ตอนที่ 108 การประลอง ถงเหล่าวิงวอนถึงเรือน (2)
“แต่ว่า อาการป่วยของจื่อจิ้ง…” ตอนนี้สิ่งที่มั่วเชียนเสวี่ยเป็นห่วงไม่ใช่เรื่องได้ครอบครองหุบเขาลูกนั้น แต่เป็นอาการป่วยของถงจื่จิ้ง
หลายวันที่อยู่ด้วยกัน ชายหนุ่มผู้น่าสงสารคนนั้น แตะต้องจิตวิญญาณของนางแล้วจริงๆ ทำให้นางสัมผัสถึงความรู้สึกของคนในครอบครัวที่ห่างหายไปนาน อาจเป็นเพราะหลายวันที่ผ่านมานี้ ส่วนลึกในใจของนางถือว่าเขาเป็นน้องชายแท้ๆ
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของถงจื่อจิ้ง หากนางไม่ไป ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าถงคนนั้น จะทำเรื่องโง่เขลาใดกระทบกระเทือนเขาอีกหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแค่การรักษาก่อนหน้านี้จะสูญเปล่า อนาคตข้างหน้าจะทำการรักษาเขาจะยิ่งยากกว่าเดิม
ความกังวลของมั่วเชียนเสวี่ยล้วนเขียนอยู่บนดวงหน้าของนาง ไหน้ำส้มสายชูหนิงเซ่าชิงกำลังสั่นไหว ทว่าสีหน้ายังคงนิ่งเฉย “อาการป่วยของถงจื่อจิ้งมีบิดาของเขาคอยดูแล เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า” จื่อจิ้ง? นางเรียกได้สนิทสนมเช่นนั้น! คิดว่าเขาตายไปแล้วหรือ
มั่วเชียนเสวี่ยฟังคำพูดเห็นแก่ตัวของเขา เห็นชัดว่ายังคงกินน้ำส้มสายชูอยู่ รู้สึกว่าไม่อาจพูดคุยกับเขาต่อไปได้ จึงหมุนตัวหันหลังแล้วเดินออกไป
หนิงเซ่าชิงหุบยิ้ม ด้วยนิสัยของเขาสามารถทนถึงตอนนี้ ฟังมั่วเชียนเสวี่ยเล่าเรื่องของถงจื่อจิ้งจนจบถือเป็นเรื่องที่ยากมาก เขาไม่เข้าใจ เดิมทีเรื่องราวดูงดงามและอบอุ่น ทว่าเสวนาถึงตอนท้ายกลับแปรเปลี่ยนเป็นจบไม่ดี
ตอนกลางคืนขณะกินอาหารค่ำ สีหน้าของหนิงเซ่าชิงยังคงบูดบึ้ง สีหน้าของเขาซับซ้อนอย่างมาก
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยก่นด่าในใจว่าเขาใจแคบ ก็ครุ่นคิดมาโดยตลอด พรุ่งนี้ต้องทำเช่นไรจึงจะออกไปได้ แม้ว่าหลังจากนี้นางจะไม่ไปเรือนตระกูลถงแล้ว อย่างน้อยก็ต้องไปอีกสักครั้ง ฝากฝังให้ดีจึงจะวางใจได้
หลังจากทานอาหารเสร็จ หนิงเซ่าชิงออกไปเดินเล่นตามลำพัง ฝีเท้าหนักหน่วง
มั่วเชียนเสวี่ยไปที่หน้าหมู่บ้าน ไปบ้านอาซ้อจางที่ขับรถม้า
ไม่มีเกวียนแล้ว นางทำได้เพียงรบกวนสารถีเพียงคนเดียวในหมู่บ้าน
ยังไปไม่ถึงบ้านอาซ้อจาง ก็ได้ยินอาซ้อจ้างชี้หน้าด่าจางเกินเป่า มั่วเชียนเสวี่ยนึกถึงภาพที่เห็นในป่าสนเมื่อหลายวันก่อน หยุดฝีเท้า แล้วเดินกลับไป
นางไม่มีปัญญาไปตอแยกับคนบ้านนี้ แล้วยังจะไม่มีปัญญาหลบเลี่ยงอีกหรือ… เลี่ยงได้…เลี่ยง!
ฟ้ามืดสนิทแล้ว ทว่าหนิงเซ่าชิงยังไม่กลับมา อาซานก็ไม่อยู่ในเรือนเช่นเดียวกัน แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะไม่ได้เป็นห่วงความปลอดภัยของเขา ทว่ายังเป็นห่วงไม่อาจนั่งนิ่งได้
เห็นอาอู่ชกต่อยอยู่ที่ลานบ้าน มั่วเชียนเสวี่ยไปถามอาอู่ด้วยความไม่เข้าใจ อาอู่หยุดชกต่อย จับศีรษะ นึกอยู่นานครึ่งค่อนวันกว่าจะนึกขึ้นได้ บอกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเจ้านาย เจ้านายคงจะคิดถึงเรื่องในอดีต จิตใจว้าวุ่น จึงออกไปเดินเล่นรับลม
จะมีเรื่องอะไร ทำให้เจ้านายห่อเหี่ยวใจได้เท่ากับเรื่องในวันนี้ แน่นอน คำพูดนี้เขาไม่กล้าพูดออกมา
มั่วเชียนเสวี่ยฟังสิ่งที่อาอู่พูด รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที หากรู้แต่แรกว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเขา นางคงไม่ชักสีหน้าใส่เขา
แต่ว่า ยุคโบราณคร่ำครึนี้ไม่มีโทรศัพท์ ไม่อาจตามเขาเข้ามาให้นางแสดงความเสียใจต่อเขาในเวลานี้ มั่วเชียนเสวี่ยหมุนตัวหันหลัง เข้าไปในครัวแล้วตักแป้งออกมาครึ่งถ้วย เทลงไปในกะละมัง จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็เริ่มนวดแป้ง
อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ เดินรับลมทั้งคืน ร่างกายต้องเย็นมากแน่ๆ รอเขากลับมา นางค่อยยกหมี่ซั่วที่ทำด้วยตนเองไปให้เขา ไม่ว่าจะโกรธเคืองเช่นไรก็ควรจะหายโกรธได้แล้วกระมัง
หลังนวดแป้งด้วยความตั้งใจครึ่งชั่วยาม สุดท้ายก็นวดเสร็จ แล้วค่อยทำให้มันกลายเป็นเส้นหมี่ยาวเหยียด
โดยทั่วไป หมี่ซั่วหรือบะหมี่อายุยืนนี้ ทั้งถ้วยมีหมี่แค่เส้นเดียวเท่านั้น เส้นหมี่ยาวเหยียด อายุยืนยาว! นอกจากนี้มั่วเชียนเสวี่ยยังเตรียมไข่เป็ดเอาไว้เป็นพิเศษ ประเดี๋ยววางไว้บนเส้นหมี่ เพื่อแสดงถึงการข่มความชั่วร้าย ฝ่าลมโต้คลื่น ด้วยความราบรื่น
ดึกดื่นค่ำคืนแล้ว หนิงเซ่าชิงยังไม่กลับมา มั่วเชียนเสวี่ยเปิดประตูห้องโถง ภายใต้หิมะขาวโพลน ดวงจันทร์บนท้องฟ้าส่องสว่างเด่นชัดมากขึ้น
นางคิดขึ้นได้ ช่วงที่นางเพิ่งมาถึงโลกใบนี้ ทั้งสองช่วยกันประคับประคองชีวิต
นึกถึงตอนที่ถูกพวกหัวหน้าตระกูลมารังแกถึงเรือนแล้วเขาเข้าข้างตน อดไม่ได้ที่จะโกรธตัวเอง ตอนที่นางมีปัญหา เขายืดอกสู้อย่างห้าวหาญ เหตุใดตนจึงไม่ยอมละทิ้งความดื้อดึงเพื่อเขาบ้างเล่า
ช่างเถอะ หากเขากลับมา พรุ่งนี้ไม่ไปเยี่ยมถงจื่อจิ้งแล้ว อยู่กับเขาหนึ่งวันแล้วกัน
คิดดูแล้วมีซูชีอยู่ที่เรือนตระกูลถง ชั่วข้ามวัน ถงจื่อจิ้งคงไม่มีปัญหาอะไร
มั่วเชียนเสวี่ยตัดสินใจในทันที นางสั่งอาอู่ พรุ่งนี้เช้าไปรายงานพ่อบ้านเรือนตระกูลถง บอกว่าสองสามวันนี้นางติดธุระ ไม่อาจไปหาได้ ให้พวกเขาทำตามที่นางบอก ดูแลถงจื่อจิ้งด้วยความอดทน
แน่นอนว่าอาอู่ดีใจ ในที่สุดฮูหยินก็คิดได้แล้ว
ในวันที่หิมะตก แน่นอนว่าอากาศด้านนอกหนาวเหน็บ
หนิงเซ่าชิงสูดลมหายใจเข้า สีหน้าเศร้ามอง ยืนรับลงอยู่บนเนินเขามานานแล้ว อาซานทนดูไม่ได้ เดินเข้าไปเกลี้ยกล่อม “เจ้านาย ดึกมากแล้ว ขืนยังไม่กลับไปเกรงว่าฮูหยินจะเป็นห่วงนะขอรับ”
นางจะเป็นห่วงเขาไหม เกรงว่าตอนนี้นางคงกำลังกังวลว่า พรุ่งนี้จะปะเหลาะเขาเช่นไรเพื่อจะได้ออกไปพบถงจื่อจิ้งนั่น
แม้ภายในใจจะคิดเช่นนี้ ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะหันหลัง เดินกลับไป
ไม่ว่าอย่างไร… เขายังคงปรารถนาให้นางมีความสุข
ไม่ว่าอย่างไร… เขายังคงไม่อาจตัดใจจากนางได้
เมื่อเดินถึงประตู ด้านในมีแสงเลือนราง หนิงเซ่าชิงชะงัก รู้สึกมีความสุขอย่างยากจะอธิบาย
นาง…รอเขาอยู่หรือ นางยังคงมีเขาอยู่ในใจ
หนิงเซ่าชิงรีบเปิดประตู มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้น เขามองไปที่นาง ทั้งตกใจและดีใจ เงียบไม่พูดกล่าวสิ่งใด
หัวใจของมั่วเชียนเสวี่ยเต้นรัวแรง ในแววตาของนางฉายความประหลาดใจและดีใจ รีบลุกขึ้นแล้วพยุงเขา
“ท่านนี้จริงๆ เลย ออกไปนานครึ่งค่อนคืน ดึกมากแล้วก็ยังไม่กลับมา ทำให้ข้าต้องรออยู่นาน”
“เจ้ารอข้าทำไม ควรจะพักผ่อนแต่เช้า อาซานได้ยินข้าพูดว่าช่วงนี้เขาหิวเนื้อ จึงบอกกับข้าว่าในป่ามีกวาง เตรียมจะล่ากลับมาหนึ่งตัว ข้าจึงตามไปดู”
“เช่นนั้น…กวางเล่า!” มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแล้วเอ่ยถาม
ข้ออ้างนี้แย่จริงๆ! หนิงเซ่าชิงกระเอมไอ กำลังจะตอบ ทว่าคิดไม่ถึง มั่วเชียนเสวี่ยเดินวนรอบตัวเขาร้องเพลงด้วยรอยยิ้ม
“สุขสันต์วันเกิด สุขสันต์วันเกิด…”
คำพูดทุกอย่างติดอยู่ที่ลำคอ
หลังจากร้องเพลงอวยพรวันเกิดเสร็จ มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มแล้วพูด “ฉลองวันเกิด จะขาดหมี่ซั่วได้อย่างไร ท่านอยู่ด้านนอกรับลมหนาวครี่งค่อนคืน รีบกินตอนร้อนๆ สิ”
เดินไปที่ประตู แล้วพูดหยอกเย้า “เจ้าของวันเกิดรอครู่หนึ่ง เชี่ยเซินยกมาให้ท่านพี่เดี๋ยวนี้”
ท่านพี่? หวังว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้อยู่ในความฝัน
ภายในใจของหนิงเซ่าชิงหวานชื่น ไม่ได้นั่งรออยู่ในห้องโถง แต่เดินตามหลังนางเข้าไปในโรงครัว
กระทั่งตอนนี้น้ำในหม้อยังคงเดือด เส้นหมี่อุ่นอยู่ในหม้อเล็กๆ ด้านหลังหม้อใหญ่เพื่อรักษาความร้อน
เห็นได้ชัดว่านางต้องคอยระวังฟืนไฟในครัว และตั้งตารอคอยเขากลับมา ให้เขาได้กินอาหารอุ่นๆ ร้อนๆ ฝีมือนางทันทีที่กลับมา ไม่ต้องรอนางทำอาหารใหม่
ภายในใจของเขามีความร้อนแล่นผ่าน เดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าวอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ คว้าเอวร่างบางตรงหน้ามากอดไว้