ตอนที่ 67 หนิงเซียนเซิงสยบคุณชายเจ็ด (5)
เถ้าแก่เซวียตบเข้าให้ที่ใบหน้าผู้จัดการเลี่ยว
ผู้จัดการเลี่ยวยกมือขึ้นกุมหน้าตนเองเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองดูทั้งสองคนอีกครั้ง เขานึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อประมาณสองเดือนก่อน เขาเคยไล่หญิงสาวบ้านนอกสองคนที่ดูเงอะงะออกไปจากร้านจริง
“เถ้าแก่เซวียขอรับ เรื่องนี้…เรื่องนี้…ต้องโทษเสี่ยวเอ้อร์ผู้นั้น…”
“เหอะๆ! ข้ากลับไปจะจัดการเจ้าแน่”
“หนิงเหนียงจื่ออยากจะแก้แค้นหรือไม่ บัดนี้ข้าจะเลิกจ้างสองคนนี้ในทันที”
“ไม่จำเป็นหรอก! เถ้าแก่พาผู้จัดการและหมาชี้ทางของท่านกลับไปเถิด”
“หมาชี้ทางรึ เจ้าหมายถึงใคร!”
“ข้าหมายถึงเจ้านั่นแหละ! มีอะไรรึ”
“เจ้า…!”
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น “ข้าทำไม…”
จ้าวต้าเฟยคล้ายกับกำลังจะกล่าวอะไรออกมาอีก แต่อาซ้อฟางได้เริ่มตะโกนด่าทอเขาขึ้นเสียก่อน “ไอ้ลูกหมา ที่เปรียบเจ้ากับหมานั้นยังนับว่าให้เกียรติเจ้าเกินไป แท้จริงแล้วเจ้ามันยังสู้หมาไม่ได้…”
จ้าวต้าเฟยได้แต่นิ่งเงียบทำตัวไม่ถูก ถูกอาซ้อฟางด่าเสียจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาพักหนึ่งแล้ว และมีความสัมพันธ์กับคนมีอำนาจ เขาไม่กล้าเอ่ยว่าเขาหักหลังพ่อแม่ตนเองแล้วรับเงินของผู้อื่นไป
เถ้าแก่เซวียส่งเสียงฟืดฟาดเดินออกไป เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ก็รู้สึกคับแค้นใจ เขาทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งว่า “หนิงเหนียงจื่อ แล้วสักวันเจ้าจะต้องเสียใจ สักวันเจ้าจะต้องมาคุกเข่าต่อหน้าข้า!”
นางไม่ได้ใส่ใจประโยคนี้ ทำเป็นหูทวนลมแล้วนั่งดื่มน้ำชาต่อไปอย่างสบายอารมณ์ ราวกับพวกเขาเป็นเพียงตัวตลกที่กำลังแสดงละครให้นางดู
ยิ่งทำให้เถ้าแก่เซวียโมโหกัดฟันกรอด เขาหันหลังวิ่งตรงเข้าไปในรถม้า
ผู้จัดการเลี่ยวเดินตามไปติดๆ จากนั้นก็ได้ยินเสียงตบบ้องหูดังสนั่นตามมา
จ้าวต้าเฟยเดินตามไปข้างหลัง เมื่อเห็นเถ้าแก่และผู้จัดการขึ้นรถม้า เขาก็ได้เดินตามขึ้นไปนั่งด้วย ผู้จัดการเลี่ยวเพิ่งถูกตบไปเมื่อครู่ ได้จังหวะระบายอารมณ์พอดี จึงได้ถีบเขาตกรถไป
“ยังมีหน้าขึ้นมาอีกหรือ ไสหัวไปเสีย! อย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก มิเช่นนั้นข้าจะตบตีเจ้าทุกครั้งที่เจอ”
รถม้าเดินทางมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้าน คนที่อยู่ในรถกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจว่า “นับจากนี้เป็นต้นไป จงไปกว้านซื้อถั่วมาให้หมด นางรับซื้อชั่งละหนึ่งอีแปะใช่หรือไม่ เรารับซื้อชั่งละสองอีแปะ เมื่อถึงเวลาข้าอยากรู้เสียจริงว่าหากถั่วในเมืองเทียนเซียงถูกซื้อมาหมดแล้ว นางจะเอาถั่วที่ไหนมาทำเต้าหู้”
“นั่นสิขอรับ! เถ้าแก่กล่าวได้ถูกต้องแล้ว บัดนี้เป็นฤดูหนาว ฤดูต่อไปที่จะสามารถเก็บเกี่ยวถั่วได้คงเป็นปีหน้าเดือนหก แต่ละวันไป๋อวิ๋นจวีขายเต้าหู้ตั้งมากมาย ต่อให้นางมีถั่วกักตุนเอาไว้ อย่างมากไม่กี่วันก็ถูกนำมาใช้จนสิ้น”
“ถั่วนั้น หากกินมากไปจะทำให้ท้องเฟ้อ ดังนั้นคนปลูกถั่วจึงมีไม่มาก แท้จริงแล้วคนที่ปลูกถั่วก็มีไม่มาก”
“ถั่วเป็นของราคาถูกยิ่งกว่าอะไร ชั่งละหนึ่งอีแปะเท่านั้น ต่อให้รับซื้อมาทั้งหมดก็ใช้เงินไม่เท่าไร…”
“เป็นความคิดดีทีเดียว ต่อให้นางไม่ทำเต้าหู้แล้ว หรือจะไม่มาร้องขอถั่วจากเรา แต่เมื่อไป๋อวิ๋นจวีไม่มีเต้าหู้ ในไม่ช้าความนิยมก็จะลดลงไป คงจะทนได้ไม่นาน เมื่อถึงเวลานั้นถั่วทั้งหมดก็อยู่ในมือของเรา จะขายราคาเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับเถ้าแก่…”
รถม้าเดินหน้าไป ทั้งสองกระซิบกระซาบกัน พวกเขาคิดว่าไม่มีผู้ใดได้ยินเรื่องที่สนทนานี้ ไม่มีใครคาดคิดว่าเมื่อตอนที่รถม้าแล่นผ่านหอบรรพชน มีใครบางคนรูปร่างสูงผอมยืนนำมือไขว้หลังมองดูด้วยสายตาเย็นชา
ขณะที่พวกเขา เพิ่งจะเดินทางออกมาจากหมู่บ้าน จู่ ๆ ก็มีหินก้อนหนึ่ง พุ่งเข้ามาทำให้ล้อของรถม้าพังเสียหาย เมื่อรถม้าเสียการทรงตัว คนด้านในก็สั่นสะเทือน
เถ้าแก่เซวียและผู้จัดการเลี่ยวโคลงเคลงไปมา ผู้จัดการเลี่ยวรีบเข้าไปพยุงเถ้าแก่เซวีย เขาพบว่าหน้าผากของเถ้าแก่เซวียมีรอยถลอก จึงได้ฟาดไปที่คนขับรถม้า
“เจ้าขับรถอย่างไรกัน!”
“…”
ด้านในรถม้าชุลมุนวุ่นวาย แต่ผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างหอบรรพชนกลับหัวเราะเยาะขึ้นอย่างเยือกเย็นแล้วเดินเข้าไปในห้องเรียน
……
เสี่ยวฉีจื่อแห่งไป๋อวิ๋นจวีเห็นว่ารถม้าของอิ๋งเค่อเซวียนกลับมาแล้วก็รีบวิ่งไปรายงานเถ้าแก่หลี่อย่างรวดเร็ว
“เจ้าว่าเถ้าแก่เซวียกลับมาด้วยอาการโกรธเคืองอย่างนั้นหรือ”
“ข้าน้อยจะกล้าเอ่ยวาจาสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรขอรับ เถ้าแก่เซวียลงจากรถก็เตะยามเฝ้าประตูเสียจนล้มลง แล้วฟาดไปที่บ้องหูอยู่สิบเจ็ดสิบแปดหน แต่ละหนเสียงดังสนั่นได้ยินแม่อยู่อีกฟากถนนหนึ่ง”
“เช่นนั้นหมายความว่า การเจรจาไม่เป็นผลสินะ”
“ข้าน้อยไม่กล้าให้คำตอบที่แน่นอนได้ เพียงได้ยินเสียงผู้จัดการเลี่ยวด่าทอคนนำทางว่าเจ้าหมอนั่นไร้ความสามารถ มีตาหามีแววไม่ ทำลายเรื่องดีของเขาสิ้น”
“ฉะนั้นคงไม่ผิดแน่ ข้าจะต้องเข้าไปรีบรายงานคุณชายเจ็ด เสี่ยวฉีจื่อเจ้าทำได้ดีมาก ประเดี๋ยวไปรับรางวัลที่ห้องบัญชี”
“ขอบพระคุณขอรับเถ้าแก่”
หลังจากที่เถ้าแก่หลี่เข้าไปรายงานเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว ก็รีบออกมาจากห้องอย่างรวดเร็ว
คุณชายเจ็ดเก็บพัดของเขาในมือลง ใบหน้าอันเหม่อลอยเมื่อครู่ก็หายไปเช่นกัน ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไป
สตรีผู้นี้เขามองไม่ผิดไปจริงๆ นางไม่ได้หักหลังเขา
“อาจ้าว เตรียมม้า”
ค่ำคืนอันมืดมิดดุจน้ำหมึกวาด ณ หมู่บ้านเล็กๆ อันเงียบสงบ ห่างไกลเสียงรบกวนโหวกเหวกโวยวาย ท่ามกลางเงาของต้นไม้ที่โลดเต้นด้วยสายลม ดูเหมือนความรู้สึกอันอ่อนโยนของมนุษย์ที่เกี่ยวพันกันอย่างไม่ปะติดปะต่อ แต่กลับถูกกาลเวลาครอบงำไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงไม่เดินทางมาที่นี่ รู้เพียงแต่ต้องการจะมาดูในที่ที่นางอยู่
อาจ้าวเดินตามมาข้างหลังอย่างเงียบๆ แม้เขาจะไม่รู้ว่ามีลมใดพัดผ่านให้เจ้านายของเขามาที่นี่ได้ในยามค่ำคืนเช่นนี้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าและสิ้นหวังที่แผ่ออกมาจากร่างของเจ้านาย
ท้องฟ้าในยามค่ำคืนของฤดูหนาวทำให้รู้สึกหนาวเย็นและลึกล้ำ สำหรับซูชีแล้ว ในหมู่บ้านที่ไม่ไกลออกไปนั้น มีความลึกลับซับซ้อนที่ไม่อาจคาดเดาได้ซ่อนเอาไว้ เขามองไปยังบ้านหลังหนึ่งทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน เส้นผมยาวสลวยปลิวไสวไปตามสายลม ร่างของเขาสูงยาวยืนโดดเด่นอยู่ที่นั่น
หากว่านางยังไม่มีสามี เขาคาดว่าตนคงจะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อนาง เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งเขาเช่นนี้ เหตุใดผู้ที่พบนางก่อนจึงไม่ใช่ตน
สายลมรอบทิศเปลี่ยนไปเล็กน้อย ดูเหมือนมีบางอย่างที่แปลกไปกำลังใกล้เข้ามา ซูชีชะงักลง อาจ้าวรีบก้าวไปบังไว้ด้านหน้า
“เจ้าคือซูชีงั้นหรือ” เมื่อน้ำเสียงนั้นถูกกล่าวออกมา ก็มีร่างของใครบางคนก้าวออกมาจากความมืดมิดนั้น พร้อมกับเงาสูงใหญ่ด้านหลัง
เนื่องจากความมืดจึงทำให้ไม่อาจเห็นใบหน้าได้อย่างชัดเจน แต่ซูชีสามารถคาดเดาได้จากน้ำเสียงรูปร่างลักษณะของเขาว่าบุคคลคนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
และที่ด้านหลังของเขามีเงายาวที่แทบจะร่วมเป็นร่างเดียวกันอยู่ มันกลับหายวับไปกับตา
ไม่! นั่นไม่ใช่สามัญชน! เงาเมื่อครู่อันทอดยาวออกไปนั้นคือองครักษ์เงา!