ตอนที่ 53 ล้วนพากันตกตะลึง
เดิมทีอาซ้อฟางต้องการจะไปเชิญแม่หมอจากหมู่บ้านตงชุนมาดูฤกษ์ยามแล้วค่อยเริ่มลงมือ แต่กลับถูกมั่วเชียนเสวี่ยรั้งเอาไว้ กล่าวว่า “ดูฤกษ์ยามมิสู้ดูเวลาสะดวก”
การสร้างบ้านมิใช่เรื่องเล็ก อาซ้อฟางจึงอยากจะโน้มน้าวใจนางอีกสักหน่อย
ขณะเดียวกันที่หนิงเซ่าชิงเดินออกมาจากห้องหนังสือ ได้ยินประโยคที่พวกนางสนทนากันอยู่พอดี แต่เขาก็มิได้เหลือบตามองหรือหยุดฝีเท้าลง ได้แต่เดินตรงไปยังใต้ต้นหอมหมื่นลี้ ใบไม้ร่วงหล่นลงมาพัดปลิว เขาชะงักลงเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อมมือออกไปคว้าเอาไว้กล่าวออกมาเบาๆ ว่า “เป็นเช่นนี้ดีแล้ว”
อาซ้อฟางให้ความเคารพนับถือหนิงเซ่าชิงเสมอ แต่ไหนแต่ไรมานางก็เชื่อฟังคำเขามิเคยละเมิด เมื่อพบว่าหนิงเซ่าชิงเห็นด้วย ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความตั้งใจในการโน้มน้าวลง
เมื่อหาคนงานได้ครบ ในไม่ช้าพวกเขาก็ลงมือทำงาน
หิมะบางๆ โปรยปรายลงมาอยู่สองวัน ในที่สุดดวงตะวันก็ปรากฏขึ้น เป็นช่วงเวลาที่เกษตรกรว่างงาน ดังนั้นผู้ที่มีพละกำลังมากพอล้วนเดินทางมาช่วยเหลืองานที่นี่
ในพื้นที่เล็กๆ เช่นนี้ กลับมีผู้คนมาช่วยงานกว่าสามสี่สิบคน จากการชี้นำของหนิงเซ่าชิง พวกเขาได้แบ่งกันไปทำหน้าที่ของตน อาทิเช่น เตรียมฐานราก รื้อถอนและซ่อมแซม…
ทุกวันในตอนเช้าตรู่หลังจากที่หนิงเซ่าชิงได้กำชับมอบหมายงานแก่ทุกคนเรียบร้อยแล้ว ก็จะเดินทางไปสอนหนังสือที่โรงเรียน บางคราหากมีเวลามากพอเขาก็จะลงแรงด้วยตนเอง
แต่ก็เพียงแค่การช่วยหยิบจับเล็กน้อย ด้วยท่าทางอันสง่างามทำให้กิริยาของเขางดงามดุจดั่งกำลังเต้นรำ
หวังเทียนซงเป็นคนหัวดี ไม่ว่าคำใดที่หนิงเซ่าชิงเคยกล่าวหรือกำชับกับเขา เขาก็สามารถทำตามได้อย่างดีเยี่ยม
แม้จะอายุยังน้อย แต่ก็ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการซ่อมแซมหอบรรพชน อีกทั้งเป็นหลานชายของหวังเอ้อร์จึงทำให้มีความน่าเชื่อถือ ชาวบ้านได้จัดการเรื่องต่างๆ ภายใต้การชี้นำของเขาอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีสิ่งใดผิดพลาดแม้แต่น้อย
ทุกครั้งที่หนิงเซ่าชิงกลับมาถึง เขาจะพยักหน้าสองสามที มุมปากของเขาดูเหมือนมีรอยยิ้มกับผลลัพธ์ที่ได้ เสมือนว่าทุกสิ่งเป็นไปตามที่เขาได้คาดเดาเอาไว้
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่า แม้เขาจะไม่ได้อยู่ด้วยตลอดการทำงาน แต่ทุกสิ่งที่นี่นั้นมีเขาเป็นผู้วางแผน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นหรือปัญหาที่อาจพบได้ในอนาคต ล้วนอยู่ในการจัดการของเขา
หวังเทียนซงมักใช้สายตาแห่งการชื่นชมยกย่องจากใจจริงมองไปยังหนิงเซ่าชิง แม้แต่มั่วเชียนเสวี่ยเองก็มองเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าคุณชายที่ถูกประคบประหงมมาอย่างดิบดี จะมีความสามารถในการควบคุมคนเช่นนี้
เรื่องการทำอาหารให้แก่คนจำนวนมากถึงสามสี่สิบคน ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเหนื่อยเสียจนแทบจะเป็นลมล้มพับ
การทำงานในหมู่บ้านนั้นไม่ว่าที่แห่งใดก็จะมีคนหุงหาอาหารมาให้ นี่คือมารยาทและประเพณีที่สืบต่อกันมาช้านาน
อาซ้อฟาง อาซ้อกุ้ยฮวาและชุนเยี่ยนกำลังทำเต้าหู้จึงไม่มีเวลามาช่วยนาง โชคดีเหลือเกินที่มีอาซ้ออวิ๋นซานและอาซ้อหลิว ทั้งสองคนนี้คล่องแคล่วมากทีเดียว
เนื่องจากห้องครัวของที่บ้านอาซ้อฟางได้ถูกมั่วเชียนเสวี่ยนำมาใช้เป็นสถานที่ทำเต้าหู้แล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้ใครสักคนก่อเพิงขึ้นมาเพื่อใช้เป็นห้องครัวชั่วคราว
เรือนหลักในลานเล็กนี้มิได้ถูกรื้อถอน แต่ก็ต้องทำการซ่อมแซมตกแต่งทาสี การปรับปรุงเรือนในครั้งนี้โดยหลักแล้วจะเป็นเรือนเล็กยาวไปทางด้านหลัง และรวมไปถึงเรือนใหญ่
เนื่องจากพื้นที่ทางด้านหลังใหญ่กว่าด้านหน้าถึงสองเท่า หลังจากนี้สองสามีภรรยาตั้งใจจะอาศัยอยู่ในเรือนด้านหลัง หลังจากการปรับปรุงครั้งนี้ รูปแบบภายในได้เปลี่ยนไปอย่างมาก ครึ่งหนึ่งคือเรือนก่อนหน้า อีกครึ่งหนึ่งคือโรงงาน
โรงงานนั้นก็คือโรงงานทำเต้าหู้นั่นเอง ก่อนหน้านี้เรือนด้านหน้าใช้เป็นห้องรับรองและคลังเก็บสินค้า
พื้นที่ปลูกผักก็ได้ถูกดัดแปลงใหม่โดยหนิงเซ่าชิง เขาออกแบบให้มันเป็นพื้นหินสีคราม โชคดีที่ผักกาดขาวเหล่านั้นโตขึ้นมาแล้ว แม้จะยังมิได้โตเต็มที่แต่ก็ยังพอจะกินได้ ถึงนางจะเสียดายแต่ก็ไม่ได้เสียแรงมั่วเชียนเสวี่ยปลูกไปเปล่าๆ
โรงงานเต้าหู้ได้อยู่ในแผนงานของนางมาตั้งแต่ก่อนหน้าแล้ว หลังจากนี้ไม่เพียงแต่จะทำเต้าหู้ มั่วเชียนเสวี่ยต้องการจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากเต้าหู้ด้วย อาทิเช่น เต้าหู้แผ่น แผ่นฟองเต้าหู้และเนื้อมังสวิรัติเป็นต้น แม้ว่านางจะทำไม่เป็น แต่ในภพชาติก่อนก็ได้เห็นและลิ้มลองมาไม่น้อย
เมื่อครุ่นคิดอยู่ในสมองสักพัก ประกอบกับที่ทดลองทำกับอาซ้อฟางหลายต่อหลายครา ในที่สุดก็ทำออกมาได้สำเร็จ
เพียงแต่สถานที่ค่อนข้างเล็กและกำลังคนน้อย จึงทำให้ยังไม่สามารถผลิตออกมาได้เท่านั้นเอง
มั่วเชียนเสวี่ยเคี่ยวกระดูกสองสามท่อนพร้อมกับเต้าหู้และถั่ว จากนั้นนำข้าวโพดมานึ่งเพื่อทำเป็นหมั่นโถวธัญพืช จากนั้นจึงกำชับให้ซ้ออวิ๋นซานและอาซ้อหลิวไปผัดผัก อาหารทุกสิ่งก็จัดเตรียมเสร็จสิ้น
อาหารเหล่านี้สำหรับคนในเมืองอาจจะไม่ใช่อาหารเลิศรสแต่อย่างใด ทว่าสำหรับเกษตรกรที่ใช้แรงงานเหล่านี้ มันกลับกลายเป็นมื้ออาหารที่ลงตัวยิ่ง
บัดนี้เป็นฤดูหนาว แม้จะไร้หิมะหรือฝนแต่ก็มีลมพัดโบกตลอดเวลา มันพัดพาความหนาวเข้าไปถึงกระดูก เมื่อพวกเขาได้ดื่มน้ำแกงกระดูกเข้าไปก็รู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นขึ้นมาทันใด พวกเขารู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นจึงหยิบหมั่นโถวข้าวโพดกินกับผัดผักก็อิ่มท้องพอดี
ในโลกปัจจุบันโดยมากจะใช้เวลาสามถึงสี่เดือนในการสร้างอาคารสองสามชั้น แต่ในสมัยโบราณไม่ได้เป็นเช่นนั้น บ้านทุกหลังล้วนเป็นเรือนหนึ่งชั้น ส่วนใหญ่ทำมาจากไม้และไม่ได้มีขั้นตอนซับซ้อนมากนัก
เมื่อมีแรงคนมาก ก็จะทำงานได้รวดเร็วกว่าเดิม
ส่วนไม้นั้นเป็นไม้ท่อนใหญ่มีให้เลือกมากมาย หินและดินก็หาได้ง่ายดายทั่วไป สวรรค์ช่างเมตตาเสียจริงที่หลังจากนั้นท้องฟ้าก็แจ่มใส เพียงเวลาสิบกว่าวันเรือนหลังนั้นก็เหลือเพียงส่วนของหลังคา
ในวันนี้ เป็นวันที่น่าเฉลิมฉลองทีเดียว เรือนใหญ่ทางด้านหลังของบ้านสกุลหนิงกำลังจะมุงหลังคาแล้ว
ตามธรรมเนียมในใต้หล้านี้ การที่เรือนหลังใหม่จะทำการมุงหลังคานับว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าเรือนนั้นจะเล็กหรือใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นเรือนของผู้มั่งมีหรือยากจน แต่ในวันมุงหลังคานั้นจะต้องมีคนเดินทางมาร่วมแสดงความยินดี สร้างบรรยากาศให้ครึกครื้น
จะต้องแขวนโคมแดง จุดประทัด เขียนกลอนตุ้ยเหลียน อัญเชิญเทพทวารบาล อีกทั้งทำแป้งนึ่งพร้อมกับโปรยลูกกวาดซึ่งเชื่อว่าจะนำมาด้วยความสงบสุข
ในวันนี้หนิงเซ่าชิงได้ลางานมาหนึ่งวันเต็ม จากนั้นลงมือเขียนกลอนตุ้ยเหลียนมาคู่หนึ่ง และวาดรูปเทพทวารบาล
ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยเดินทางเข้าไปในเมืองเพื่อซื้อประทัดกับลูกกวาด
อาซ้อฟางและซ้ออวิ๋นซานนึ่งแป้ง และต้มไข่สีแดงเพื่อเป็นสิริมงคล
แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาวสาดส่องลงมา ทำให้ทุกแห่งหนในหมู่บ้านนี้เต็มไปด้วยความสุข
ขณะเดียวกันนี้ ด้านนอกหมู่บ้านหวังจยามีคนแปลกหน้าสองคนเดินทางมา
คนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าขนสัตว์สีเทา สวมหมวกใบเล็กดูมีอายุ สีหน้าแววตาดูแหลมคม
อีกคนหนึ่งอายุยังไม่มาก สายตามองไปรอบๆ ซ้ายขวา ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ลังเลถึงทิศทางแต่อย่างใด พวกเขาเดินตรงเข้าไปด้านในเรือนหลักของบ้านหนิงเซ่าชิงทันที
เมื่อทุกสิ่งอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ผู้อาวุโสกว่าก็ได้กระแอมออกมา ก่อนจะเดินไปถึงเรือนใหญ่ที่เพิ่งสร้างใหม่ด้านหลัง
เมื่อเขายืนหยุดนิ่งลงก็ได้ยกมือขึ้นเล็กน้อย เรือนนั้นที่เมื่อครู่ยังครึกครื้นเสียงดังเฮฮา บัดนี้กลับกลายเป็นเงียบสงบขึ้นมาทันใด
การที่หัวหน้าหมู่บ้านเดินทางมาร่วมพิธีลงหลังแก่เรือนหลังใหม่เช่นนี้ นับว่าเป็นของขวัญอันดียิ่งสำหรับคนนอกสกุล เนื่องจากปกติแล้วนอกเหนือจากงานในตระกูล เขาจะไม่เดินทางไปร่วมงานเพื่อประกอบพิธีให้แก่ผู้ใดง่ายๆ ในครั้งนี้ที่เขาได้ให้เกียรติเดินทางมา นับว่าเป็นการเชื่อมต่อรอยแตกร้าวซึ่งเกิดขึ้นในตอนแรก อีกทั้งเป็นแนวโน้มถึงเจตนาอันดี
หวังเอ้อร์นับจากที่ได้กลับตัวกลับใจหลังเหตุการณ์ในหอบรรพชนครั้งนั้นแล้วก็ได้อ้างว่านอนเจ็บป่วยอยู่ที่เรือน น้อยครั้งนักที่จะเดินทางออกจากเรือน หลี่ปาและฟางอู่บัดนี้ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอันประจบสอพลอ ส่วนเกาซานก็กล่าวคำอวยพรจากใจด้วยสีหน้าอันเคอะเขิน
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ชื่นชอบบรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้เท่าไรนัก แต่จากที่ภรรยาหัวหน้าหมู่บ้านเดินทางมาเยี่ยมเยียนด้วยตนเองอยู่หลายครั้งหลายครา ในเมื่ออาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน นางจึงได้ลบล้างความคับข้องใจนี้ไปเสีย
“ผูกผ้าแดงที่คานหลังคา! นับแต่นี้ไปเรือนนี้จะมีแต่ความสงบสุขความเจริญรุ่งเรือง!”
เสียงของหัวหน้าหมู่บ้านดังก้องกังวาน สีหน้าของเขาทั้งหนักแน่นและแจ่มใส เมื่อสิ้นเสียงลงก็มีชายหนุ่มกลุ่มหนึ่งก้าวขาเดินออกมา นำผ้าสีแดงที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านำมาผูกที่คานของหลังคา
“ติดกลอนตุ้ยเหลียน! ผู้อาศัยจะมีโชคดีทั้งสี่ฤดู มีโชคมีลาภทั้งแปดเทศกาล!”
พวกเขาได้พากันก้าวขาออกมา จากนั้นติดกลอนตุ้ยเหลียนลงไปตรงประตูใหญ่ทั้งสองข้างอย่างยิ้มแย้ม