ตอนที่สู้กัน เริ่นเสี่ยวซู่เห็นประกายสีเงินส่องออกมาจากหลังมือของพวกเขาแล้ว เส้นเลือดของคนทั่วไปถ้าดูจากด้านนอกจะเป็นสีเขียวๆ ฟ้าๆ ตอนที่มีแสงสีเงินเปล่งออกมาจากเส้นเลือดนั้น แสดงว่าในร่างพวกเขามีพลังงานพิเศษอะไรไหลเวียนอยู่ ตอนนั้นเริ่นเสี่ยวซู่เดาว่าคงเป็นผลมาจากนาโนแมชชีน และเขาก็เดาไม่ผิดด้วย
ประกายสีเงินจากศพของนายทหารทั้งสองไหลออกมาจากผิวหนังแล้วรวมเป็นน้ำสายหนึ่ง เริ่นเสี่ยวซู่เดินเข้าไปใกล้อย่างระมัดระวังแกมไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าตนเองจะเก็บเกี่ยวพลังใหม่นี้ดีไหม
เรื่องที่ไม่รู้แน่ชัดเขาระวังไว้ก่อนตลอดอยู่แล้ว
อุตส่าห์บอกว่าอย่าเชื่อเรื่องงมงายแต่ฉันกลับเอามาใช้เสียเอง เราจะกลายเป็นพวกหน้าไหว้หลังหลอกเปล่าเนี่ย เริ่นเสี่ยวซู่คิดไม่ตก
ตอนตรวจร่างกายที่ค่ายทหาร เขาพบว่านาโนแมชชีนพยายามเชื่อมต่อกับระบบประสาทของเขาผ่านตัวควบคุมภายนอก ตอนนี้ไม่มีใครคอยสั่งการมันแล้ว ตัวเขาเองจึงกลายเป็นผู้ควบคุมมันไปเสียแทน
นาโนแมชชีนเป็นแค่จักรกลที่ไม่มีจิตใจของตัวเอง ในยุคแรกเริ่มที่ไม่อาจนำนาโนแมชชีนมาใช้ในการทหารได้เป็นเพราะพวกมันมีขนาดเล็กเกินกว่าจะบรรจุคำสั่งซับซ้อนได้
หลังจากวิจัยประสาทเทคโนโลยีสำเร็จผล สมองมนุษย์ก็กลายมาเป็นเครื่องประมวลผล ส่วนนาโนแมชชีนทำหน้าที่เป็นตัวปฏิบัติงาน ว่าง่ายๆ คือมันเป็นเพียงเครื่องมือให้คนใช้
แต่นาโนแมชชีนจำเป็นต้องจับคู่เข้ากับสายพันธุกรรมเฉพาะถึงจะเปิดการใช้ได้ รหัสพันธุกรรมของแต่ละคนก็เป็นเหมือนรหัสผ่านพิเศษใช้งานกับคู่นาโนแมชชีนของตัวเอง นาโนแมชชีนเปิดทำงานได้หรือไม่ต้องผ่านกระบวนการยืนยันตัวตนก่อน นาโนแมชชีนที่เข้าคู่กันจะถูกเข้ารหัสอย่างดี ถ้าไม่มีรหัสผ่าน พวกมันก็จะหยุดทำงานแล้วปฏิเสธจิตสำนึกอื่นที่พยายามเข้าหา ดังนั้นนายทหารทั้งสองคนนี้ไม่มีทางควบคุมนาโนแมชชีนของอีกฝ่ายได้ และคนอื่นๆ เองก็ไม่อาจไปยุ่มย่ามกับนาโนแมชชีนของพวกเขาได้เช่นกัน
แต่พอจิตสำนึกของเริ่นเสี่ยวซู่เริ่มพยายามเชื่อมต่อกับนาโนแมชชีน เขาก็พบว่ามันอยู่ในสภาวะปิดการทำงานอยู่ ราวกับว่ามีเกราะป้องกันอะไรบางอย่างกันไม่ให้เขาเชื่อมกับนาโนแมชชีน
แต่หลังจากจิตเขาเคลื่อนตัวผ่านพวกมันนั้น เครื่องพิมพ์ดีดในพระราชวังก็พลันพิมพ์ตัวอักษรเล็กๆ หลายบรรทัด
“โหลดระบบใหม่…”
“คืนค่าโรงงาน…”
“ติดตั้งแอปพลิเคชันใหม่…”
“จับคู่สำเร็จ”
หลังจากนั้นเขาก็สัมผัสได้ว่าตนสามารถควบคุมจักรกลจิ๋วได้แล้ว
‘ธาร’ สายสีเงินไหลบนผิวหิมะมาทางเขา พวกมันเคลื่อนตัวขึ้นมาตามขาแล้วมารวมที่มือเขา นาโนแมชชีนจากสองนายทหารถูกสกัดมาเหลือขนาดเท่ากำมือ
ถึงว่าทำไมเขาอ่อนแอจัง เพราะในร่างมีนาโนแมชชีนน้อยสินะ?
พอนาโนแมชชีนสูญเสียเจ้านาย พอร์ต[1]ของมันก็เปิดรอให้จับคู่ใหม่ ในสถานการณ์ปกติ พวกมันจะถูกส่งกลับไปตั้งค่าที่โรงงานให้พร้อมกับการจับคู่ผู้ใช้งานใหม่ แต่ว่าพระราชวังได้ทำการบายพาส[2]ขั้นตอนพวกนั้นและช่วยเริ่นเสี่ยวซู่เชื่อมต่อกับนาโนแมชชีนเรียบร้อย
ถ้าไม่ใช่ว่าพอร์ตเปิดอยู่ พระราชวังคงเปิดกระบวนการจับคู่ใหม่ไม่ได้
สารเหลวข้นสีเงินก่อตัวเป็นรูปลักษณ์แปลกๆ เวียนวนอยู่บนฝ่ามือของเริ่นเสี่ยวซู่ จากนั้นมันก็กลายเป็นถุงมือเหล็กสวมบนมือของเริ่นเสี่ยวซู่ หลังจากเชื่อมต่อกับระบบประสาทของเริ่นเสี่ยวซู่มันก็เหมือนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของร่ายกาย ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย
เขาลองต่อยไปที่ตัวรถออฟโรดก็เห็นโครงเหล็กรถถูกต่อยจนแยกออก ส่วนถุงมือนาโนของเริ่นเสี่ยวซู่นั้นปกติไร้รอยขีดข่วน
ตอนที่หลัวหลานพูดถึงนาโนแมชชีน เริ่นเสี่ยวซู่ดูหมิ่นพวกมันไว้มาก แต่ตอนนี้ความคิดเขาเปลี่ยนไปบ้างแล้ว
ถ้าเขาสร้างเกราะนาโนแมชชีนขึ้นมาได้ล่ะก็ แบบนั้นเขาก็ไม่ต้องใช้ร่างแยกเงามากันกระสุนแล้วสิ วิธีนั้นมันเจ็บเกินไปหน่อย
แน่ล่ะ ความคิดเขาตอนนี้แค่เปลี่ยนไปนิดหน่อยเท่านั้น พวกมันจะใช้งานได้จริงหรือไม่ เขายังต้องสกัดนาโนแมชชีนจากคนของสมาคมตระกูลหลี่มาให้มากกว่านี้
หลังจากบุคคลระดับสูงของสมาคมหายตัวไป พวกเขาต้องส่งคนออกมาตรวจสอบแน่ เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยจริงๆ ว่าคนที่มาจะมีนาโนแมชชีนติดตัวไหม
เริ่นเสี่ยวซู่สั่งการให้ร่างแยกเงาวางศพทั้งสองร่างไว้ในรถ และให้มันแบกรถไปยังทะเลสาบที่เคยเห็น เรื่องทิ้งศพนี่เขาระมัดระวังมาก เพราะในอนาคตเขายังต้องหาคนที่มีนาโนแมชชีนเพิ่มอีก
ตอนลงมือสังหารเขาไม่กล้าใช้ดาบเพราะกลัวจะทิ้งรอยเลือดไว้ ตอนนี้เขากลัวมากยิ่งกว่าว่าตนเองจะทิ้งหลักฐานอะไรไว้ให้สาวถึงตัว
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ให้ร่างแยกเงารุดไปข้างหน้านั้น เขาก็ถาม “เหลาสู นายคิดว่าพวกเขาแต่ละคนมีนาโนแมชชีนไม่เท่ากันไหม”
“อัตราการซิงโครไนซ์มีสูงมีต่ำ แสดงว่าจำนวนนาโนแมชชีนที่คนผู้หนึ่งควบคุมได้ย่อมไม่เท่ากันสินะ”
“คิดว่ากลุ่มที่จะมาจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าหรือเปล่า เป็นแบบนั้นคงดีเลย ไม่รู้สิ พวกเขาอาจจะมีนาโนแมชชีนเยอะกว่าก็ได้…”
“จะอายอะไร ทำไมไม่พูดอะไรหน่อยล่ะ”
ผู้คนมักกล่าวว่ารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ สร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นเพื่อปิดบังตัวตน เริ่นเสี่ยวซู่เลยเรียกร่างแยกตัวเองว่า ‘เหลาสู’ เสียเลย
ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะโยนรถลงไปในทะเลสาบ เขาถอดเครื่องแบบของนายทหารทั้งสองมาเก็บไว้ในช่องเก็บของ ในอนาคตอาจจะใช้งานได้ก็ได้ใครจะไปรู้ อย่างไรนี่ก็เป็นถึงเครื่องแบบของผู้พันเลยนะ
หลังจากยัดหินเต็มคันรถและโยนลงทะเลสาบแล้ว เขาก็กลับป้อมสังเกตการณ์ พอพวกนักเรียนเห็นเขากลับมา ก็เข้ามาถาม “หัวหน้าห้อง เป็นไงบ้าง”
“ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว” เริ่นเสี่ยวซู่ตอบง่ายๆ ได้ใจความ “เข้านอนเถอะ พวกเรายังต้องตื่นแต่เช้า”
ตอนนั้นเองเริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นราชาหมาป่ายืนบนยอดเขาไกลๆ เขาคิดอะไรบางอย่างอยู่พักหนึ่งและมุ่งหน้าขึ้นเขาไป
ที่จริงเริ่นเสี่ยวซู่ก็ไม่แน่ใจนักว่าทำไมตนถึงอยากติดต่อกับราชาหมาป่าแบบนี้ ระหว่างที่เดินไปตามทาง เขาพลันรู้สึกว่าบางครั้งคุยสนิทกับหมาป่าง่ายกว่าสนิทกับคนเสียอีก
แต่ก่อนที่เริ่นเสี่ยวซู่จะเดินทางไปได้ไกล เขาก็เห็นราชาหมาป่าเยื้องย่างลงมาจากสันเขา เขากะจะคุยเล่นกับราชาหมาป่าเสียหน่อย แต่เขาไม่เห็นหน้ามันแล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี
ราชาหมาป่าส่งสายตาสงบนิ่งมา เริ่นเสี่ยวซู่นึกไปถึงปีครึ่งที่แล้วที่ตนเองยังโดนพวกมันตามล่าอยู่เลย
เขานึกไปถึงคำพูดของนักเรียนเรื่องการตอบแทนพวกหมาป่า เริ่นเสี่ยวซู่เปิดปากทำลายความเงียบ “อืม…ไหนๆ นายก็ให้กระต่ายกับแพะฉันแล้ว ฉันควรให้อะไรนายหน่อยไหม”
ราชาหมาป่าไม่เอ่ยอะไร แต่เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อของมันค่อยๆ ผ่อนคลายลง นี่หมายความว่าราชาหมาป่าเริ่มเชื่อใจเขาแล้ว
พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นว่ามันไม่ตอบก็พูดต่อ “ไหนๆ นายก็พูดไม่ได้แล้วเนอะ งั้นฉันให้นายเลือกของเองแล้วกัน ดูนายสิ มัวแต่วิ่งไปทั่วอยู่บนเขา ฉันว่าเป็นราชาต้องเหงามากแน่เลย ให้ฉันเอาจ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซานมาให้ไหมล่ะ ให้เขาคุยเป็นเพื่อนนายหน่อย เพราะยังไงก็เป็น ‘ราชา’ เหมือนกัน ใครจะไปรู้ พวกนายอาจจะสนิทกันก็ได้”
ไม่รู้ทำไม แต่เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ว่าราชาหมาป่าฟังเขาเข้าใจ! เพราะพอเขาพูดถึงจ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซาน ราชาหมาป่าก็เผยสีหน้าเหยียดหยามในบัดดล เริ่นเสี่ยวซู่สงสัยนักว่าราชาหมาป่าทำสีหน้าแบบนั้นได้อย่างไร!
[1] พอร์ต (Port) ช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างตัวคอมพิวเตอร์ กับอุปกรณ์ภายนอก
[2] บายพาส (Bypass) หมายถึงการเจาะระบบให้เข้าใช้งานโดยการหลบผ่านระบบความปลอดภัยของโปรแกรม