ตอนที่ 103 ฆ่าฟัน ความโกรธเคืองของเซ่าชิง (2)
ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้ม แน่นอนว่าการแข่งขันนี้ ทั้งสองเป็นฝ่ายยอมถงจื่อจิ้ง
ซูชีเป็นคนซุกซนอยู่แล้ว เวลานี้เหมาะแก่การแสดงความสามารถของตน ไม่เพียงแค่มั่วเชียนเสวี่ย แม้กระทั่งถงจื่อจิ้งก็ตลกไปกับการแกล้งเล่นของเขา
แรกเริ่ม ถงจื่อจิ้งจับตะเกียบไม่เป็น คีบถั่วไม่ได้แม้แต่เม็ดเดียว
แต่พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยและซูชี ต่างก็คีบหนึ่งเม็ดร่วงหนึ่งเม็ด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่โมโหแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นเขาก็คีบถั่วได้ ดีใจอย่างมาก มั่วเชียนเสวี่ยและซูชีดีใจจนลุกขึ้นยืน ทว่าเพราะรีบร้อนมากเกินไปศีรษะจึงชนกัน
ศีรษะของทั้งสองชนกัน สีหน้ากระอักกระอ่วน ทางด้านถงจื่อจิ้งชี้ไปที่พวกเขาแล้วหัวเราะเสียงดัง
มั่วเชียนเสวี่ยมองขึ้นไปบนฟ้า เห็นว่าสายมากแล้ว บอกกับถงจื่อจิ้งว่าพรุ่งนี้นางจะมาเล่นกับเขาอีก ทั้งยังบอกเขาว่า ห้องของเขาจะไม่มีวันลงกลอนอีก
หลังจากนี้เขาอยากออกไปเมื่อไหร่ก็ออกไป กล่อมถงจื่อจิ้งเข้าไปในห้อง ทั้งยังยกภาพวาดนิทานที่เมื่อวานเล่าให้ถงจื่อจิ้งเก็บไว้ทั้งหมด ให้เขาเอาไว้ดูในยามว่าง
มองภาพวาดเหล่านั้นของนาง นึกถึงนิทานพัฒนาสมองเหล่านั้นที่นางเล่า ย่อมดีกว่าฉีกผ้าและนั่งเหม่อลอย
หลังจากนั้น มั่วเชียนเสวี่ยบอกผ่านพ่อบ้านให้ท่านผู้เฒ่าถงอย่ายุ่งเกี่ยวกับพฤติกรรมและการตัดสินใจของถงจื่อจิ้งให้มากนัก และบอกพ่อบ้านให้หาบ่าวรับใช้หนุ่มสองคนที่ไว้วางใจได้ให้กับถงจื่อจิ้ง จากนั้นนางค่อยไปจากเรือนตระกูลถง
พวกบ่าวรับใช้ที่คอยดูแลปรนนิบัติรับใช้ถงจื่อจิ้งนั้น มั่วเชียนเสวี่ยเจอครบทุกคนแล้ว ล้วนอายุสามสิบกว่า ได้ยินว่ารับใช้ถงจื่อจิ้งมาเจ็ดแปดปีแล้ว พวกเขาทำงานได้เป็นอย่างดี แต่ในสายตาของมั่วเชียนเสวี่ย กลับไม่มีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย
คงเป็นเพราะผู้เฒ่านั่นมีความคิดว่าต้องเป็นคนเช่นบ่าวรับใช้พวกนี้ จึงจะวางใจให้คอยดูแลรับใช้บุตรชายของตนได้กระมัง
ไม่เลย เขาผิดมหันต์
บ่าวรับใช้พวกนี้ไม่เพียงแต่ไม่มีชีวิตชีวา ทั้งยังทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอึดอัดมาก
จากแววตาที่พวกเขามองถงจื่อจิ้งอย่างไม่ตั้งใจ มั่วเชียนเสวี่ยเห็นการดูถูก ทั้งยังมีความมัวหมอง
ร่วมกับแววตาหวาดกลัวที่ถงจื่อจิ้งมีต่อพวกเขา ดูออกได้ไม่ยากว่าบ่าวรับใช้พวกนี้ไม่ใช่คนจิตใจดี แม้จะสังเกตเห็นข้อนี้ แต่ว่าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากเสวนากับผู้เฒ่าหัวดื้อแล้วจริงๆ
ตอนนี้นางมั่นใจเต็มร้อยแล้วว่าอาการป่วยของถงจื่อจิ้งมีสาเหตุมาจากตัวบุคคล แต่ว่าปัญหาใหญ่สุด อยู่ที่ท่านผู้เฒ่าถง
มั่วเชียนเสวี่ยไปแล้ว ทว่าซูชียังไม่กลับไป
เขาไม่เพียงแต่ไม่กลับ ในทางตรงกันข้ามเขายังนอนค้างที่เรือนตระกูลถง
ถงจื่อจิ้งต่อต้านบิดาของตน ต่อต้านบ่าวรับใช้ที่คอยดูแล ทว่ารู้สึกดีต่อซูชีมาก พูดคุยกับเขาหลายคำ ทั้งยังยิ้มให้เขา
ด้วยเหตุนี้ สำหรับการอยู่ต่อของซูชี ท่านผู้เฒ่าต้องการอย่างมาก
ในใจพลางครุ่นคิดว่า เสี่ยวชีคนนี้ช่างรู้ความนัก
……
เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยกลับถึงเรือน ภายใต้การช่วยเหลือของหนิงเซ่าชิง นางวาดรูปที่มีขนาดใหญ่มาก เพื่อวาดภาพนี้ทั้งสองยุ่งจนดึกดื่น
หนิงเซ่าชิงไม่เข้าใจการกระทำของนางในตอนนี้นัก แต่ว่า สนใจวิธีการเล่นของภาพวาดที่นางพูดถึงอย่างมาก เขาเป็นคนสง่าผ่าเผย ชอบวาดภาพ ด้วยเหตุนี้จึงให้คำแนะนำได้มาก
เมื่อคราวก่อน สัตว์หัวโตตัวเล็กเหล่านั้นที่มั่วเชียนเสวี่ยวาด ตอนแรกเขาหัวเราะ แต่หลังจากมองภาพวาดอีกสองสามครั้ง เขาก็ชื่นชมไม่หยุด
ไม่ง่ายเลยกว่าจะวาดภาพขนาดใหญ่นี้เสร็จ ทั้งสองขึ้นไปบนเตียง อาจเพราะทั้งนอนดึกและเหน็ดเหนื่อย จึงเข้าสู่ห้วงนิทรากันอย่างรวดเร็ว
เช้าตรู่ มั่วเชียนเสวี่ยออกเดินทางอย่างมีความสุข
สำหรับการเข้าออกเรือนตระกูลถงตามลำพังของมั่วเชียนเสวี่ย หนิงเซ่าชิงคิดมากยิ่งนัก ทว่าถูกตอกกลับมาด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของนาง นางบอกว่า หากภาพวาดนี้นำไปใช้ได้ดี หุบเขาลูกนั้นก็จะตกเป็นของนาง โดยไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว
หุบเขาลูกใหญ่ขนาดนั้น ไม่เสียงเงินสักแดงเดียว? มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้ว่าสำหรับเรือนตระกูลถงแล้วหุบเขานั้นมีความหมายเช่นไร ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับรู้ดี เขาถามด้วยความสงสัยหลายรอบ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับบอกเขาอย่างมีเลศนัย หลังจากผ่านวันนี้ไป นางจะเล่าเรื่องน้ำเน่าชวนฟังแก่เขา
สิ่งที่พ่อบ้านถงรายงาน ทำให้นางตกใจอย่างมาก ผลการรักษาด้วยความรักของถงจื่อจิ้ง ไม่ธรรมดาจริงๆ
นางยิ่งมั่นใจว่าถงจื่อจิ้ง เพียงมีอาการออทิสซึมเท่านั้น ไม่ได้ปัญญาอ่อนแม้แต่น้อย ทั้งยังไม่ใช่คนซื่อบื้อ เมื่อก่อนที่เป็นแบบนั้น เพราะเขาปิดตนเองเอาไว้ในโลกของเด็กสามสี่ขวบ ไม่ยอมออกมา นั่นเป็นการปกป้องตนเองหลังจากพบเจอกับเรื่องที่สะเทือนจิตใจ
หากให้เขาได้เห็นความกว้างใหญ่ของโลกใบนี้ ให้เขารู้ถึงความงดงามของโลกใบนี้ เช่นนั้นเขาต้องเดินออกมาจากปมในใจด้วยความมั่นใจแน่นอน
ตอนที่นางไปถึง ซูชีกำลังพาถงจื่อจิ้งเที่ยวเล่นในสวน เล่นสงครามปาหิมะ
เห็นมั่วเชียนเสวี่ยมา ถงจื่อจิ้งปาก้อนหิมะไปที่นาง
ซูชีเห็นก้อนหิมะปลิวไปทางมั่วเชียนเสวี่ย เขาดีดนิ้วมือด้วยความรีบร้อน สกัดก้อนหิมะที่จื่อจิ้งปาออกไปในตอนแรกไว้
มั่วเชียนเสวี่ยกล่าวทักทายซูชี เดินไปข้างๆ ถงจื่อจิ้งแล้วพูด “จื่อจิ้ง วันนี้พี่จะเอาของเล่นสนุกๆ มา อยากจะเล่นกับเจ้า พวกเราเข้าไปเล่นข้างในกันเถอะ”
ถงจื่อจิ้งมองหิมะขาวโพลนด้านนอกด้วยความอาลัยอาวรณ์ พูดติดๆ ขัดๆ “พี่…เชียน…เสวี่ย มา…เล่น…สงคราม…ปา…หิมะ…กัน สนุก!”
สีหน้าและการกระทำของถงจื่อจิ้ง ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่า เพียงชั่วข้ามคืน เขาเหมือนโตขึ้นสองสามปี ถึงแม้จะใสซื่อเหมือนเด็ก ทว่าเด็กสามสี่ขวบ กับเด็กหกเจ็ดขวบแตกต่างกันมาก
อีกทั้ง ประโยคที่ยาวเช่นนี้ แสดงความต้องการของตนออกมาอย่างถูกต้อง ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยยิ่งรู้สึกดีใจอย่างมาก
จากตอนแรกหนึ่งพยางค์ ตอนหลังสองพยางค์ จนกระทั่งตอนนี้พูดได้หนึ่งประโยค ใช้เวลาแค่เพียงสองวันเท่านั้น แน่นอนว่านี่เป็นความดีความชอบของซูชีด้วย
คาดว่าเมื่อวานเขาคงเล่นกับถงจื่อจิ้งตลอดเวลากระมัง คิดไม่ถึงว่าคุณชายกะล่อนผู้สง่าผ่าเผยเช่นนี้ จะมีความอดทนเช่นนี้
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้าและยิ้มบางๆ ให้กับซูชีเพื่อเป็นการกล่าวขอบคุณ ทว่าซูชีกลับแบมือออกสองข้าง หยิบพัดออกมาจากบริเวณเลวแล้วแสร้งทำเป็นไม่สนใจ
แน่นอนว่าเขาไม่มีวันบอกนาง หลังจากรู้ความเป็นมาของเรื่องทั้งหมดจากท่านผู้เฒ่าถง เขาเล่านิทานในภาพวาดนั่นให้ถงจื่อจิ้งฟังอีกรอบหนึ่ง ทั้งยังชื่นชมเกินจริง จนกระทั่งถงจื่อจิ้งพอใจแล้วผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย
เขาสาบานว่านั่นคือนิทานที่ตลกที่สุดที่เขาเคยได้ยิน ทั้งยังเป็นนิทานที่แย่มาก
นิทานเหล่านี้กับนิทานเรื่องมดสองตัวที่เขาเคยได้ฟังจากนางเมื่อก่อน เหมือนกันทุกประการ เป็นจริงตามนั้น มีเพียงสตรีเช่นนี้ที่จะสามารดคิดเรื่องตลกที่แสนจะแปลกประหลาดของสัตว์ได้
เขาไม่เคยเห็นสตรีคนใดมีความมั่นใจ เปล่งประกายเช่นนี้
เขาไม่เคยพบเจอสตรีคนใดมีจิตใจโอบอ้อมอารี มีความอดทนเช่นนี้
และเขายิ่งไม่เคยพบเจอสตรีคนใดไม่ระมัดระวังเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ นางจูงมือบุรุษอย่างเปิดเผย เดินเข้าเดินออก ไร้ความเหนียมอาย ไร้ความละอาย แม้บุรุษผู้นี้จะโง่เขลาเบาปัญญาก็ตาม…
เขายอมรับ วินาทีนั้น ตอนที่เขาเห็นนางจูงมือถงจื่อจิ้ง เขาตกตะลึง
ทว่า กลับไม่รู้สึกดูถูกนางแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน ลอบตั้งหน้าตั้งตาคอยให้มือที่นุ่มนวลคู่นั้นจูง…จะเป็นมือของตน