ตอนที่ 69 ต่างวุ่นวายในความคิดของตน (1)
ร่างอันสูงใหญ่เหยียดตรงของหนิงเซ่าชิง เมื่ออยู่ในสายตาของอิ่งซากลับดูโศกเศร้า ร่างที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมนเช่นนี้อดไม่ได้ที่จะทำให้เขานึกถึงเรื่องเมื่อปีก่อน
เจ้านายมีความสามารถทั้งด้านบุ๋นและด้านบู๊ อีกทั้งมีกลยุทธ์เป็นเลิศ เพียงแต่จิตใจโอบอ้อมอารี ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากจนเกินไป มักจะนึกถึงบุญคุณในการเลี้ยงดูของแม่เลี้ยงชั่วร้ายนางนั้น และเห็นแก่ความสัมพันธ์ของพี่น้องจึงทำให้เป็นเช่นในวันนี้
บัดนี้เจ้านายใจอ่อนอีกแล้ว หรือว่า…หรือว่า…
อิ่งซาคุกเข่าลงแล้วกล่าวว่า “เจ้านายจะยกฮูหยินให้แก่เขางั้นหรือ”
ประโยคนี้เมื่อกล่าวออกไปอาจดูเหมือนเป็นคำถาม แต่มันเต็มไปด้วยความไม่พอใจ ยิ่งไปกว่านั้นมันช่าง…เจ็บปวดใจเหลือเกิน
เขาอาจจะล้ำเส้นไปบ้าง แต่ก็ไม่กลัวที่จะพูดออกมา
ต่อให้เจ้านายไม่อยากกลับไปแย่งชิงตำแหน่งในเมืองหลวง ก็จะเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายไปไม่ได้
เพียงแค่เจ้านายกล่าวมาประโยคเดียว เขาก็สามารถฆ่าซูชีได้ทันที
ในใจของเขาหนักอึ้งเป็นที่สุด ได้แต่แอบคิดในใจว่า หากอาซานและอาอู่ยังไม่อาจตามหาหมอประหลาดผู้นั้นพบ ก็จะไม่อาจแก้พิษของเจ้านายได้ ในวันที่เจ้านายจากไป เขาจะไม่ยอมให้เจ้านายไปอย่างโดดเดี่ยวแน่ เขาจะต้องให้ฮูหยินตามไปด้วยและอยู่ด้วยกันตลอดไป
อย่างมาก ตัวเขาก็คว้านท้องตนเองเพื่อยอมรับผิดเท่านั้น
หนิงเซ่าชิงไม่ได้หันหลังกลับมาดู และไม่ได้กล่าวให้อิ่งซาลุกขึ้นยืน
ลมหนาวพัดโชยมาจากภูเขา พัดผ่านต้นไม้เป็นระลอกคลื่น ใบไม้กิ่งไม้ส่งเสียงกรอบแกรบ แต่ในสมองของเขามีเพียงแต่ภาพนางวนเวียนไปมา
ครานั้นที่หมดสติไป เขาคิดว่าจะทิ้งจากโลกอันวุ่นวายนี้ได้พ้นแล้ว เมื่อครั้นตื่นขึ้นก็พบว่านางกำลังจับมือเขาอยู่ สายตาที่มองมาด้วยรอยยิ้ม ไร้เดียงสายิ่งนัก ก่อนนางจะเริ่มแนะนำตัวเองอย่างระมัดระวัง
อีกครั้งหนึ่งที่ตื่นขึ้น พบว่านางเหม่อมองเขา ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แต่ดวงตานั้นกังวลยิ่งนัก
เพียงแค่เขากระแอมออกมานางก็ตกอกตกใจดุจนกน้อยเห็นคันธนู
เขาไม่ค่อยอยากอาหาร นางก็พยายามปรับปรุงวิธีการทำอาหารมากมาย พยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เขากินเข้าไปอีกสักสองสามคำ
เมื่อหนิงเซ่าชิงกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาใกล้รุ่งสางแล้ว ตอนกลางวันมั่วเชียนเสวี่ยยุ่งอยู่กับงานและเหนื่อยมาก บัดนี้นางนอนหลับอย่างมีความสุข ท่ามกลางความมืดนั้นดูเหมือนว่าริมฝีปากของนางกำลังยิ้มขึ้นเล็กน้อย คาดว่ากำลังฝันหวานอยู่
นิ้วมืออันเรียวยาวของหนิงเซ่าชิงสัมผัสลูบไล้ไปที่ใบหน้าอันอบอุ่นของนาง หางตาของเขาเชิดขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันบางเบา…
ที่จริงแล้วเขาเองก็ไม่อยากจะแยกจากนางเลย
ตราบที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาอยากจะอยู่กับนางไปตลอดชั่วฟ้าดินสลายไม่ห่างกัน หากเขาตายไป เขาก็อยากให้นางเดินในหนทางนั้นไปด้วยกัน
แต่ว่าเขาไม่อาจทนได้
จะให้เขากีดกันความสุขของนางได้อย่างไร นางเป็นคนดีและยอมเสียสละตนเองเพื่อเขามากเพียงนี้
จะให้เขาเห็นแก่ตัวและโหดร้ายอย่างนี้ได้อย่างไร!
เขาหวังว่านางจะมีความสุข
ริมฝีปากได้รูปสมบูรณ์แบบของหนิงเซ่าชิงยิ้มอย่างขมขื่น นี่ไม่ใช่การยกให้ แต่เป็นการทำให้สมหวัง
แน่นอนว่าตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่ ชายอื่นอย่าได้คิดจะเข้ามาใกล้นาง ไม่ว่าใครก็ตาม
รอยยิ้มอันขมขื่นบนใบหน้าเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็น
เขาจะต้องหาทางกำจัดพิษนี้ไปให้ได้!
…
หลังจากที่ซูชีจัดการอารมณ์ตนเองเรียบร้อยแล้ว เขาก็ขี่ม้าวิ่งตรงกลับไปยังไป๋อวิ๋นจวีอย่างรวดเร็ว และเรียกเถ้าแก่หลี่มากลางดึก
สั่งการให้เขาออกไปแจ้งข่าวและแอบซื้อถั่วอย่างลับๆ จากนั้นลำเลียงมาที่เมืองเทียนเซียงโดยเร็ว
ค่ำคืนนั้น ทั้งคนและม้าในไป๋อวิ๋นจวีอึกกระทึกครึกโครม อีกทั้งมีนกพิราบสื่อสารบินออกไปไม่ขาดสาย
เช้าวันต่อมา อิ๋งเค่อเซวียนและร้านอื่นๆ ได้วางป้ายราคาซื้อถั่วที่สูงขึ้น
ดูภายนอกแล้วไป๋อวิ๋นจวีไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ที่จริงแล้วตระกูลซูได้ทำเช่นเดียวกับอิ๋งเค่อเซวียน วางป้ายรับซื้อถั่วในราคาสูง
ชั่วพริบตาเดียวถั่วจึงกลายเป็นสินค้าที่ได้รับความต้องการมากที่สุด
ราคาถั่วในเมืองเทียนเซียงตอนแรกอยู่ที่ชั่งละสองอีแปะ เพิ่มขึ้นเป็นชั่งละสิบอีแปะ ต่อมาจากสิบอีแปะเพิ่มเป็นยี่สิบอีแปะ
ระยะเวลาเจ็ดวันสั้นๆ นี้ ราคาถั่วจากชั่งละสองอีแปะเพิ่มขึ้นเป็นชั่งละหนึ่งร้อยอีแปะ ท้ายที่สุดแล้วราคาสูงขึ้นถึงชั่งละสามร้อยอีแปะ อีกทั้งดูเหมือนมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้น
บัดนี้หัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองก็คงจะเป็นคำถามที่ว่า ราคาถั่วชั่งละกี่อีแปะแล้ว
บรรดาคนในชนบทต่างพากันนำถั่วที่มีอยู่ในครัวเรือนของตนออกมาแล้วถือไปขายที่เมืองเทียนเซียง เพราะเมื่อครู่เขาได้ขายทั่วไปในราคาสูง กลับต้องรู้สึกเสียใจในชั่ววินาทีต่อมา เนื่องจากได้ยินมาว่าราคาถั่วสูงขึ้นอีกแล้ว
ช่างเจ็บปวดใจเหลือเกิน บางคนก็ถึงกับตบหน้าตนเองในที่นั่น
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
ซูชียืนอยู่ในห้องส่วนตัวแล้วมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
อู๋ต้าฟู่ เจ้าของอิ๋งเค่อเซวียนบัดนี้เดินทางมาด้วยตนเองแล้ว
ได้ยินมาว่าบุตรสาวคนที่สามของเถ้าแก่เซวียเมื่อสามปีก่อนแต่งเข้าไปในตระกูลอู๋ ว่ากันว่านางเป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก เมื่อแต่งเข้าไปในปีที่สองก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายแก่เจ้านายอู๋ซึ่งมีอายุเกินกว่าหกสิบปีแล้ว บัดนี้นางเป็นภรรยาที่เขารักและชื่นชอบที่สุดในจวน
เถ้าแก่เซวียเองได้พึ่งพาความสัมพันธ์นี้ในการปีนป่ายขึ้นมาจากผู้จัดการทั่วไปเป็นเถ้าแก่ และผู้จัดการเลี่ยว ก็ได้ก้าวจากลูกจ้างทั่วไปมาเป็นผู้ดูแลเช่นกัน
อู๋ต้าฟู่ถูกบุตรสาวของเถ้าแก่เซวียเป่าหูมาเล็กน้อย จึงไม่ได้ถือโทษพ่อตาผู้นี้มากนัก เพียงแต่ตบลงบนโต๊ะด้วยความโกรธเคือง
เถ้าแก่เซวียกล่าวว่าบัดนี้เมื่อขี่หลังเสือก็อยากที่จะลง หากว่าเราสามารถกว้านซื้อถั่วมาได้ทั้งหมด และได้วิธีการทำเต้าหู้มา ต่อจากนี้ไปอิ๋งเค่อเซวียนไม่เพียงแต่จะได้รับความนิยมสูง เต้าหู้นั้นก็สามารถขายไปได้ทั่วประเทศ และจะได้กำไรมหาศาล…
ผู้จัดการเลี่ยวกล่าวว่าบัดนี้ในตลาดมีถั่วเหลืออยู่เพียงน้อยนิด เพียงแค่เพิ่มราคาในการซื้อขึ้นไปอีกสักหน่อยก็จะสามารถรับซื้อมาได้จนสิ้น
แต่เขาไม่รู้ว่าบัดนี้ภายในประเทศไม่ว่าทางบกหรือทางน้ำ ถั่วกำลังถูกลำเลียงขนส่งมาที่นี่
อู๋ต้าฟู่เป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยม เขาออกคำสั่งแก่ผู้จัดการเลี่ยวว่าให้ไปเผาคลังของผู้ที่ต้องการแย่งชิงถั่วจากเรา มีเพียงวิธีเผาคลังถั่วของคนเหล่านั้นจึงจะนับว่าเขาเป็นผู้ที่มีถั่วอยู่เพียงคนเดียวอย่างแท้จริงโดยไม่ต้องกังวล
เถ้าแก่เซวียและผู้จัดการเลี่ยวแววตาเป็นประกาย พากันเอ่ยชมว่าช่างเป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมนัก
ค่ำคืนนั้น เมืองเทียนเซียงเต็มไปด้วยเปลวไฟ โกดังร้านขายของชำหลายแห่งถูกไฟไหม้
ซูชียืนอยู่บนที่สูงเขามองดูเปลวเพลิงเหล่านั้นแล้วพึมพำว่า “คนคนนี้มอบเงินและชีวิตให้จริงเสียด้วย”
หลังจากไฟไหม้ เถ้าแก่หลี่แห่งไป๋อวิ๋นจวีได้เดินทางออกไปตรวจสอบแล้วกลับมารายงานว่า “เป็นจริงดังที่คุณชายคาดเอาไว้ น่าเสียดายเหลือเกินที่พวกเขาไม่รู้ว่าถั่วมิได้อยู่ด้านใน โกดังที่พวกเขาเผาไปนั้นด้านในล้วนเป็นฟางทั้งสิ้น”
เถ้าแก่หลี่รู้สึกชื่นชมยินดี แต่ซูชีทำเพียงหัวเราะไม่กล่าวอะไรออกมา
หากไม่ทำให้อู๋ต้าฟู่คิดว่าตัวเขานั้นเผาโกดังไปเรียบร้อยแล้ว เขาจะยอมเอาเงินทั้งหมดออกมาสู้ได้อย่างไร
หากไม่เอาเงินทั้งหมดออกมาสู้ แล้วจะเอาชีวิตเขามาได้อย่างไร
อิ๋งเค่อเซวียนใช้วิธีสกปรกต่างๆ มาจัดการไป๋อวิ๋นจวีไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมาในวันสองวันนี้ การค้าอื่นในเมืองเทียนเซียง ตราบใดที่อู๋ต้าฟู่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็จะทำมันยุ่งเหยิงไปหมด
ในครั้งนี้ ด้วยความคิดของคนคนนั้น เขาจะทำให้คนที่ชั่วร้ายคนนี้ได้พบกับจุดจบสักที
เถ้าแก่หลี่เอ่ยถามอยู่ด้านข้างว่า “จะให้ไปแจ้งความเลยดีหรือไม่ขอรับ” สีหน้าของเขาดูชื่นชมและเคารพนับถืออย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน
“รวบรวมหลักฐานเอาไว้และรออีกสักหน่อย” ซูชียิ้มแล้วกล่าวขึ้น
…
ฝีมือของหนีจื่อเป็นจริงดังที่ว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น แต่กลับโดดเด่นกว่า
ไก่งามเพราะขนคนงามเพราะแต่ง เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยสวมชุดพอดีตัว รูปร่างอันบวมเป่งของนางก็เปลี่ยนไปเป็นกระชับทันที
นางส่องกระจกมองดูตนเองด้วยความพอพอใจ ร่างเล็กๆ นี้แม้จะอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี แต่ส่วนใดที่ควรโค้งเว้าก็โค้งเว้า ใบหน้านั้นอาจกล่าวไม่ได้ว่างดงามไร้ที่ติ แต่ก็ช่างมีเสน่ห์ คิ้วและตางดงามได้รูปเหลือเกิน