หวังฟู่กุ้ยและคนอื่นๆ ยืนมองเริ่นเสี่ยวซู่กลับเข้าป้อมปราการแสนอันตรายไป บางครั้งหวังฟู่กุ้ยก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะใจกล้าเกินไปแล้ว เขาเพิ่งกลับไปยังสถานที่ที่ทุกคนทุ่มสุดตัวหนี
กระนั้นหวังฟู่กุ้ยก็รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจได้ฉลาดที่สุดในชีวิตแล้วที่พาหวังต้าหลงติดตามเริ่นเสี่ยวซู่มา ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น ต่อให้โชคดีรอดภัยพิบัติที่ป้อมปราการ 113 ได้ครั้งหนึ่ง ครั้งต่อไปเขาก็ไม่รอดอยู่ดี
โลกเดี๋ยวนี้มันอันตรายเกินไป
สองวันมานี้ เริ่นเสี่ยวซู่กับหวังต้าหลงโดนร้านที่ไปซื้อของมองอย่างไม่ไว้วางใจหลายต่อหลายรอบ ทำเอาบางครั้งหวังฟู่กุ้ยก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าถ้าป้อมปราการไม่เกิดภัยพิบัติธรรมชาติอย่างแผ่นดินไหวหรืออะไรเทือกนั้น ป้อมปราการก็จะยืนยงคงกระพันสืบไป
แต่ขอเท็จจริงก็ปรากฏมาแล้วอย่างไรเล่า เริ่นเสี่ยวซู่พูดถูกทุกอย่าง
ตอนนี้เหยียนลิ่วหยวนได้แต่มองตามหลังเริ่นเสี่ยวซู่ไปด้วยสายตาสิ้นหวัง เสี่ยวอวี้ถอนหายใจ “ลิ่วหยวน เป็นห่วงพี่ชายเหรอ”
ทุกคนรู้ดีว่าสองพี่น้องนี้สนิทกันขนาดไหน เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่เหยียนลิ่วหยวนจะเป็นห่วงเริ่นเสี่ยวซู่ แต่เหยียนลิ่วหยวนกลับส่ายหน้า “เปล่าหรอก กำลังคิดอยู่ว่าควรไปเตือนพี่ดีไหมว่าตัวเองยังแบกจักรยานอยู่กับตัวน่ะ”
เสี่ยวอวี้ “???”
ทุกคนพลันตะลึงหลังเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่กำลังแบกจักรยานกลับเข้าป้อมปราการไป
สถานการณ์เมื่อครู่มันหนักหน่วงเกินไป ไหนจะมีการตัดสินใจอันน่าตกตะลึงของเริ่นเสี่ยวซู่ที่จะกลับเข้าไปอีก ทุกคนเลยไม่ทันได้รับมืออะไรให้ดี
หวังฟู่กุ้ยรู้สึกว่าภาพลักษณ์ของเริ่นเสี่ยวซู่อันยิ่งใหญ่เกรียงไกรในใจตนนั้นกลายเป็นอาจมไปแล้ว
เหยียนลิ่วหยวนขึ้นรถจักรยานแล้วว่า “ไปกันเถอะ! พี่ฉันกล้ากลับไปก็คงรู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ พวกเราเดินทางขึ้นเหนือได้!”
เฉินอู๋ตี๋มองกลับไปที่ป้อมปราการแล้วกล่าวด้วยเสียงเศร้าสร้อย “อาจารย์ถูกเจ้าครองแห่งแคว้นอิตถี[1]ล่อลวงไปแล้ว เช่นนี้พวกเราจะไปอัญเชิญพระไตรปิฎกที่สวรรค์ประจิมได้อย่างไร”
เหยียนลิ่วหยวนปลอบ “ไม่ต้องห่วงไป พวกเราก็พาเจ้าครองแคว้นอิตถีมาอยู่กับพวกเราด้วยไง”
เฉินอู๋ตี๋ตกอยู่ในภวังค์ไปพักใหญ่ ก่อนจะตอบอย่างอิดออด “ก็ได้”
…
ตึกสูงที่หยางเสียวจิ่นอยู่นั้นห่างออกไปจากประตูป้อมปราการแค่ราวๆ หนึ่งกิโลเมตรเท่านั้น เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่ตึก ถอนหายใจแล้ววางจักรยานที่ข้างถนน เขาสะเพร่าจัดจนลืมฝากไว้ที่เหยียนลิ่วหยวนเสียได้
ตอนนี้ช่องเก็บของขนาดสิบห้าตารางเมตรล้วนมีสบงเสบียงอัดแน่น จริงๆ เขาจะหยิบของออกแล้วใส่จักรยานเข้าไปแทนก็ได้ แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาจัดการเรื่องนั้นหรอก
ทันใดนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นคนไม่น้อยเบื้องหน้าหนีไปทางประตูป้อมปราการที่อยู่ข้างหลังเขา ตัวทดลองไม่น้อยกำลังไล่ตามพวกเขามาอย่างบ้าคลั่ง
พวกตัวทดลองน่าพรั่งพรึงจนชาวป้อมปราการกรีดร้องไม่หยุด มีคนวิ่งหนีเท้าเปล่า บางคนก็วิ่งหนีโดยมีชุดนอนบางๆ ดูแล้วพวกเขาคงวิ่งออกจากบ้านมาทันทีเลย
ชาวป้อมปราการที่เพิ่งคุยเรื่องเทศกาลดนตรีกับเทรนด์แฟชั่นไป ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าโลกภายนอกป้อมปราการนั้นเป็นอย่างไร
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เข้ามาในป้อมปราการแรกๆ เขาก็เกิดความคิดที่ว่า ‘ทุกอย่างของโลกภายนอกนั้นดูจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยความเร็วยิ่ง แต่ในป้อมปราการนั้นดูเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน คนพวกนี้เสวยสุขกับความสงบและมั่งคั่งจอมปลอมหลังกำแพงที่ดูแล้วนอกจากจะปกป้องพวกเขาแล้ว ก็ยังเป็นโซ่รั้งความพัฒนาด้วย’
เริ่นเสี่ยวซู่เงยหน้ามองตึกสูงที่หยางเสียวจิ่นอยู่ เขาเห็นตัวทดลองตัวหนึ่งปืนขึ้นไปจวนจะถึงด้านบนสุดแล้ว แต่ก่อนที่มันจะทันกระโจนขึ้นไป ก็โดนปากกระบอกปืนขนาดใหญ่ชี้ใส่
พวกตัวทดลองไม่กลัวกระสุน เพราะต่อให้เป็นกระสุนไรเฟิลอัตโนมัติระยะห้าสิบเมตรก็เจาะหนังหนาๆ ของมันไม่ได้
แต่นั่นไม่นับการโดนปืนสไนเปอร์จ่อหน้า
หยางเสียวจิ่นมีพละกำลังมหาศาลจึงสามารถใช้ปืนสไนเปอร์ในระยะประชิดได้ เกิดเสียงดังสนั่น ตัวทดลองตัวแรกที่ขึ้นดาดฟ้ามาศีรษะกระจุย!
แรงถีบของปืนสไนเปอร์ไม่เบาเลย คนธรรมดาลั่นไกเสร็จคงกระเด็นไปข้างหลัง
แต่หยางเสียวจิ่นยังนิ่งสนิท ลั่นไกยิ่งอีกนัดอย่างรวดเร็ว
ไม่รู้ทำไม เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกว่าร่างแน่งน้อยกับปืนสไนเปอร์ของหยางเสียวจิ่นนั้นช่างตัดกันเสียเหลือเกิน เป็นความขัดแย้งที่ฉายประกายความดุร้ายประการหนึ่ง
…
เดิมทีเริ่นเสี่ยวซู่กลัวมากว่าตัวเองจะไปไม่ทัน เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าเธอไม่มีคนสนับสนุน สุดท้ายอย่างไรหยางเสียวจิ่นก็จะโดนล้อมเพราะว่ามีตัวทดลองมากเกินไป
แต่ตอนนี้เขาโล่งใจได้เล็กน้อย เขายังพอมีเวลา!
หรือจะพูดว่าหยางเสียวจิ่นกำลังซื้อเวลาให้ตัวเองอยู่ก็ว่าได้!
เริ่นเสี่ยวซู่เร่งฝีเท้า แต่มีคนมากมายกำลังพุ่งไปทางประตูป้อมปราการ เริ่นเสี่ยวซู่จึงไม่ต่างกับกำลังทวนกระแสน้ำ
ตอนที่ฝูงชนวิ่งหนีผ่านเริ่นเสี่ยวซู่ไปนั้น ในช่วงเป็นตายเช่นนี้พวกเขาก็ยังอดหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่อย่างแปลกใจไม่ได้ ไฉนถึงมีคนวิ่งสวนไปหาตัวทดลองกันล่ะเนี่ย พวกเขามีแต่อยากหนีเจ้าพวกนั้นไปให้ไกล!
ตอนนี้ทุกคนในเมืองป้อมปราการต่างหนีตายจากตัวทดลองไปยังประตูป้อม ทว่าตลอดทางกับมีหนึ่งบุคคลที่มุ่งสวนทาง
หยางเสียวจิ่นก้มลงมามองภาพนี้จากบนตึก ตอนที่เธอเห็นเริ่นเสี่ยวซู่กำลังมุ่งหน้ากลับมาที่ป้อมปราการ เธอพลันรู้สึกว่าป้อมปราการ 109 ในตอนนี้นั้นไม่น่าหวาดกลัวอีกต่อไป
มีชายชราผู้หนึ่งจำเริ่นเสี่ยวซู่ท่ามกลางฝูงคนได้ นั่นมันเจ้าเด็กที่ซื้อเสบียงอาหารจากร้านเราไปตั้งเยอะนี่
ชายชราคือเถ้าแก่ร้านขายของชำก่อนหน้านี้ เมื่อวานเขายังล้อเลียนเริ่นเสี่ยวซู่อยู่เลยว่าเขาคิดมากไปแล้ว แต่สุดท้ายก็เป็นเขาเองนั่นแหละที่โง่งม
เจ้าหนุ่มนี่รู้ได้ยังไงว่าจะมีอันตราย
ที่สำคัญคือต่อให้รู้ว่ามีภัยอันตราย ทำไมเขาถึงไม่หนีไปก่อนล่วงหน้าเสียล่ะ จะวิ่งสวนทางกับพวกตนทำไม
สองคำถามนี้วนเวียนอยู่ในใจของเถ้าแก่ร้านขายของชำไม่สร่าง ตอนที่วิ่งก็ถามตัวเองว่าทำไมไปด้วย แต่ตอนที่เขาวิ่งผ่านเริ่นเสี่ยวซู่ไปนั้น ก็มีเสียงกรีดร้องขึ้นมากลางผู้หลบหนี!
ที่สุดถนน ตัวทดลองแน่นขนัดพุ่งพรวดออกมาจากซ้ายมือของสี่แยก เจ้าพวกตัวทดลองใช้อีกเส้นทางโจมตีด้านข้างพวกพวกเขา!
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ที่อีกทางนั้นไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลย เขาเคยสู้กับพวกตัวทดลองมาก่อน เขาเข้าใจดีว่าพวกมันไม่เคยปล่อยให้เหยื่อเหลือรอด
ถ้ามันไม่รู้จักเตรียมตัวแต่เนิ่นๆ มาอย่างดี พวกมันคงไม่มีทางรอซุ่มโจมตีอยู่ใต้ดินหรอก
เจ้าตัวที่มีสติปัญญาที่ควบคุมตัวทดลองพวกนี้อยู่ช่างทะเยอทะยานนัก!
[1] แคว้นอิตถีหรือเมืองแม่ม้าย (女兒國) มาจาก ไซอิ๋ว ตอน สามผู้กล้าบุกเมืองแม่ม่าย เป็นตอนที่พระถังซัมจั๋งเข้ามาที่เมืองซึ่งเต็มไปด้วยหญิงโสด ราชินีแม่ม้ายของที่นั่นตกหลุมรักพระถัมซัมจั๋งและอยากเขาอยู่ที่เมืองตลอดไป ทำให้ซุนหงอคงและพรรคพวกต้องหาทางช่วยพระถังซัมจั๋งหลบหนีออกจากเมืองนี้อย่างปลอดภัย