ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่จู่ๆ ก็เดินเข้าไปแดนรกร้างกลางดึกนั้นทำให้คนไม่น้อยตาค้างไป ไม่ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่เรื่องที่มีคนเข้าแดนรกร้างไปเพียงลำพังก็ทำให้ผู้หลบหนีตกใจมากจริงๆ อย่างไรพวกหมาป่าก็ยังอยู่ข้างนอกนั่น
แต่เริ่นเสี่ยวซู่ก็ลากกระต่ายตัวโตกลับมา เขาออกไปล่าสัตว์มาอย่างนั้นหรือ
เห็นว่าพายุหิมะยังตกลงมาอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ คนไม่น้อยก็กลัวว่าตัวเองจะตื่นขึ้นมาพร้อมร่างจมหิมะ แต่อากาศย่ำแย่ขนาดนี้ยังมีคนออกไปล่าสัตว์ ทั้งยังกลับมาพร้อมกระต่ายตัวโตเสียด้วย
ตอนที่ราชาหมาป่าวางกระต่ายลง ชั้นหิมะก็หนามากแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่คอยมองราชาหมาป่าฝ่าทางหิมะให้หมาป่าตัวอื่นๆ ตามไปอย่างเงียบงัน นี่ทำให้การเดินทางในหิมะง่ายขึ้นมาก
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้เช่นกันว่าราชาหมาป่าให้กระต่ายมาด้วยจุดประสงค์อะไร เขาเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย
ระหว่างทางกลับแคมป์ เขาเห็นว่ามีคนไม่น้อยเลยจ้องมาด้วยความตกตะลึง แต่ไม่มีทางที่เริ่นเสี่ยวซู่จะอธิบายออกไปได้หรอกว่าหมาป่าให้เขามาน่ะ
พอไปถึงกลุ่ม เหยียนลิ่วหยวนก็ถาม “พี่ล่ากระต่ายมาเองเลยเหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่กระซิบ “หมาป่าให้มา ราชาหมาป่าไม่ได้มุ่งร้ายกับเรา ตอนนี้พวกเรายังไม่ต้องกังวลมากไป อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลัวว่าหมาป่าจะเข้ามาโจมตีล่ะนะ” ถ้าพวกหมาป่ามีจิตคิดสังหาร ตอนนั้นจบชีวิตเริ่นเสี่ยวซู่เลยคงเป็นโอกาสที่ดีที่สุด อย่างไรเสียเขากับราชาหมาป่าก็อยู่ห่างกันแค่การกระโดดครั้งเดียว
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รีบกินกระต่าย ในเมื่อทุกคนหลับกันหมดแล้ว ตอนเย็นก็เติมท้องเรียบร้อย ตอนนี้ย่อมไม่รู้สึกหิว
ผู้หลบหนีรอบๆ หิวโซจนจ้องมาที่กระต่ายเขม็ง พวกเขาหนีมาสองวันติดโดยไม่มีอะไรตกถึงท้อง ถ้าไม่ใช่ว่าวันนี้หิมะตก พวกเขาคงไม่มีกระทั่งน้ำมาประทังชีวิตเช่นเดียวกัน
หิมะแม้ดูขาวแต่กลับไม่สะอาดอย่างที่คิด เริ่นเสี่ยวซู่รู้เลยว่าพรุ่งนี้เช้าพวกเขาคงได้รู้ราคาของการเอาของเข้าปากโดยไม่คิด
ตอนนี้มีผู้อพยพไม่กี่คนที่ยังพอมีอาหารติดตัว ส่วนใหญ่ที่เหลือล้วนกระเพาะว่างเปล่า พอมีคนเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่เอากระต่ายตัวเบ้อเริ่มมาด้วยตาก็เป็นประกาย
มีคนกระซิบกระซาบกัน เหยียนลิ่วหยวนหันมามองเริ่นเสี่ยวซู่ “พี่รีบจัดการสักพวกให้เป็นตัวอย่างเถอะ คนอื่นๆ จะได้ไม่มีความคิดเตลิด”
เริ่นเสี่ยวซู่มองผู้หลบหนีพวกนั้น “เจอพวกหัวโจกเมื่อไรพวกเราฆ่าทิ้งเลย อู๋ตี๋ พอสถานการณ์วุ่นวายก็ปกป้องคนอื่นให้ดี ฉันจะเป็นคนลงมือเอง” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเรื่องฆ่าคนโดยสีหน้าไม่เปลี่ยน
จากนั้นเขาก็สังเกตว่าเจียงอู๋ตื่นขึ้นมาแล้ว เธอพูด “เสี่ยวซู่ เธอมีอาวุธเหลือๆ ไหม ขอฉันยืมหน่อยได้หรือเปล่า” เจียงอู๋กับพวกนักเรียนเอาอาหารมาด้วยไม่น้อย ถึงตอนนี้ผู้หลบหนีจะดูสนใจแต่กระต่าย ทว่ากลุ่มของเจียงอู๋เองก็เสี่ยงตกเป็นเป้าหมายเช่นกัน
กระนั้นเจียงอู๋ก็ไม่ขอร้องให้เริ่นเสี่ยวซู่มาปกป้องพวกเธอ กลับกันเธอเพียงขอยืมอาวุธจากเขามาใช้ป้องกันพวกตัวเองเท่านั้น เจียงอู๋กับพวกนักเรียนใช้กองไฟคนละกองกับพวกเริ่นเสี่ยวซู่ พวกเธอจึงดูเหมือนเป็นคนละกลุ่มกัน เริ่นเสี่ยวซู่เองก็เคยกล่าวก่อนหน้านี้แล้วว่าพวกเธอต้องพึ่งตัวเองยามหนีอยู่ในแดนรกร้าง
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม และลอบส่งปืนไปให้เจียงอู๋ หลังจากเรื่องในป้อมปราการ 109 เขาก็เก็บปืนไว้ในช่องเก็บของไม่น้อย อย่างน้อยก็มีมากพอให้กลุ่มพวกเขามีกันคนละกระบอก
ตอนที่กองกำลังของสมาคมตระกูลหลี่โดนหลี่เสินถานโจมตีนั้น มีทหารตายไปมากมาย และปืนของพวกเขาก็หายวับไป และเริ่นเสี่ยวซู่ก็อยู่ที่นั่นพอดี
“ครูเจียงใช้ปืนเป็นไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
เจียงอู๋ส่ายหน้า “ไม่เป็น”
เริ่นเสี่ยวซู่ถามอีกครั้ง “ครูเคยฆ่าคนมาก่อนไหม”
“ไม่เคย” เจียงอู๋ส่ายหน้าอีกครั้ง แต่เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นว่า “เพื่อพวกนักเรียน ฉันทำได้”
“ทำไมไม่เอาปืนให้นักเรียนผู้ชายแทนล่ะ หวังอวี่ชื่อดูเข้มแข็งไม่เลว เขาน่าจะฝึกฝนได้” เริ่นเสี่ยวซู่เอ่ย
“ไม่ได้” เจียงอู๋ว่า “หน้าที่ของพวกเขาตอนนี้คือการเรียน ไม่ใช่การฆ่าคน ฉันรู้ว่านะเวลาแบบนี้เอาแต่ปกป้องพวกเขามันไม่ดีหรอก แต่ฉันรู้ว่าหลังลงมือฆ่าคนแล้วคนเราจะไม่เหมือนเดิม ขอให้ปกป้องพวกนักเรียนได้อีกหนึ่งวันก็ยังดี ฉันไม่อยากให้พวกเขาต้องแบกรับบาปพวกนั้น”
เฉินอู๋ตี๋ที่อยู่ด้านข้างพลันเอ่ย “ถ้าเราไม่ลงนรกแล้วใครจะลง[1]”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดกับเฉินอู๋ตี๋ “เพราะมีคนอย่างครูเจียงอู๋ การเป็นวีรบุรุษผู้กล้าของนายจึงมีความหมาย”
ตอนนั้นเอง ก็มีผู้หลบหนียืนขึ้นและนำพรรคพวกเดินมาทางเริ่นเสี่ยวซู่ เริ่นเสี่ยวซู่ส่งยิ้มให้เหยียนลิ่วหยวน พร้อมเอ่ยว่า “จำหน้าเจ้าพวกนี้ให้ดีๆ ล่ะ”
ผู้หลบหนีเดินเข้ามาอย่างดุร้าย เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจที่เห็นหญิงชราที่ใช้ความอาวุโสมาหาประโยชน์ก่อนหน้าก็อยู่ในกลุ่มเช่นกัน
ทว่าสีหน้าของเฉินอู๋ตี๋ผิดปกติ “อาจารย์ ในกลุ่มนั้นมีคนที่ข้าเคยช่วยมาก่อนด้วย”
ชายผู้หนึ่งโดนคนขโมยเสื้อแจ็คเก็ตไป แต่เฉินอู๋ตี๋เข้ามาปราบหัวขโมยไว้ได้ทัน แต่ตอนนี้ชายผู้นั้นกลับรวมหัวกับคนอื่นๆ มาชิงทรัพย์กลุ่มของเฉินอู๋ตี๋เสียได้
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้จะพูดอะไรดี
กลุ่มผู้หลบหนีเดินมาหาพวกเริ่นเสี่ยวซู่แล้วพูดว่า “พวกนายคงรู้ล่วงหน้าสินะว่าในป้อมจะเกิดอะไรขึ้น พวกนายเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เกิดในป้อม 109 หรือเปล่า”
“ทำไม จู่ๆ คิดจะมีคุณธรรมสูงส่งหรือ” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม “สมาคมตระกูลหลี่ สมาคมตระกูลชิ่ง และสมาคมตระกูลหยางต่างรู้กันหมดแหละว่าในป้อมกำลังเกิดเรื่องน่ะ มีแต่พวกนายที่ไม่รู้อะไรเลย”
พวกเขามองหน้ากันเองราวกับเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรก แต่ไม่นานนักก็มีคนส่งเสียงขัด “พวกนายมีกันแค่ไม่กี่คน กินอาหารเยอะขนาดนั้นไม่หมดหรอกมั้ง แถมนายเตรียมของมาพร้อมพรักอยู่แล้ว ทำไมไม่ช่วยทุกคนหน่อยล่ะ”
คนผู้นั้นพูดจบ ก็มีคนเข้ามาคิดจะฉกซากกระต่ายตัวโตไป!
เริ่นเสี่ยวซู่แค่นเสียง ควักปืนพกยิงขึ้นฟ้า กลุ่มคนชะงักไป ไม่คิดเลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะมีปืน!
อีกฝ่ายค่อยๆ ถอยไปทันที ถึงกับมีคนดึงผู้อื่นมาไว้ข้างหน้าตนต่างโล่ด้วยซ้ำ ทุกคนหวังว่าตนเองจะไม่ได้เป็นผู้โดนกระสุนตาย
“ใครเป็นคนเสนอให้มาปล้นพวกเรา” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มถาม
ในกลุ่มผู้หลบหนีเกิดเสียงโหวกเหวก “ไม่ใช่ฉันนะ ฉันว่าเป็นเจ้าคนเสื้อสีน้ำเงินนั่น!”
ชายในเสื้อสีน้ำเงินพูดอย่างตระหนก “ไม่ใช่ฉันนะ อย่ามามั่ว! ฉันบอกแล้วว่าอย่ามาเลย แต่พวกนายก็ยืนกรานจะมาให้ได้อยู่นั่นแหละ!”
“เลิกทะเลาะกันได้แล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเย็น “ฉันรู้ว่าเป็นใคร”
เริ่นเสี่ยวซู่ยกปืนยิงผู้ปลุกปั่นที่อยู่แถวหน้า ผ่านไปเพียงสองวินาที เริ่นเสี่ยวซู่ก็หาผู้บงการเจอและยิงสังหารไปสามคน
ทุกคนที่มากรีดร้องและหนีกระเจิง นอกจากไม่ทันนึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะปืนแล้ว ก็ยังไม่ทันนึกด้วยว่าเริ่นเสี่ยวซู่จะยิงใส่พวกตนเลยทันที!
นี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าหัวมังกุท้ายมังกร ทำอะไรไม่มีเป้าหมาย ทำอะไรไม่สนใจผลที่ตามมา
พอถึงในสถานการณ์จริง ก็โดนคนเดียวขู่จนแตกกระเจิง
ชายที่เฉินอู๋ตี๋เคยช่วยไว้สะดุดล้มลงกับพื้น ก่อนจะโดนคนอื่นๆ เหยียบซ้ำ เขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก
ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนว่า “ไปขโมยอาหารจากพวกนักเรียน พวกเขาสู้พวกเราไม่ไหวหรอก!”
พวกเขาหันความสนใจไปที่เจียงอู๋กับนักเรียนทันที พวกผู้หลบหนีรู้ว่าพวกเธอก็มีอาหารเช่นกัน!
[1] ถ้าเราไม่ลงนรก แล้วใครจะลง (我不入地狱,谁入地狱) เป็นคำกล่าวของ พระกษิติครรภโพธิสัตว์ หรือมีชื่อจีนว่าพระโพธิสัตว์ตี้จั้งหวัง เป็นพระฌานิโพธิสัตว์ที่ได้ตั้งสัตยาธิษฐานไว้ว่า “จะโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงทุกข์(นรกภูมิ) โดยหมดสิ้นแล้ว จึงจะขอบรรลุสู่พุทธภูมิ หากสรรพสัตว์ทั้งปวง ยังไม่หมดซึ่งห้วงทุกข์(นรกภูมิ) ก็จะไม่ขอตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า”