ตอนที่ 56 บุตรต้องชดใช้หนี้สินของบิดา
เมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของความหดหู่พ่ายแพ้ซึ่งแผ่ออกมาจากผู้คนรอบข้าง ดวงตาของหนิงเซ่าชิงที่หรี่ลงเล็กน้อยเมื่อสักครู่ก็เบิกกว้างขึ้นในทันใด เขาบีบมือมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ
มั่วเชียนเสวี่ยจึงหันหลังกลับไปมอง พบว่าหนิงเซ่าชิงได้ปล่อยมือนางออกจากนั้นเดินหน้าขึ้นไปเอาตัวกำบังนางเอาไว้ ดูเหมือนกับแม่เหยี่ยวตัวใหญ่ที่กำลังปกป้องลูกนกอยู่อย่างไรอย่างนั้น
การกระทำของเขานี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอุ่นใจยิ่งนัก แม้จะเป็นเรือนที่เพิ่งสร้างเสร็จก็ช่างปะไร นางสามารถสร้างขึ้นใหม่อีกก็ได้ เพียงแค่เขายังอยู่ ก็ดีกว่าเรื่องอื่นใดเป็นล้นพ้น
หนิงเซ่าชิงไม่ได้หันหลังกลับมามองดูมั่วเชียนเสวี่ย ดวงตาสีดำขลับคู่นั้นจ้องไปที่หัวหน้าหมู่บ้านอย่างเยือกเย็น ริมฝีปากอันเย็นชาของเขาหุบลงเล็กน้อย ใบหน้าเคร่งขรึมไร้ซึ่งความอบอุ่น
และดวงตาคู่นั้นเองทำให้หัวหน้าหมู่บ้านรู้สึกดุจดั่งมีสายลมอันหนาวเหน็บพัดมา มันหนาวเข้าไปถึงกระดูกดำ ดุจดั่งสงครามเย็นที่ดุเดือด จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าตนช่างตัวเล็กเหลือเกิน จึงก้มหน้าลงไปโดยปริยาย
“ขออภัยท่านหัวหน้าตระกูล ไม่ทราบว่าผู้ใดสามารถขับไล่สมาชิกในตระกูลออกจากตระกูลได้?” น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงช่างเยือกเย็น ไม่ได้มีความเห็นอกเห็นใจเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนกับว่าสิ่งที่เขากำลังกล่าวออกมานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา
หัวหน้าหมู่บ้านร่างกายสั่นสะท้าน! จู่ๆ เขาก็กล่าวอะไรไม่ออกแม้แต่สักคำเดียว
จากที่เขาทราบมา สมาชิกในตระกูลของหมู่บ้านหวังจยายังไม่เคยมีผู้ใดถูกขับไล่ออกจากตระกูลเลยสักคนเดียว
การถูกขับไล่ออกจากตระกูลและถูกขับไล่ออกจากหมู่บ้าน ไม่เหมือนกันแม้แต่น้อย
การลงโทษเช่นนี้ ร้ายแรงกว่าการลิดรอนสิทธิ์ทางการเมืองของอาชญากรรมในสมัยปัจจุบัน เพราะเท่ากับเป็นการลิดรอนสิทธิ์ของลูกหลานเขาผู้นั้นในอนาคตด้วย
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นลงโทษโดยประหารชีวิต เผาหรือเนรเทศ โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ได้ถูกขับไล่ออกจากตระกูล
หากเป็นบุคคลที่ไร้ซึ่งชาติตระกูล ต่อให้มีความรู้มากมายก็จะไม่ได้รับโอกาสในการคัดเลือกให้ทำงานเพื่อชุมชน หากเป็นบุรุษต่อให้มีความสามารถเพียงใดก็จะไม่อาจหาภรรยาได้ ส่วนสตรีต่อให้งดงามและเป็นแม่บ้านแม่ศรีเรือนอย่างไร ก็ไม่อาจหาสามีได้…
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่กำลังจะถูกทำลายโอกาสในการมีลูกมีหลานสืบต่อไป ทำให้เขาได้รับสายตาดูถูกเหยียดหยามจากฝูงชน
หากถูกขับไล่ออกจากตระกูลจริงก็คงจะไร้ซึ่งศักดิ์ศรี ทุกคนคงจะพากันมารุมเหยียบย่ำเขา ท้ายที่สุดแล้วก็ยากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกนี้
หากว่ายังอยากจะใช้ชีวิตด้วยศักดิ์ศรีอันเล็กน้อย ก็คงจะต้องเดินทางจากบ้านไปไกลแสนไกล จากนั้นเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่ ละทิ้งบ้านเก่าและตระกูลไปตลอดชีวิต
หัวหน้าหมู่บ้านพยายามใช้ความคิดอย่างรวดเร็ว เหงื่อเย็นไหลลงมาจากหน้าผากเขา ต่อให้คิดจนหัวแทบจะระเบิดก็คิดไม่ออกว่าจะใช้เหตุผลประการใดในการขับไล่หวังอวี๋ซานออกจากตระกูลหวังจึงจะเหมาะสม เขาไม่อาจตัดสินใจได้เลย!
ทุกคนยังคงอยู่ในความตกตะลึง จู่ๆ ก็เกิดความพลิกผันขึ้นเช่นนี้ แต่ละคนจึงทำได้เพียงยืนงงอยู่ตรงนั้น
การขับไล่ออกจากตระกูล! ในรอบร้อยปีของหมู่บ้านหวังจยาไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาก่อน
“ขับไล่ ผู้ไร้จิตสำนึกและความเคารพ!”
“ขับไล่ ผู้อกตัญญู!”
หนิงเซ่าชิงกล่าวออกมาทีละคำอย่างหนักแน่น
น้ำเสียงของเขาไม่ได้ดังมากแต่น่าเกรงขาม แต่ละคำที่เขากล่าวออกมา ราวกับมีค้อนอันหนักอึ้งทุบมาที่ศีรษะของหัวหน้าหมู่บ้าน กระทบไปยังหัวใจของทุกคน อีกทั้งกระทบไปถึงจิตวิญญาณของหวังอวี๋ซานด้วย
“ไม่ให้การเคารพหัวหน้าตระกูล ดูหมิ่นเบื้องบน ไม่เคารพฟ้าดิน สิ่งเหล่านี้นับว่าไร้ซึ่งความเคารพ! ส่วนบิดามารดานั้น ยามเจ็บไข้ไม่มาดูแล แม้ยามตายก็ไม่มาฝังศพ ไม่ได้แม้แต่จะมาตั้งป้ายหน้าหลุมศพ พฤติกรรมเช่นนี้เรียกว่าอกตัญญู!” น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงนั้นบางเบาแต่เยือกเย็น ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมเป็นที่สุด ดูเหมือนร่างกหายถูกปกคลุมไปด้วยแสงสว่างของความบริสุทธิ์
“ผู้คนที่ไร้ซึ่งความเคารพและอกตัญญูเช่นนี้ ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเสียจริงว่าท่านหัวหน้าตระกูลจะยังลังเลสิ่งใดอยู่? หรือกฎของตระกูลตั้งเอาไว้เพื่อมองดูเท่านั้น”
ประโยคของเขานี้ แต่ละคำช่างเต็มไปด้วยเหตุผล! ทำให้ผู้ใดก็ไม่อาจจะเอ่ยคัดค้านขึ้นมาได้แม้แต่คำเดียว
สายตาทุกคู่จับจ้องและบีบเค้นไปที่หัวหน้าหมู่บ้าน คำที่เขาเรียกใช้นั้นคือหัวหน้าตระกูล ไม่ใช่หัวหน้าหมู่บ้านแต่อย่างใด ส่วนคำที่เขาใช้เรียกแทนตนเองก็คือคำว่าข้าพเจ้า ไม่ใช่ข้าเฉกเช่นปกติ ทำให้ดูห่างเหินยิ่งนัก
ตำแหน่งหัวหน้าหมู่บ้านได้รับมอบหมายมาจากขุนนาง
ส่วนหัวหน้าตระกูลของตระกูลหวังแห่งหมู่บ้านหวังจยา ล้วนเลือกขึ้นจากคนในตระกูลหวัง คือผู้ที่เป็นตัวแทนในการคารวะห้องโถงของบรรพบุรุษ เป็นตัวแทนของตระกูลหวังและเป็นแบบอย่างที่ดีต่อทุกคน…
“ในเมื่อเขาได้ทำความผิดร้ายแรงถึงเช่นนี้ ควรจะได้รับการลงโทษอย่างไร ข้าพเจ้าคงไม่ต้องเอ่ยให้มากความ” สีหน้าของหนิงเซ่าชิงยังคงดูเยือกเย็น
นั่นก็คือเขาควรจะถูกขับไล่ออกจากตระกูลและตัดขาดความสัมพันธ์ทุกด้าน!
หากว่าเป็นบิดาและบุตรในสายเลือดยังจะต้องตัดความสัมพันธ์กันลง นับประสาอะไรกับบุตรบุญธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ความสัมพันธ์ระหว่างบิดาและบุตรของพวกเขาก็คงจะจบสิ้นลง ซึ่งโฉนดที่ดินผืนนี้ก็คงจะกลายเป็นเพียงแผ่นกระดาษ
ช่างเป็นกลยุทธ์ถอนฟืนใต้เตาที่ดีเสียจริง!
ความคิดของหัวหน้าหมู่บ้านสับสนวุ่นวายวนไปเวียนมา เหงื่อของเขายังคงไหลออกมาไม่หยุด!
ที่จริงแล้วเขาไม่อยากจะทำเรื่องการขับไล่ผู้ใดออกจากตระกูลเลย เนื่องจากจะต้องทำให้ลูกหลานของเขาไม่สามารถเงยหน้าลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้ และอาจจะถูกผู้อื่นดุด่าสาปแช่งไปตลอดชีวิต
แต่ทว่า มีดได้มาจ่ออยู่ที่ลำคออย่างแล้ว เขาคงไม่อาจปฏิเสธได้!
อาจารย์หนิงผู้นี้คงจะไม่ได้เรียบง่ายดุจดั่งภายนอกที่มองเห็น เขาไม่ได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมา ก็ได้กล่าวโทษคนผู้นั้นอย่างเด็ดขาด น้ำเสียงแต่ละคำดุจดั่งดาบแหลมคม
คราวที่แล้ว เพียงประโยคเดียวของเขาเท่านั้นก็ขับไล่สองสามีภรรยาจ้าวเอ้อร์ออกจากหมู่บ้านได้ อีกทั้งยังต้องนำของมาขอโทษขอโพย
หลังจากเหตุการณ์นั้น กล่าวได้เพียงว่าต่อหน้าต้องทำทีท่านอบน้อม เมื่อลับหลังต้องคอยสำนึกผิดอยู่เสมอ แต่เขาก็ทำได้เพียงลงโทษลูกหลานรุ่นที่สามของหวังเอ้อร์ ทำให้หวังเอ้อร์ต้องเสียหน้าจนสิ้น จากนั้นก็ได้ขังตนเองนั่งสำนึกผิดในหอบรรพชนและไม่ได้ออกจากบ้านอีกเลย
ในครั้งนี้ ก็เช่นเดียวกัน คำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเหล่านี้ ทำให้เขาไร้ซึ่งหนทางอื่นใดไปสิ้น
หากเขาไม่ขับไล่หวังอวี๋ซานของตระกูล ก็เท่ากับเขาเพิกเฉยต่อศักดิ์ศรีของตระกูล และเป็นการดูหมิ่นกฎของตระกูล แต่หากเขาขับไล่หวังอวี๋ซานออกไปจากตระกูลก็คงจะต้องพบเจอกับความโกรธแค้นเคืองใจ ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก
นับว่ามีแต่ผลเสีย ไม่มีผลดีเลย
คำกล่าวของหนิงเซ่าชิงนั้นสั้นง่ายแต่กลับมีพลังมาก แม้เขาจะกล่าวจบไปนานแล้ว แต่ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นหลายสิบคนกลับเงียบเสียงลงอย่างน่าประหลาดใจและพากันตื่นตระหนก
บัดนี้หวังอวี๋ซานตกใจเสียจนเหงื่อเม็ดใหญ่ไหลริน แต่ละคำดุจดั่งสายฟ้าที่ฟาดลงมากลางศีรษะ เขาคุกเข่าลงที่พื้นในทันใด ในสมองตอนนี้ไม่ได้มีเรื่องที่ดินหรือบ้านหลังนี้อยู่แม้แต่น้อย เขาทำได้เพียงก้มหัวคารวะหัวหน้าหมู่บ้านอย่างหนักแน่นเนื้อตัวสั่นเทา
หนิงเซ่าชิงเย้ยยิ้มขึ้นเบาๆ
หัวใจของหัวหน้าหมู่บ้านเกิดคลื่นสั่นไหว
ส่วนหวังอวี๋ซานเหงื่อออกจนท่วมตัว
ณ ที่แห่งนั้นช่างเงียบสงบเสียจนแม้แต่เข็มหล่นลงพื้นคงได้ยิน หัวใจของทุกคนเต้นโครมครามจนแทบจะขึ้นมาบนลำคอ
หากว่าหวังอวี๋ซานถูกขับไล่ออกจากตระกูลจริง แม้เขามีชีวิตอยู่แต่จะมีความหมายอันใดอีก จะสามารถมีสิ่งใดเป็นของตัวเองได้อีก เขาคงไม่อาจเงยหน้าขึ้นมองผู้ใดได้ อีกทั้งยังทำร้ายลูกหลานในอนาคตอีกด้วย
แม้ว่าหวังอวี๋ซานจะเป็นคนที่ไร้จิตสำนึกและอกตัญญู แต่เขาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเป็นเวลานานหลายปี เขาจึงรู้ว่าจะต้องเผชิญกับสิ่งใดบ้าง จึงคุกเข่าแล้วร้องไห้ออกมาว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลและพี่น้องในตระกูลทั้งหลาย เมื่อครู่อวี๋ซานฮึกเหิม ขอทุกท่านโปรดเมตตา ข้าหวังอวี๋ซานขออภัยหัวหน้าตระกูล ณ ที่นี้จากใจจริง เมื่อครู่ที่ข้าเข้ามาสร้างความวุ่นวายระหว่างการจุดประทัดนั่นเป็นเพราะข้าไม่ทันคิดไป”
เขาใช้มือขึ้นปาดน้ำตาแล้วยืดตัวตรง ชูสามนิ้วขึ้นกล่าว “ข้าหวังอวี๋ซานขอสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ว่าไม่ได้มีเจตนาจะประพฤติตนไร้ซึ่งมารยาทและความเคารพเช่นนั้นแม้แต่น้อย”
สีหน้าของหัวหน้าตระกูลขยับเล็กน้อย ในที่สุดหัวใจของหวังอวี๋ซานก็สยบลงเล็กน้อย เขากระแอมออกมาแล้วกล่าวอย่างถ่อมตนว่า
“ท่านหัวหน้าตระกูล ท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป บิดาของข้านั้นเขาไม่ยินยอมจะเดินทางไปกับข้าเอง เรื่องนี้ทุกคนก็รู้ดี เมื่อตอนที่เขาสิ้นใจจากไปข้างานยุ่งเสียจนไม่อาจปลีกตัวมาได้ แต่เงินค่าโลงศพนั้นข้าเป็นคนออกเอง เรื่องของป้ายหน้าหลุมศพ ข้าได้ตั้งรูปบิดามารดาเอาไว้บนหิ้ง และจุดธูปคารวะเป็นประจำ”
“เงินค่าซื้อโลงศพเป็นเงินเขาอย่างงั้นหรือ หึๆ ในวันนั้นหากไม่ใช่คนในหมู่บ้านพากันไปด่าทอเขาถึงหน้าบ้าน ซึ่งมันส่งผลกระทบต่อการค้าขายของเขา คาดว่าแม้แต่โลงศพก็คงไม่ซื้อให้หวังเหล่าเตียหรอก…”
“ผู้ที่ไร้ซึ่งหัวใจเช่นนี้…สมควรแล้วที่จะถูกขับไล่…”
ฝูงชนได้พากันให้ข้อคิดเห็นต่างๆ นานา
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของผู้คนเหล่านั้น หวังอวี๋ซานก็ตัวสั่นคลอน เหงื่อเม็ดใหญ่ไหลลงทั่วตัว ประกอบกับพบว่าหัวหน้าหมู่บ้านไม่ได้กล่าวคำใดออกมาเลย เขาจึงได้เอื้อมมือไปจับบุตรชายซึ่งยืนตะลึงงันอยู่ด้านข้าง