ตอนที่ 105 ฆ่าฟัน ความโกรธเคืองของเซ่าชิง (4)
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยออกไป หนิงเซ่าชิงรู้สึกไม่สบายใจ
วันนี้ เป็นวันเกิดของเขา วันนี้เมื่อปีที่แล้วคือวันที่เขาร่วงหล่นจากบรรดาศักดิ์สูงส่งสู่สามัญชน
วันนี้ เป็นวันครบรอบวันตายของมารดา
เขาจะมีสมาธิสอนหนังสือได้อย่างไร
ช่วงเช้าหลังจากสอนหนังสือเด็กๆ เสร็จ เขาอ้างว่าหิมะตกอากาศหนาวเย็น สั่งการบ้านแล้วให้พวกนักเรียนกลับไปฝึกฝนด้วยตนเอง
หนิงเซ่าชิงไล่นักเรียนกลับไป อยู่ในเรือนทว่ากระวนกระวายใจ ตำราก็ไม่อาจทำให้เขาจิตใจสงบลงได้ จึงให้อิ่งซานำทาง พาเขามาบริเวณรอบนอกของเรือนตระกูลถง
อิ่งซาใช้กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม[1]ล่อองครักษ์ตระกูลถงไป เขาเลือกกิ่งไม้ที่สูงใหญ่ รอมั่วเชียนเสวี่ยด้านบนนั้น
ไม่ได้เคลือบแคลง เพียงแค่สงสัย เพียงแค่ไม่วางใจ…
ในวันเช่นนี้ เขาเพียงอยากจะพบเจอนางให้เร็วขึ้น อยากรับนางกลับเรือน อยากสร้างความประหลาดใจให้นาง
เขาต้องการนาง!
สายมากแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยจะกลับ ซูชีเอ่ยปากจะไปส่งนาง ทว่าถูกมั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธ
ด้านนอกมีอาอู่ ถ้าหากอาอู่เห็นคุณชายผู้นี้ส่งตนออกไป ไม่รู้ว่ากลับไปจะพูดอะไรกับหนิงเซ่าชิง
แต่ว่า มั่วเชียนเสวี่ยปฏิเสธซูชีได้ แต่ไม่อาจปฏิเสธถงจื่อจิ้งได้
เพราะมั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งสอนเขาว่าต้องกล้าพูดในสิ่งที่ตนอยากทำ หากเขาไม่พูด ผู้อื่นจะไม่มีวันรู้ เช่นนั้นปรารถนาของเขาก็ไม่มีวันเป็นจริง
นี่เป็นครั้งแรกที่ถงจื่อจิ้งร้องขอนาง แน่นอนว่านางไม่อาจปฏิเสธได้
ด้วยเหตุนี้…
ทว่า เดินไปถึงครึ่งทาง มั่วเชียนเสวี่ยปล่อยมือเขา แล้วพูด “ตอนนี้เจ้าโตแล้ว ควรรู้ว่าชายหญิงต้องวางตัวต่อกันอย่างระมัดระวัง”
มีไหน้ำส้มสายชู[2]ขนาดใหญ่ในเรือน นางควรระมัดระวังไม่ให้เกิดเรื่องขึ้น
บุรุษผู้นั้นเห็นนางจับมือสตรี ยังยอมไม่ได้ นับประสาอะไรกับจับมือบุรุษ จะไหวหรือ แม้บุรุษผู้นี้จะมีความคิดเหมือนเด็ก ทว่าก็เป็นบุรุษ!
อีกทั้ง หลังจากอยู่ด้วยกันในวันนี้ มั่วเชียนเสวี่ยพบว่าความเป็นจริงถงจื่อจิ้งคือคนที่ฉลาดมาก
แผนที่ฉบับน่ารักแม้นางจะวาดให้ตลก จำง่าย แต่ว่า หากเป็นคนที่โง่เขลา ย่อมเล่นเป็นเท่านั้น ไม่มีทางตั้งใจจดจำชื่อสถานที่พวกนั้น
อีกทั้งตลอดทางเมื่อครู่ นางทำเหมือนพูดคุยอย่างไม่ใส่ใจ ถามตอบกับเขา แต่กลับพบว่า ถงจื่อจิ้งจำชื่อและตำแหน่งของสถานที่เหล่านั้นได้แม่นยำ ไม่ผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่า เมื่อก่อนความคิดของถงจื่อจิ้งคนนี้ถูกจำกัดเอาไว้ สมองถูกบดบังด้วยเมฆ ปัดเมฆหมอกเหล่านั้นทิ้งไป ใช้เวลาในการคลายปมในใจ อนาคตไกลแน่นอน
ตอนนี้ สำหรับเขา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของชีวิต
ถึงแม้ถงจื่อจิ้งจะไม่รู้ว่าชายหญิงวางตัวต่อกันอย่างระมัดระวังหมายความว่าอะไร แต่เขารู้ว่าหลังจากนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่ให้เขาจูงมือแล้ว ด้วยความน้อยอกน้อยใจจึงหงุดหงิดเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยจึงอธิบายหลักการให้เขาฟัง
ทั้งสองพูดคุยกัน พลางเดินไปช้าๆ
มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบเห็นบ่าวรับใช้สองคนด้านหลัง เป็นคนที่สายตาหลักแหลม ก้าวเดินด้วยความรวดเร็ว ตามติดอยู่ด้านหลังไม่ปล่อย คนหนึ่งแม้ก่อนหน้านี้จะตั้งใจเล่น แต่ว่ากลับหาวอย่างเบื่อหน่ายเล็กน้อย
นางครุ่นคิด ขมวดคิ้วเล็กน้อย บอกกับถงจื่อจิ้ง “จื่อจิ้ง หลังจากนี้เจ้าต้องการสิ่งใด สั่งพวกเขาได้เลย”
“พี่เชียนเสวี่ย หากพวกเขาไม่ฟังข้าเล่า”
ไม่ใช่ว่าถงจื่อจิ้งไม่พูด เพียงแค่ไม่ได้พูดมานาน ดังนั้นวันก่อนจึงพูดทีละคำ สองวันนี้พูดมากขึ้น โดยเฉพาะวันนี้ขณะเล่นเขาพูดมากโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้พูดคล่องไม่น้อยแล้ว แค่ว่าสีหน้ายังคงมีความหวาดกลัวเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยทำหน้าเหี้ยม “หากพวกเขาไม่เชื่อฟัง เช่นนั้นเจ้าก็ทุบตีและฆ่าทิ้ง”
จากสีหน้าของถงจื่อจิ้งที่มีต่อบ่าวรับใช้ในอดีตและบ่าวรับใช้ปัจจุบัร นางมองเห็นเงื่อนงำมานานแล้ว เวลานี้คือช่วงเวลาสำคัญ นางจะไม่มีวันปล่อยให้เหตุการณ์บ่าวรังแกเจ้านายเกิดขึ้นกับถงจื่อจิ้งอีก
มั่วเชียนเสวี่ยกลัวว่าคำพูดนี้จะทำให้ถงจื่อจิ้งตกใจ นางจึงพูดแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม หากไม่ได้ยินพูดของนาง ไม่ว่าผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่า ใบหน้ายิ้มแย้มเช่นนั้น คำพูดแผ่วเบาเช่นนั้น สิ่งที่พูดออกมากลับเป็นทุบตีและฆ่าทิ้ง
ถงจื่อจิ้งตกตะลึงครู่หนึ่ง บอกกับบ่าวรับใช้ด้านหลังด้วยสีหน้าจริงจัง “คำพูดของพี่เชียนเสวี่ย พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้หากพวกเจ้าไม่เชื่อฟังคำพูดของข้า ข้าจะทุบตีและฆ่าพวกเจ้าทิ้ง”
บ่าวรับใช้ทั้งสองมีไหวพริบ คุกเข่าลง “คำพูดของคุณชายคือบัญชาสวรรค์ ข้าน้อยไม่กล้าขัดคำสั่งขอรับ”
เดิมทีท่านผู้เฒ่าถงเพียงยืนพูดปลอบตนเองตามลำพังในป่าสน สวรรค์ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากปากนาง เขาอยู่ในเมืองหลวงมาหลายปี ย่อมไม่โง่เขลา ครุ่นคิดปล้วรู้ทันทีว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้พูดโดยไร้จุดประสงค์ เหลือบมองพ่อบ้านที่อยู่ไม่ไกล
พ่อบ้านถงรับใช้เจ้านายมาหลายปี ไม่จำเป็นต้องพูดก็เข้าใจ เขาเดินถอยออกไป สิ่งแรกที่ทำก็คือจับตัวบ่าวรับใช้ที่ดูแลคุณชายมาเจ็ดแปดปี
เมื่อไต่ถาม ตกตะลึงยิ่งนัก
บ่าวรับใช้ทั้งสี่ไม่อาจทนต่อการทรมานของพ่อบ้านถง จึงสารภาพว่าตลอดเจ็ดแปดปีที่ผ่านมานี้พวกเขาร่วมมือกันทรมานถงจื่อจิ้ง ข่มขู่เขา ไม่ให้เขาขยับไปมา แม้กระทั่งถ่ายหนักถ่ายเบาก็ควบคุมไปเสียทุกอย่าง
มักจะหยิกเขา ใช้เข็มทิ่มแทงเขา
ถึงอย่างไร คุณชายโง่คนนั้นก็พูดไม่เป็น
ถึงอย่างไร เรือนหลังนั้นก็เป็นความเจ็บปวดของนายท่าน เดือนหนึ่งนายท่านมาเพียงไม่กี่ครั้ง พ่อบ้านคอยติดตามรับใช้นายท่าน ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้
ถึงอย่างไร ขอเพียงคุณชายโยนถ้วยและฉีกผ้าอย่างเชื่อฟังที่นั่นทุกวันก็พอแล้ว
มีบางครั้ง คุณชายไม่อยากโยนถ้วยแล้วและไม่อยากฉีกผ้าแล้ว พวกเขาก็ข่มขู่ว่าหากไม่โยนถ้วยไม่ฉีกผ้า ก็จะไม่ให้กินข้าว หากเขาไม่ทันตามในทันที ก็จะใช้มือหยิกเขา ใช้เข็มทิ่มแทงเขา พวกเขาทำได้แนบเนียนมาก ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีผู้ใดรู้ กล่าวโดยสรุป เรือนแห่งนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดของคุณชาย แต่ขึ้นอยู่กับพวกเขาสี่คน ปกติแล้วห้องนั้นมีแค่พวกเขาสี่คนสามารถเข้าไป เรือนแห่งนั้นจึงกลายเป็นแผ่นดินของพวกเขา
ท่านผู้เฒ่าถงและพ่อบ้านถงโกรธเคืองอย่างมาก คิดไม่ถึงว่าที่เรือนแห่งนี้ จะมีคนกล้าตีสองหน้าต่อหน้าอย่างลับหลังอย่างเช่นนี้ ยิ่งคิดไม่ถึงว่าถงจื่อจิ้งที่อยู่ในการดูแลของพวกเขา จะถูกปฎิบัติเช่นนี้
ทันทีทันใด ท่านผู้เฒ่าถงเลือดขึ้นหน้า ความโกรธและความเศร้าผสานเข้าด้วยกัน
เขาร่ำไห้พร้อมกับฟาดมือไปที่โต๊ะ ร้องตะโกนบอกสวรรค์ “บ่าวรับใช้ที่สมควรตาย! ”
จากนั้นใช้แส้ตีบ่าวรับใช้ทั้งสี่จนตาย แม้จะเฆี่ยนตีอีกสามร้อยศพ เฉือนเนื้อเลาะกระดูกก็ไม่อาจบรรเทาความแค้นในใจของเขาได้
จากนั้นตามบ่าวรับใช้ใหม่ทั้งสอง และองครักษ์ใหม่ที่ซ่อนตัวอยู่มาหา ทุบตีพวกเขาทีละคน
แน่นอน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในตอนหลัง
หนิงเซ่าชิงนั่งอยู่บนกิ่งไม้ด้านนอกเรือนตระกูลถังเงียบๆ ไม่ถึงชั่วเวลาหนึ่งถ้วยน้ำชา มั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมาจากเรือนตระกูลถง คนที่เดินตามหลังกลับเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง
เขาอยู่ไกล จึงมองไม่เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคุณชายคนนั้น แต่สัมผัสได้ว่าทั้งสองพูดคุยหยอกล้อกัน อีกทั้งก่อนมั่วเชียนเสวี่ยจะกลับนางถึงขั้นจัดเสื้อคลุมให้คุณชายคนนั้น คล้ายกลัวว่าเขาจะป่วยอย่างไรอย่างนั้น
[1] กลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิม หลอกล่อศัตรูให้เกิดการหลงทิศกับการบุกโจมตีและนำกำลังทหารไปเฝ้าระวังผิดตำแหน่ง เกิดการหละหลวมต่อกำลังทหารและเปิดโอกาสให้สามารถเอาชนะได้โดยง่าย
[2] ไหน้ำส้มสายชู ใช้เรียกคนขี้หึง