ตอนที่ 115 ช่างเหนื่อยเหลือเกิน มีหนอนตามก้นเยอะเกินไปแล้ว (4)
เช้าวันต่อมา เมื่อเปิดประตูออกไปมั่วเชียนเสวี่ยก็ได้เตรียมใจเอาไว้ว่าจะทักทายบรรดาแฟนคลับอย่างไรดีบ้าง ทว่าเมื่อนางผลักประตูออกไปกลับพบว่าด้านนอกประตูนั้นไม่มีผู้ใดแม้แต่คนเดียว
ท่ามกลางความงุนงง นางมองไปซ้ายขวาจนทำให้หนิงเซ่าชิงหัวเราะออกมา
“ท่านหัวเราะอะไร” มั่วเชียนเสวี่ยหันกลับไป แม้ว่านางกำลังตำหนิหนิงเซ่าชิงอยู่ แต่ในใจกลับรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก ผู้คนหายไปไหนกันหมดเล่า
“วันนี้พวกเขาไม่มาหรอก” หนิงเซ่าชิงยิ้มขึ้นเบาๆ แล้วดึงนางให้กลับมา
“หืม ไม่มางั้นหรือ แล้วเขาไปที่ใด” มั่วเชียนเสวี่ยผลักเขาออก
แต่หนิงเซ่าชิงไม่ได้ใส่ใจ เขากลับยิ้มออกมาแล้วตอบว่า “แน่นอนว่าต้องไปที่โรงงานแกะสลักของเชียนเสวี่ยนะสิ! ต้องขอขอบพระคุณฮูหยินที่ชี้แนะจนบรรลุผลแล้วเบื้องต้น ในที่สุดก็สามารถกระทำการใดได้โดยอิสระสักที”
คนหนึ่งทำท่าทางเขินอาย อีกคนหนึ่งยิ้มอย่างมีเลศนัย แต่กลับทำให้บรรยากาศดีอย่างน่าประหลาดใจ
นับจากผ่านวิกฤตครั้งนั้นมาแล้ว ค่ำคืนของทั้งสองก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้งหนึ่ง แต่ความสงบที่ว่าไม่ใช่ความสงบเช่นนั้น เพราะเมื่อคืนที่ผ่านมา หนิงเซ่าชิงเพียงมีท่าทางอันซุกซนเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยก็ขู่ว่าจะถีบเขาลงจากเตียง นั่นไม่ใช่เพราะนางไม่ต้องการ เพียงแต่นางเกรงว่าเขาจะเป็นแบบครั้งที่แล้ว หากเขาไม่อาจควบคุมตนเองได้ ท้ายที่สุดจะทำให้ร่างกายบาดเจ็บและรู้สึกอึดอัดใจเสียเปล่า
แต่ก็กลัวว่าเขาจะอัดอั้นตันใจแทบเป็นบ้า เนื่องจากไม่อาจสนองความต้องการได้ เพลิงอันร้อนรุ่มภายในกายวันนั้น ทรมานจนทำให้นางนอนไม่หลับทั้งคืน
หนิงเซ่าชิงเข้าใจนางดี และเกรงว่าตนจะไม่อาจหยุดการกระทำลงได้เมื่อถึงคราต้องหยุด ส่งผลให้นางไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ตลอดชีวิต ดังนั้นเขาจึงไม่อาจขัดต่อความหวังดีของนางได้
เพียงแต่เขานั้นคิดไม่ถึงว่า หากวันใดที่นางทนไม่ไหวแล้วขย้ำเขาด้วยตนเอง เมื่อถึงตอนนั้นเขาจะยังสามารถอดทนอยู่ได้หรือ ดังนั้นควรจะดับไฟเสียก่อนตั้งแต่ต้นลม เนื่องจากในอนาคตนางยังอยากจะมีซาลาเปาน้อยตัวกลมสักสองสามคน ลองใช้ชีวิตคุณแม่ไฟแรงเหมือนแม่ๆ ยุคใหม่ดูสักหน่อย
เมื่อวานนี้นางได้สั่งให้อาอู่ไปยังจวนตระกูลเจี่ยนเพื่อส่งมอบจดหมายขอเข้าเยี่ยม ในวันนี้หลังจากจัดการกับถงจื่อจิ้งเรียบร้อยแล้ว นางตั้งใจจะเดินทางไปที่จวนเจี่ยนเพื่อพบกับเจี่ยนชิงโยว
ตระกูลใหญ่นั้นมีกฎบ้าบอมากมาย แม้แต่จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนยังต้องส่งจดหมายขออนุญาตเข้าเยี่ยมเยียนก่อน
การเดินทางไปครั้งนี้ นางไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงแค่ไปเยี่ยมเจี่ยนชิงโยวเท่านั้น แท้จริงแล้วนางต้องการจะไปสืบดูถึงเรื่องของหมอประหลาด ได้ยินหนิงเซ่าชิงกล่าวว่าเขาได้ส่งคนไปที่จวนเจี่ยน ได้รับรายงานว่าหมอประหลาดไม่อยู่ที่นั่น นางจึงประสงค์จะเดินทางไปดูให้ชัดเจนด้วยตนเอง สารถียังคงเป็นอาอู่ ด้านในรถม้ามีฟูกนิ่มปูเอาไว้ช่างอบอุ่นยิ่งนัก
มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่ารถม้านั่งสบายดีเหลือเกิน! ทั้งวิ่งได้รวดเร็ว มั่นคง สามารถบังแดดบังฝนบังลมได้ นางเปิดม่านขึ้นมองดูพบว่าด้านนอกเต็มไปด้วยหิมะสีขาวโพลน วันนี้นางจึงมีความรู้สึกอยากจะชื่นชมหิมะขึ้นมาบ้าง
บัดนี้เป็นเวลาใกล้สาง ท้องฟ้ายังคงมืดมนไม่สว่างไสว ดูเหมือนจะมีหมอกสีขาวจางๆ ลอยเป็นชั้นบาง เมื่อมองดูดีๆ จะพบว่ามันคือเกล็ดหิมะนั่นเอง หากทอดสายตามองไกลออกไป ดูเหมือนจะมีภูเขาสีขาวปรากฏขึ้น ตรงเส้นขอบฟ้ามีแสงแห่งรุ่งอรุณกำลังจะส่องสว่าง ด้านขวาเป็นภูเขาสูงชัน ซึ่งบรรดาภูเขาเหล่านั้นได้ถูกหิมะขาวผ่องปกคลุมไว้
ทางซ้ายมือเป็นเนินเขาเตี้ยเชื่อมต่อกันเป็นทางอย่างไม่มีสิ้นสุด รถม้าดำเนินไปอยู่ท่ามกลางอ้อมกอดของภูเขาเหล่านี้ แสงสว่างในยามเช้าของฤดูหนาวช่างเงียบสงัด มีเพียงหิมะบางๆ ที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่หยุดหย่อน ความงดงามเช่นนี้ ทำให้นางอารมณ์ดีไม่น้อย
เมื่อเดินทางไปถึงจวนเจี่ยน นายประตูเฒ่าก็เข้าไปรายงาน ต่อมาพบว่าจวนเจี่ยนได้เปิดประตูตรงกลางออก เจี่ยนชิงโยวเดินออกมาต้อนรับจากด้านในด้วยตนเอง ด้านหลังของนางยังมีสตรีอีกสองคนเดินติดตามออกมา อายุราวสิบสี่สิบห้าปีได้
ทั้งสองคนนี้มองไปแล้วดูเหมือนเคยพบหน้ามาก่อน มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าครั้งแรกที่เข้าไปในจวน มีสตรีกลุ่มหนึ่งต้องการที่จะกดขี่นาง ในตอนนั้นทั้งสองคนก็อยู่ที่นั่นด้วย ดูเหมือนคนหนึ่งเป็นน้องสาวซึ่งเกิดจากอนุภรรยา อีกคนหนึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องที่เกิดจากภรรยาหลวง
การเปิดประตูตรงกลางออกนั้น เป็นพิธีในการต้อนรับแขกเข้าจวน
มั่วเชียนเสวี่ยสะดุ้งเล็กน้อย จู่ ๆ ก็ทำเป็นพิธีการเช่นนี้ ดูเหมือนจะทำดีเพื่อหวังผลนะสิ!
“เชียนเสวี่ย ไม่ได้พบกันตั้งนาน ช่วงนี้สบายดีหรือไม่ ชิงโยวคิดถึงเจ้ามากนัก”
แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะรู้สึกประหลาดใจยิ่ง แต่นางก็ยังยิ้มแล้วตอบกลับว่า “ขออภัยด้วยที่ทำให้ต้องคิดถึง เชียนเสวี่ยนั้นสบายดี เพียงแต่ว่าช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็นแล้ว ร่างกายของชิงโยวค่อนข้างอ่อนแอ ต้องคอยระมัดระวังให้มากกว่านี้จึงจะดี”
เจี่ยนชิงโยวกล่าวพลางเดินจูงมือมั่วเชียนเสวี่ยเข้าไปด้านใน
“ผู้ก็นี้คือหนิงเหนียงจื่อ เมื่อครั้งที่แล้วพวกเจ้าได้ทักทายกับนางที่สวน คาดว่ายังจำได้ใช่หรือไม่”
“ผู้นี้คือลูกพี่ลูกน้องลำดับที่ห้าของชิงโยว บุตรสาวจากอนุภรรยา นามว่าเจี่ยนชิงหวา ผู้นี้คือเจี่ยนชิงเจิน ลูกพี่ลูกน้องลำดับที่เจ็ด บุตรสาวจากภรรยาหลวงในเรือน” เจี่ยนชิงโยวจูงมือมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปอย่างช้าๆ นางเดินไปพลางแนะนำหญิงสาวข้างกายทั้งสองคน
เจี่ยนชิงหวาเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เครื่องเเต่งกายของนางนั้นไม่นับว่างดงามเท่าไหร่ ส่วนเจี่ยนชิงเจินสวมใส่เครื่องผ้าอาภรณ์ดูหรูหรากว่าเจี่ยนชิงโยวที่เป็นคุณหนูในจวนนี้เสียด้วยซ้ำ
นางทำผมมวยสามวง ผมสีดำสนิทพลิ้วลงตามไหล่ของนาง ทรงผมถูกตกแต่งด้วยปิ่นหยกขาวลายดอกเหมย ประดับด้วยพู่สีทอง สวมกระโปรงยาวสีแดงเช่นดอกเหมย ข้อมือทั้งสองข้างสวมกำไลหยกแกะสลัก
ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ล้วนเต็มไปด้วยความสง่างาม เครื่องประดับแต่ละชิ้นมองดูแล้วราคาสูงไม่เบา ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากเจี่ยนชิงโยวที่เน้นเรื่องความเรียบง่ายสง่างามอย่างชัดเจน
ตอนที่ชิงโยวแนะนำเจี่ยนชิงหวา นางเงยหน้าขึ้นมองดูมั่วเชียนเสวี่ยแล้วยิ้มให้ ส่วนเจี่ยนชิงเจินพบว่ามั่วเชียนเสวี่ยจัดแต่งทรงผมธรรมดาเหมือนสตรีทั่วไป อีกทั้งมีเพียงปิ่นเงินที่ปักประดับกับดอกไม้สีแดงเพียงดอกเดียว สีหน้าของนางก็เผยความเหยียดหยาม ทำท่าเฉยเมย เพียงพยักหน้าตอบรับเท่านั้น
ในใจของนางแอบคิดไปว่า เป็นเพียงคนยากจนธรรมดาจริงๆ ดูท่าทางแต่งกายช่างน่าสมเพชเหลือเกิน
นางจะรู้ได้อย่างไรว่ามั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ คราก่อนเหล่าฮูหยินแห่งจวนเจี่ยนได้มอบเครื่องประดับให้นางชุดหนึ่ง แม้อาจจะไม่ดีเท่าของนางแต่ก็ไม่ได้แย่นัก
ในตอนนั้นมั่วเชียนเสวี่ยเพียงชำเลืองมองดูแล้วสั่งให้อาซานนำไปเก็บ
ส่วนดอกไม้สีแดงสดในวันนี้นำมาที่ประดับผม ไม่รู้ว่าหนิงเซ่าชิงไปเด็ดมาจากที่ใดแต่เช้าตรู่แล้วนำมาปักให้นาง เขายังยิ้มแล้วกล่าวว่านางงดงามดุจดอกไม้แดงเรื่อ มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่าเขาช่างโบราณจริงเชียว!
แต่ทว่าในตอนนั้นนางเห็นว่าหนิงเซ่าชิงดูตื่นเต้นมีความสุข นางจึงไม่กล้าหยิบออกต่อหน้าเขา ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในอกว่าวันนี้คงจะต้องเป็นสตรีที่ปักดอกไม้แดงแล้วล่ะ นางคิดอยู่ในใจว่าระหว่างทางจะหยิบมันออก เพียงแต่หลังจากนั้นได้พบกับทิวทัศน์อันสวยงามของหิมะขาว จึงทำให้นางลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
“ท่านย่าชื่นชอบขนมที่เชียนเสวี่ยทำยิ่งนัก ข้ากำลังคิดว่าจะส่งคนไปเชิญเชียนเสวี่ยมาสักหน่อย คาดไม่ถึงว่าเมื่อวานนี้เชียนเสวี่ยจะส่งจดหมายมาขอเข้าเยี่ยมด้วยตนเอง”
“สุขภาพร่างกายของเหล่าไท่จวินดีขึ้นบ้างหรือไม่ เชียนเสวี่ยตั้งใจจะมาเยี่ยมท่านในวันนี้พอดี”
“เชียนเสวี่ยไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ประเดี๋ยวชิงโยวจะพาเชียนเสวี่ยไปพบท่านเอง เหล่าไท่จวินกำลังรอทานขนมที่เจ้าทำอยู่เชียว”
ทั้งสองคนเดินไปพลางสนทนาหยอกล้อ ในไม่ช้าก็มาถึงเรือนของเหล่าไท่จวิน
เมื่อเดินเข้าไปถึงปากประตูเรือน หมัวมัวชราคนหนึ่งก็เดินออกมาต้อนรับ มั่วเชียนเสวี่ยจ้องไปที่นางและพบว่าเป็นเหลียงหมัวมัวผู้โอบอ้อมอารีนั่นเอง
“เหลียงหมัวมัว เหตุใดจึงมายืนอยู่ที่ปากประตูเล่า” เจี่ยนชิงโยวก้าวไปด้านหน้าแล้วกล่าวถาม
“เหล่าไท่จวินกำชับมาเจ้าค่ะว่าให้บ่าวมารอรับหนิงเหนียงจื่อเข้าไปด้านใน” ระหว่างที่เหลียงหมัวมัวกล่าวประโยคนี้ออกมา ก็ได้ทำการโค้งคารวะคุณหนูทั้งสามอีกทั้งยิ้มให้กับมั่วเชียนเสวี่ย
เมื่อเหลียงหมัวมัวทำความเคารพเรียบร้อยแล้ว ก็ได้พาพวกนางเดินตรงเข้าไปด้านใน สาวรับใช้ได้เข้าไปรายงานก่อนหน้าแล้ว หลังจากได้รับการอนุญาต เหลียงหมัวมัวจึงนำพวกนางทั้งสี่คนเดินเข้าไปยังห้องด้านใน