ๆ แรงปารถนาก็ก่อตัวขึ้นอย่างเอาแต่ใจ
ร่างบางนอนหลับสนิท ลมหายใจผ่อนปรนราบรื่น นางคงยังไม่ตื่นขึ้นในเร็วๆ นี้หรอก
คิดได้ดังนั้นเขาจึงก้มศีรษะลง หันหน้าไปทางริมฝีปากนุ่มเพื่อจุมพิต…
ทันใดนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็ลืมตาขึ้น ยามเห็นใบหน้าใหญ่ตรงหน้า นางตกใจเผลอฟาดฝ่ามือเข้าที่แก้มข้างหนึ่งของคนตรงหน้าไม่รู้ตัว
“มั่ว! เชียน! เสวี่ย!”
“ข้า ข้าขอโทษ”
ตอนนี้ใบหน้าของหนิงเซ่าชิงดำทะมึนดุจถ่าน มั่วเชียนเสวี่ยจึงต้องระมัดระวังทั้งคำพูดและการกระทำให้มากที่สุด
นางพูดได้เลยว่าทันทีที่ตื่นขึ้นมา นางไม่เห็นด้วยซ้ำว่าคนที่บังการมองเห็นของตนเองอยู่นั้นคือใคร เพียงแต่ฝ่ามือมันกลับเป็นไปโดยไม่ตั้งตัว ต้องโทษสัญชาตญาณสิถึงจะถูก?
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารรายล้อมด้วยความตึงเครียด มีเพียงมั่วเชียนเสวี่ยที่หาเรื่องพูดคุยเจื้อยแจ้ว
“เซียนเซิง ช่วงนี้เด็กนักเรียนเชื่อฟังดีหรือไม่”
“อืม”
“เซียนเซิง อาหารวันนี้ถูกปากไหม”
“อืม”
“เซียนเซิง ท่านหนาวหรือไม่…”
ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงตอนนี้ ไม่ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะพูดอะไร คำตอบที่ได้จากหนิงเช่าชิงยังคงเป็น ‘อืม’ แล้วก็ ‘อืม’
เขาจะทำท่าทีเย็นชาใส่นางไปถึงเมื่อไหร่กัน!
มั่วเชียนเสวี่ยกลัดกลุ้มในใจยิ่งนัก เพียงแค่โดนตบเท่านั้นเองไม่ใช่หรือ ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจ ใครใช้ให้เขายื่นใบหน้าเข้ามาใกล้นางในตอนนั้นกันล่ะ มันก็ต้องเกิดอาการตกใจเป็นธรรมดา ทุกคนล้วนมีสัมผัสที่หกกันทั้งนั้นล่ะ!
……
เพิ่งจะถึงช่วงต้นของฤดูหนาวแต่ด้านนอกกลับมีหิมะโปรยปรายแล้ว
ในขณะที่หนิงเซ่าชิงกำลังเดินไปตามเส้นทางระหว่างหมู่บ้านพร้อมกับหนังสือในมือ ในใจกลับรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครตบหน้าเขามาก่อนเลย
อีกอย่างร่องรอยการถูกตบนั่นก็เป็นเพราะเขาที่หาเรื่องเอง เขาทำอะไรไม่ถูกและไม่สามารถตำหนิร่างบางได้ด้วย แน่นอนว่าการลักหยกขโมยบุปผาย่อมมีโทษ แต่เขาอยู่บนเตียงของตัวเองและเพียงอยากจุมพิตภรรยาของตัวเองก็เท่านั้น จะเรียกว่าเป็นการขโมยได้หรือ…