พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นสีหน้าแปลกๆ ของราชาหมาป่าเขาก็พูด “ถ้าไม่อยากได้จ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซาน ฉันยังมีของอย่างอื่นอีก” จากนั้นเขาก็ควักปืนพกออกมา “เอาไหม”
ราชาหมาป่านิ่งเงียบ สีหน้ากลับมาเรียบเฉย
เริ่นเสี่ยวซู่เก็บปืน หนึ่งมนุษย์หนึ่งหมาป่านั่งข้างกันบนทางภูเขาพร้อมแสงจันทร์สาดส่อง ภาพนี้แลดูกลมกลืนสอดคล้องไม่ธรรมดา
“งั้นเอานี่ไหม” เริ่นเสี่ยวซู่หยิบขวดยาปฏิชีวนะที่เหล่าหวังให้ไว้ก่อนแยกกัน ถึงเขาจะป่วยไม่บ่อย แต่ก็ยังไว้ใช้เผื่อพวกนักเรียนล้มป่วยได้
แต่ราชาหมาป่ายังนิ่งสนิท
เริ่นเสี่ยวซู่หยิบของออกมาชุดใหญ่ ค้อน พลั่ว หม้อ บลาๆ แต่สุดท้ายราชาหมาป่าก็ยังไร้ปฏิกิริยา เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ “ถ้าจะช่างเลือกขนาดนี้ ฉันคงตอบแทนนายไม่ไหวหรอก”
เดี๋ยวก่อนนะ! ยังมีของหนึ่งอย่างที่เขายังไม่ควักออกมานี่ เริ่นเสี่ยวซู่หยิบขวดจิ๋วของยาดำออกมาจากช่องเก็บของ “เอาไหม?”
เริ่นเสี่ยวซู่พูดไป ตอนดึงจุกขวดนั้นก็ไม่ได้หวังอะไรมากนัก ทว่าหลังจากราชาหมาป่าดมกลิ่นที่ลอยออกมาจากขวด มันก็พยักหน้าให้เริ่นเสี่ยวซู่
เริ่นเสี่ยวซู่ผงะไป ไม่นึกเลยว่าราชาหมาป่าจะเข้าใจภาษามนุษย์จริงๆ
เขาโยนขวดยาดำให้ราชาหมาป่า มันคาบขวดและยืนขึ้น เริ่นเสี่ยวซู่จึงโล่งอกได้ในที่สุด ดูเหมือนว่าแต่นี้ไปตนเองคงไม่ขาดแคลนเนื้อสัตว์แล้ว “ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่านายจะต้องการของแบบนี้ในช่วงที่อยู่บนจุดสูงสุดของชีวิตแล้ว”
ราชาหมาป่าเผยสีหน้าสับสนงุนงงเล็กน้อย ดูจะไม่เข้าใจว่าเพิ่งรับของอะไรจากเริ่นเสี่ยวซู่มา มันแค่ชอบกลิ่นหอมเย้ายวนที่โชยมาจากขวดเฉยๆ ซึ่งไม่ใช่กลิ่นของยา แต่เป็นกลิ่นอายพิศวงจากพระราชวังต่างหาก
หนึ่งมนุษย์หนึ่งหมาป่าแยกทางกัน หลังจากแลกเปลี่ยนกันสั้นๆ เริ่นเสี่ยวซู่ก็รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับราชาหมาป่าสนิทชิดเชื้อขึ้นนิดหน่อย หรืออย่างน้อยที่สุดก็กลายเป็นเป็นคู่ค้ากันแล้วเทือกนั้น ตราบที่ไม่ใช่ศัตรูกันเขาก็ได้หมด
ช่วงเช้ามืด ทุกคนในป้อมสังเกตการณ์โดนเสียงหอนของหมาป่าปลุกตื่น ทุกคนสวมเสื้อผ้าเดินออกมาจากบ้านและมองไปทางภูเขา แต่ก็ไม่อาจบอกได้ว่าเสียงหอนมาจากตรงไหน
หลี่ชิงเจิ้งสวมเสื้อคลุมทหาร ปากเอ่ยถาม “ฟ้ายังไม่สว่างเลยพวกหมาป่าเป็นอะไรกันเนี่ย นี่หอนมาเป็นชั่วโมงแล้วนะ พวกมันออกล่าสัตว์หรือยังไงหว่า”
เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกร้อนตัวชอบกล “คงงั้นแหละมั้ง ใครจะไปรู้ล่ะ”
“หรือพวกมันกำลังรวบรวมพรรคพวกมาโจมตีเรา” มีคนถาม
“ไม่น่ามั้ง มันไม่ต้องหาพรรคพวกมาโจมตีเราหรอก แค่ฝูงพวกมันไม่กี่ร้อยพวกเราก็ตายเรียบแล้ว” มีคนพูดขึ้น
“พูดแบบนั้นดูถูกตัวเองไปหน่อยมั้ง” ทหารนายหนึ่งว่า
เริ่นเสี่ยวซู่พูดเสียงเคร่ง “เขาเรียกว่ารู้ตัวเองต่างหาก…”
แต่เริ่นเสี่ยวซู่รู้สึกร้อนตัวอยู่บ้างจริงๆ เพราะเขาพอเดาได้ว่าเรื่องที่หมาป่ามีพฤติกรรมแปลกๆ นี้ต้องเกี่ยวกับยาดำที่เขาให้ราชาหมาป่าไปแน่
สองวันต่อมา ราชาหมาป่าไม่ได้ส่งสัตว์ที่ล่ามาได้มาที่ป้อมสังเกตการณ์เลย หลังจากตัดส่วนที่สกปรกของแพะย่างไปแล้ว หลี่ชิงเจิ้งกับคนอื่นๆ ก็สวาปามอย่างออกรส แต่เริ่นเสี่ยวซู่นั้นหมดอารมณ์อยากอาหารแล้ว
ไม่ใช่เรื่องว่าอาหารสกปรกไม่สกปรก แต่สำหรับเริ่นเสี่ยวซู่ น้ำลายที่ถมออกมาไม่ต่างไปจากการดูหมิ่นจากสมาชิกตระกูลอันสูงส่งและยิ่งใหญ่ของสมาคม
แน่ล่ะ เพราะส่วนใหญ่แล้วเขาไม่หิวต่างหาก
หลี่ชิงเจิ้งนั่งตรงกองไฟ มองเนื้อแพะที่เหลือ บ่นออด “อยากรู้จังเกิดอะไรกับพวกหมาป่า ทำไมพวกมันไม่ส่งอาหารมาให้เราแล้วล่ะ”
“พวกมันคงเหนื่อยแหละมั้ง” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจ เขาน่าจะบอกฤทธิ์ของยาดำให้ราชาหมาป่าฟังอย่างชัดเจนก่อน อย่างไรการใช้ภายนอกกับภายในก็ต่างกันลิบลับ
พอเห็นว่าราชาหมาป่ารับยาไปแล้วก็ไม่ส่งเนื้อมาให้เลยแบบนี้ มันคงข้องใจเขาแล้วไหมนะ
แต่คืนนั้นตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่หลับอยู่ เขาพลันได้ยินเสียงเหมือนคนขนของดังมาจากนอกบ้าน เริ่นเสี่ยวซู่มองออกนอกหน้าต่าง แล้วเห็นพวกหมาป่าคาบแพะ หมูป่า ไก่ป่า และสารพัดสารเพมาทิ้งไว้บนพื้น! นี่มันแทบเป็นสัตว์ป่าทุกประเภทแล้ว!
ให้มามากขนาดนี้ ไม่ใช่ให้ทดแทนที่ไม่ได้มาสองวันเหรอ มันเยอะเกินไปกว่านั้นมากทีเดียว! พอพวกหมาป่าจากไป ทุกคนในป้อมสังเกตการณ์ก็ตาโต ทหารนายหนึ่งมองไปที่หลี่ชิงเจิ้งแล้วว่า “หัวหน้าเป็นจ้าวหมาป่าจริงๆ เหรอ”
ขนาดหลี่ชิงเจิ้งยังตะลึงไม่หาย “หรือว่าฉันจะเป็นจ้าวหมาป่าแห่งเขาคุนซานจริงๆ วะ”
คนที่ไม่รู้ความจริงเกิดความรู้สึกเคารพในตัวหลี่ชิงเจิ้งขึ้นมา แต่พวกนักเรียนที่รู้แจ้งกว่าต่างหันไปมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสีหน้าสลับซับซ้อน…
นักเรียนถาม “หัวหน้าห้องทำได้ยังไงน่ะ”
“ราชาหมาป่ารู้ว่าอาจารย์สุขภาพไม่สู้ดี จึงส่งของบำรุงมาให้ท่าน” เฉินอู๋ตี๋ถอนหายใจ
“สมองฉันยังปกติดีโว้ย” เริ่นเสี่ยวซู่ไม่พอใจ
เขาเดาว่าที่ราชาหมาป่าส่งของมามากขนาดนี้เพื่อเป็นการกล่าวขอบคุณเป็นหลัก ไม่คิดเลยว่าราชาหมาป่าจะมีโรคแบบนั้นด้วย
ตอนนั้นเองก็มีคนว่า “กี่วันกว่าจะกินหมดล่ะเนี่ย โชคดีนะที่เป็นหน้าหนาวเลยเก็บเนื้อไว้ได้นาน”
“แต่ปล่อยไว้งี้ไม่ได้หรอก ทำเนื้อหมักเกลือกันไหม” เริ่นเสี่ยวซู่ถอนหายใจแล้วพูด “ถ้าเราหมักเนื้อได้จะเก็บถึงฤดูใบไม้ผลิก็ไม่มีปัญหา”
พวกเขาก้มหน้าก้มตาแล่หนังตัดเนื้อ อย่างไรพวกเขาก็มีเกลือไม่มากพอจะนำมาแช่เกลือหรือมีเครื่องเทศอื่นๆ อยู่ดี
เนื้อหมักเกลือมักจะทำด้วยการแล่เนื้อเป็นแผ่นๆ แล้วทาด้วยเกลือแล้วนำไปตากแห้ง เกลือไม่ต้องกลัวเสียเปล่า เพราะร่างกายมนุษย์ต้องการเกลือในเนื้อหมักนี้อยู่ดี กินไปแล้วก็เป็นการเสริมเกลือไปในตัว
เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “อีกสองวันพวกเราคงแลกเนื้อกับเกลือแล้วก็เครื่องเทศกับขบวนเสบียงได้ ยังไงเนื้อขนาดนี้พวกเราก็กินไม่หมดหรอก”
“แบบนั้นไม่ได้” หลี่ชิงเจิ้งพูดต่อ “ไปค้าขายกับพวกอันธพาลหัวไม้นั่นได้ขาดทุนยับแหง พวกเราเอาเนื้อไปขายในเมืองน้อยดีกว่า นอกจากจะซื้อเกลือเพิ่มได้แล้ว พวกเรายังหาเงินได้อีกหน่อยด้วย จากนั้นก็เอาไปซื้อของไว้ให้หน้าหนาวบนเขาไม่ย่ำแย่เกินไปนัก”
เริ่นเสี่ยวซู่มองหลี่ชิงเจิ้งที่ดูจะคุ้นชินกับพฤติกรรมของทหารกองกำลังส่วนตัวมาก เขาได้ยินหลี่ชิงเจิ้งพูดว่า “อีกสองวันพวกเราจะลอบกลับเข้าเมืองน้อยกัน นายยังมีเพื่อนอยู่ที่นั่นใช่ไหมล่ะ พวกเราจะเอาเนื้อหมักเกลือไปแบ่งพวกเขาหน่อย หน้าหนาวไม่มีเนื้อให้กินมันลำบากอยู่บ้างนะ”
“ได้เลย” เริ่นเสี่ยวซู่พยักหน้า เป็นโอกาสดีให้เขากลับไปหาพวกเหยียนลิ่วหยวนด้วย ถ้าพวกเขาเจอความลำบากอะไร เริ่นเสี่ยวซู่จะได้ช่วยจัดการให้
ทุกคนทำงานอยู่บริเวณพื้นที่โล่งหน้าป้อมสังเกตการณ์ หลี่ชิงเจิ้งลองใช้มือเปล่ากะน้ำหนักแล้วถอนหายใจ “ชีวิตสุขสันต์ยิ่งกว่าตอนอยู่ในเมืองน้อยอีก”
“อาจารย์ ‘สุขสันต์’ แปลว่าอะไร” เฉินอู๋ตี๋ถามเริ่นเสี่ยวซู่
หลี่ชิงเจิ้งยิ้ม “มีเนื้อให้กินก็เรียกว่าสุขสันต์แล้วไม่ใช่เหรอ”
เริ่นเสี่ยวซู่มองไปที่หลี่ชิงเจิ้งแล้วกล่าวเสียงค่อยกับเฉินอู๋ตี๋ “นิยามคำว่าสุขสันต์แต่ละคนไม่เหมือนกัน ตอนนายปราบปีศาจกำราบมารร้ายก็รู้สึกสุขสันต์มากไม่ใช่เหรอไง”
“ใช่แล้ว!” เฉินอู๋ตี๋ว่า
“งั้นก็นั่นแหละสุขสันต์หมายถึงอะไรสำหรับตัวนาย” เริ่นเสี่ยวซู่พูด
“ข้าเข้าใจแล้ว!”