“ลู่หย่วนก็เป็นสมาชิกของผู้ก่อจลาจลเหมือนกันสินะ เธอรู้อยู่แล้วว่าฉันจะไปเรียนโรงเรียนนั้น แต่เธอทำเป็นไม่รู้เรื่องเนี่ยนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
“เริ่นเสี่ยวซู่ นายต้องรู้นะว่าควรหยุดตอนไหน…”
“ฮ่าๆๆๆ!”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะไม่หยุด ทำเอาหยางเสียวจิ่นหัวเราะไปด้วยอย่างกับเป็นโรคติดต่อ
ในท่อระบายน้ำอันมืดมิด แหล่งไฟเดียวที่มีคือแสงจากเทียนไขที่กะพริบวูบวาบตรงหน้าเริ่นเสี่ยวซู่ ต่อให้ด้านบนมีตัวทดลองแสนน่ากลัวยั้วเยี้ยไปหมด แต่พวกเขาก็ยังพบความสุขสันต์ในช่วงเวลายากลำบากนี้
หยางเสียวจิ่นหัวเราะจนไอ พอควบคุมลมหายใจได้แล้ว เธอพลันถาม “ทำไมนายถึงกลับมาช่วยฉัน”
“ฉันลืมกระเป๋าสตางค์” เริ่นเสี่ยวซู่พูดตาใส
“อืม” หยางเสียวจิ่นรับคำ
พวกเขาต่างรู้ดีว่าคำถามนี้มันโหลยโท่ยจนน่าเหลือเชื่อ แต่ก็ไม่มีใครกล่าวอะไร
หยางเสียวจิ่นพูด “วางใจเถอะ ฉันไม่บอกความลับนายกับใครหรอก นายอาจจะยังไม่ทันรู้ตัว แต่ในหมู่ผู้มีพลังพิเศษ นายถือว่าแข็งแกร่งมากเลยล่ะ”
หยางเสียวจิ่นนึกไปถึงการต่อสู้
จริงๆ แล้วตอนนั้นเธอเองก็ไม่มั่นใจหรอกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะรับมือตัวทดลองทั้งหกไหวไหม เพราะจากที่เธอรู้มา ผู้มีพลังพิเศษไม่มากนักที่สามารถรับมือตัวทดลองหกตัวได้ด้วยคนเดียว
ในยุคสมัยนี้ ผู้มีพลังพิเศษผุดขึ้นมาอย่างกับหน่อไม้หลังฝน แต่พลังของพวกเขาก็ยังไม่แกร่งกล้ามากพอจะผ่านเกณฑ์บางอย่างอยู่ดี และผู้ก่อจลาจลก็เกณฑ์สิ่งนี้ว่าคือ ผู้มีพลังพิเศษจะสามารถเมินเฉยอำนาจของกลุ่มคนได้หรือเปล่า
พูดง่ายๆ ผู้มีพลังพิเศษคนนั้นสามารถทำลายขบวนรบของสมาคมได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า
อย่างหลี่เสินถานก็นับว่าผ่านมาครึ่งตัวแล้ว เพราะพลังของเขาเน้นที่การสะกดจิตเป้าหมาย เป็นการใช้คนมากปะทะคนมากอยู่ พละกำลังส่วนตัวเขาเองไม่ถือว่ายอดเยี่ยมอะไร
มันต้องมีวันที่บุคคลทรงพลังกำเนิดมาในหมู่ผู้มีพิเศษแน่
ผู้ก่อจลาจลจะเรียกปรากฎการณ์นี้ว่า ‘รุ่งอรุณของเหล่าเทพเจ้า’
ย้อนไปตอนอยู่บนดาดฟ้า หยางเสียวจิ่นได้เห็นพลังร่างแยกเงาของเริ่นเสี่ยวซู่แล้ว มันมีพละกำลังและความเร็วที่สามารถขยี้ตัวทดลองได้อย่างง่ายดาย แถมต่อให้ถูกตัวทดลองทั้งฝูงรุมทึ้ง พวกมันก็ยังไม่สามารถล้มร่างแยกเงานั้นได้
ที่หยางเสียวจิ่นประหลาดใจที่สุด คือทั้งเริ่นเสี่ยวซู่ทั้งร่างแยกต่างถือดาบทมิฬเล่มหนึ่ง
ว่าตามตรง หยางเสียวจิ่นยังไม่เคยเห็นอาวุธใดที่สามารถตัดตัวทดลองได้แบบนั้น ดาบนั่นมีพลังมากอย่างกับไม่ใช่ของจากวิทยาการปัจจุบัน
ตอนที่อยู่บนดาดฟ้า เริ่นเสี่ยวซู่เองก็แสดงให้เห็นถึงจิตสำนึกต่อสู้อันแข็งแกร่ง และ ‘จิตสำนึกต่อสู้’ ที่ว่าไม่ได้หมายถึงทักษะการต่อสู้…แต่เป็นสันชาตญาณต่างหาก!
การฝึกฝนสามารถทำให้คนผู้หนึ่งมีปฏิกิริยาที่ไวขึ้น มีพละกำลังที่มากขึ้น เคลื่อนที่ได้ไวขึ้น และเรียนรู้วิธีการสร้างพลังที่แยบคายขึ้น แต่กระนั้นทุกอย่างก็ไม่สามารถทดแทนสันชาตญาณได้อยู่ดี
มีคนกล่าวว่าการฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อสามารถมาแทนที่สันชาตญาณ แต่ยอดฝีมือที่แท้จริงจะเข้าใจดีว่าการฝึกฝนอย่างหนักไม่สามารถมาแทนที่พรสวรรค์ได้หรอก
และเริ่นเสี่ยวซู่ก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ในการต่อสู้
ถ้าไม่ใช่เพราะเริ่นเสี่ยวซู่โดนตัวทดลองที่ปืนขึ้นมาตัวสุดท้ายลอบโจมตี เขาคงไม่ได้รับบาดเจ็บหรอก
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวก็ควักฮาร์ดแทกขึ้นมาสองชิ้น ชิ้นหนึ่งยื่นให้หยางเสียวจิ่น ส่วนอีกชิ้นยังอยู่ในมือตัวเอง
หยางเสียวจิ่นไม่รีรอ รับไปจากเขาอย่างเรียบง่าย พวกเธอต่างบาดเจ็บกัน เลือดก็เสียไปมาก ได้แต่หาอะไรก็ได้มากินเสริมพลัง
เธอจ้องไปที่เทียนไขตรงหน้า จากนั้นก็พลันนึกได้ว่านี่เป็นดินเนอร์ใต้แสงเทียนครั้งแรกของเธอ “แบบนี้เรียกว่าเป็นการดินเนอร์ได้แสงเทียนได้หรือเปล่าล่ะเนี่ย”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่งก่อนจะถาม “ดินเนอร์ใต้แสงเทียนคืออะไรน่ะ”
หยางเสียวจิ่นหัวเราะ “ช่างเถอะ”
เริ่นเสี่ยวซู่โพล่งถาม “เห็นว่าเธอเคยได้ยินเรื่องจางจิ่งหลินมาก่อน คุณจางเขาเป็นคนยังไงเหรอ”
คำถามนี้ทำให้หยางเสียวจิ่นชะงักไป เธอพยายามเค้นสมองนึกคำที่จะใช้อธิบายตัวตนจางจิ่งหลินให้เข้าใจง่าย “เรียกว่าเขาเป็นคนที่ ‘รู้แจ้ง’ ที่สุดในยุคสมัยนี้ก็คงได้”
คำตอบทำให้เริ่นเสี่ยวซู่ตะลึงจริงๆ แล้ว “อะไรจะขนาดนั้น ป้อมปราการ 178 นี่มันยังไงกันแน่ ป้อม 178 ปกป้องอะไรอยู่”
“ไม่ว่าจะเป็นป้อมปราการหรือเมืองต่างๆ พวกสมาคมบอกเพียงว่าข้างนอกของกำแพงป้อมปราการรอบนอกสุดมีสัตว์ร้ายตัวฉกาจ มีสัตว์ประหลาดน่ากลัว มีฝูงแมลงน่าหวาดหวั่น” หยางเสียวจิ่นว่า
“ไม่ใช่เรื่องจริง?” เริ่นเสี่ยวซู่ผงะไปเล็กน้อย
“ไม่ใช่น่ะสิ” หยางเสียวจิ่นว่า “ป้อมปราการ 178 ที่อยู่ตะวันตกเฉียงเหนือ กับป้อมปราการ 169 ที่อยู่ที่ราบทางเหนือสุดไม่ได้พยายามป้องกันไม่ให้สัตว์ร้ายเข้ามา แต่เป็นมนุษย์ต่างหาก มนุษย์ที่พยายามจะบุกแผ่นดินใหญ่อยู่ตลอดเวลา”
“อย่างพวกตัวทดลองน่ะนะ?” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ยถาม
“ไม่ใช่ เป็นมนุษย์อย่างนายกับฉันต่างหาก” หยางเสียวจิ่นพูดเสียงเบา “ต่อให้ภัยพิบัติผ่านไปแล้ว สงครามระหว่างมนุษย์ด้วยกันก็ยังไม่หยุดลง นี่ถือเป็นความย้อนแย้งที่สุดแล้วแหละมั้ง”
นี่เป็นความลับที่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่เคยทราบมาก่อน ที่แท้เหนือเขตรอบนอกของป้อมปราการยังมีมนุษย์อยู่อีก!
หยางเสียวจิ่นเอ่ย “เดิมทีจางจิ่งหลินเป็นผู้บัญชาการของกองกำลังแห่งป้อมปราการ 178 เป็นนายเหนือที่แท้จริงของที่นั่น จู่ๆ สิบปีก่อนเขาก็หายตัวไป มีคนไม่น้อยพูดว่าเขาเหนื่อยกับสงครามแล้ว แต่ก็ไม่มีใครรู้เหตุผลจริงๆ เบื้องหลังการหายตัวไปของเขาหรอก แต่ถึงแบบนั้นทุกคนในป้อมปราการ 178 ก็ยังรอเขากลับไปอยู่ดี ที่นั่นเป็นกองกำลังอิสระที่เป็นเอกเทศแยกมาจากพันธมิตรแห่งป้อมปราการ หลายปีมานี้ตระกูลจงที่ดำเนินกิจการอยู่นอกด่านพยายามควบคุมป้อมปราการ 178 อยู่ตลอด พอจางจิ่งหลินกลับไปแล้ว แผนการทุกอย่างของสมาคมตระกูลจงก็กลายเป็นล้มเหลวไป เจ้าพวกน่าตายพวกนั้นรู้จักแต่จางจิ่งหลิน ไม่รู้จักเงิน”
เริ่นเสี่ยวซู่แคลงใจ จางจิ่งหลินดูอ่อนแอขนาดนั้น มองอย่างไรก็ไม่เหมือนทหาร ทำใมคนเช่นเขาถึงมีเบื้องหลังที่ทรงพลังเช่นนั้นได้กัน
แต่นี่ก็ทำให้เริ่นเสี่ยวซู่วางใจได้เปราะหนึ่ง สูเสี่ยนฉู่ได้รับจดหมายแนะนำไปแล้ว เขาย่อมได้รับการรับรองเป็นพิเศษแน่ ตัวเขาเองจะได้ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป
เดี๋ยวก่อนนะ! เริ่นเสี่ยวซู่นึกถึงปัญหาขึ้นมาได้ ทำไมภารกิจที่ให้เขาช่วยชาวป้อมปราการยังไม่สำเร็จอีกล่ะ เขาก็ช่วยหยางเสียวจิ่นมาแล้วไม่ใช่เหรอ
หรือเขาต้องพาเธอออกนอกป้อมปราการก่อนนะภารกิจถึงจะสำเร็จ ต้องไม่ใช่แบบนั้นสิ! เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าเขาต้องทำอะไรบางอย่างผิดแน่ๆ เขาหันไปมองหยางเสียวจิ่นแล้วถามว่า “เธอพกใบแสดงตนของป้อมมารึเปล่า”
หยางเสียวจิ่นผงะ คิดไม่ออกเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะถามเรื่องนั้นไปทำไม “เปล่า ทำไมต้องพกด้วยล่ะ ถ้ามีปัญหาอะไรฉันค่อยไปให้ลุงลู่จัดการก็ได้ ฉันไม่จำเป็นต้องมีใบแสดงตนหรอก”
เริ่นเสี่ยวซู่ “…”
เอ่อ…คือหยางเสียวจิ่นไม่ได้เป็นพลเมืองของป้อมปราการหรอกเหรอ!
ถึงว่าทำไมพระราชวังถึงสั่งให้เริ่นเสี่ยวซู่ช่วยชาวป้อมปราการเป็นพิเศษ ดูเหมือนเจ้าพระราชวังกลัวว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะเอาแต่ช่วยหยางเสียวจิ่นอย่างเดียวจนไม่สนคนอื่นน่ะสิ แต่ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ทันตระหนักถึงจุดประสงค์ของภารกิจเลย!
หยางเสียวจิ่นถามอย่างสงสัย “ตอนนั้นฉันว่าแปลกอยู่นะ คนตั้งเยอะวิ่งหนีอยู่ตามถนน ทำไมตัวทดลองเป็นฝูงถึงแยกจากกลุ่มมาล่าฉันแทน”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดอยู่พักหนึ่งแล้วตอบว่า “เพราะเธอไม่ใช่พลเมืองของป้อมปราการมั้ง”
หยางเสียวจิ่น “???”