ตอนที่ทหารธรรมดามาที่ป้อมสังเกตการณ์นี้ พวกเขาต่างอัดกันอยู่ในรถบรรทุกทหาร แต่พวกทหารนาโนแมชชีนพวกนี้ ต่างประดับยศต่ำสุดก็ร้อยโท และมาถึงพร้อมรถออฟโรดสิบกว่าคัน
เริ่นเสี่ยวซู่ลองดูว่ามีทหารกี่นาย ก่อนจะนับได้ทั้งหมดสี่สิบแปดคน ถ้าทหารนาโนแมชชีนจำนวนนี้เพียงมารวมตัวกันเพื่อสนับสนุนทหารที่อยู่ในป้อมสังเกตการณ์ถัดไปล่ะก็ ทัพหลักที่นั่นจะมีกี่คนกันแน่?
ทหารของป้อมสังเกตการณ์ยืนอยู่ด้างข้างโดยไม่กล้าปริปากเอ่ยแม้แต่คำเดียว มีเพียงหลี่ชิงเจิ้งที่ไปถามนายทหารว่าต้องการให้ช่วยอะไรหรือไม่ หรือว่าจะรับประทานอาหารเที่ยงที่นี่หรือเปล่า
แต่หลินชีหัวเราะอย่างเย่อหยิ่ง “วันนี้พวกเราออกมาปฏิบัติหน้าที่ จะไปมีเวลากินอาหารเที่ยงที่นี่ได้ยังไง ออกมาทำภารกิจพวกเราพกเสบียงตัวเองไว้อยู่แล้ว ถ้ากินของสกปรกที่นี่จนท้องเสียขึ้นมา พวกนายคงรับความรับผิดชอบไม่ได้หรอก”
“ใช่ ใช่แล้วครับ” หลี่ชิงเจิ้งแสร้งยิ้ม “ท่านถูกที่สุดเลยครับ”
ที่จริงความขุ่นเคืองของหลินชีมีเริ่นเสี่ยวซู่เป็นเป้าหมายหลัก สำหรับผู้อพยพคนอื่นๆ เขาไม่ได้มีอะไรข้องใจกันอยู่แล้ว ตอนนี้สถานะห่างชั้นกัน เขาพอใจไม่น้อย
ตอนที่หนีกัน กลุ่มของเริ่นเสี่ยวซู่ช่างสบายจริงๆ ส่วนคนอื่นๆ กลับต้องทนหิวโหย ตอนนี้สถานะเขาถูกยกขึ้น ย่อมเกิดความรู้สึกอยากเปรียบเทียบเป็นธรรมดา
แน่นอนว่าตัวเริ่นเสี่ยวซู่เองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี
ตอนนั้นเองหลินชีก็กล่าวว่า “ได้ยินว่าเสบียงข้าวสารที่ส่งมามีทรายผสมด้วย เห็นว่าชีวิตของคนที่ถูกเกณฑ์มาตอนขยายกองกำลังส่วนตัวไม่ค่อยดีนัก พวกนายมีของกินพอหรือเปล่า”
“ก็ไม่เลว” หลี่ชิงเจิ้งยิ้ม “พวกเรายังพอหาผักป่ามากินได้บ้าง”
หลี่ชิงเจิ้งพูดไม่ได้หรอกว่า ที่นี่มีเนื้อให้กิน แถวนี้ไม่มีหรอกของกินไม่พอน่ะ แต่พูดไปก็มีแต่จะขัดแย้งกันหนักขึ้นมากกว่า
แต่หลินชีว่าต่อ “ถ้ากินแต่ผักป่าไม่กินพวกอาหารหลักบ้างจะมีแรงไม่พอเอานะ อย่าทำให้มันขัดขวางการเฝ้าสังเกตการณ์ล่ะ”
เฉินอู๋ตี๋ถามเริ่นเสี่ยวซู่ที่อยู่ด้างข้าง “ท่านอาจารย์ อาหารหลักคืออะไรหรือ”
เริ่นเสี่ยวซู่คิดพักหนึ่ง แล้วตอบสั้นๆ ว่า “อาหารที่กินตลอด”
หลินชีได้ยินเฉินอู๋ตี๋กับเริ่นเสี่ยวซู่คุยกัน จึงหันไปหัวเราะใส่เฉินอู๋ตี๋ว่า “เป็นคนโง่สติไม่ดีจริงๆ อาหารหลักก็คือพวกข้าวกับบะหมี่ไงเล่า”
เฉินอู๋ตี๋ส่ายหน้า “ไม่ถูก อาหารหลักพวกเราคือเนื้อสัตว์ต่างหาก”
หลินชี “???”
หลี่ชิงเจิ้งและเริ่นเสี่ยวซู่รู้ทันทีว่าแย่แล้ว เจ้าเด็กโง่นี่ทำเรื่องเสียหมด แต่พวกเขาพบว่าหลินชีดูจะไม่เชื่อคำพูดของเฉินอู๋ตี๋ พวกเขาได้ยินหลินชีพูดแกมถอนหายใจว่า “ถึงกับต้องโกหกเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตัวเองแบบผิดๆ เลยเหรอ ”
แต่ถึงหลินชีจะไม่เชื่อ นายทหารคนอื่นกลับเริ่มสงสัย “ที่นี่มีเนื้อสัตว์?”
เริ่นเสี่ยวซู่ใจหายวูบ นายทหารบางคนหัวไวไม่น้อย หลี่ชิงเจิ้งหัวเราะ “ฮ่าๆ เขาแค่ล้อเล้นน่ะ พวกเราจะมีเนื้อได้ยังไง”
แต่ทหารนายนั้นไม่ปล่อยไปเพียงเพราะคำพูดของหลี่ชิงเจิ้ง เขาเดินเข้าไปที่ป้อมสังเกตการณ์ “ป้อมสังเกตการณ์พวกนายมีอะไรแปลกๆ”
เริ่นเสี่ยวซู่ว่าเสียงนิ่ง “ในที่สุดก็รู้ตัวแล้วเหรอ”
จากนั้นเขาก็ไปที่บ้านหลังหนึ่งในป้อมสังเกตการณ์ แล้วเปิดประตูให้ทุกคนเห็น…หูชัวอยู่ข้างใน!
ดูก็รู้ว่าหูชัวเป็นบุคลากรระดับสูงในป้อมปราการ ไม่อย่างนั้นเขาจะบัญชาทหารชั้นยอดเทียบเท่ากับกองกำลังของสมาคมได้อย่างไร
ไหนๆ ชายชราก็คิดจะฉลองตรุษจีนที่นี่ เริ่นเสี่ยวซู่ก็จะใช้เขาเป็นโล่รับทุกปัญหาในช่วงวิกฤต!
หูชัวมองเริ่นเสี่ยวซู่ด้วยสายตาเรียบนิ่ง เริ่นเสี่ยวซู่ก็มองเขากลับไปด้วยความสงบนิ่งเช่นกัน หูชัวโมโหจนเกือบหลุดหัวเราะ เขาอุตส่าห์หลบเข้ามาในบ้านเพราะไม่อยากเจอคนพวกนี้!
นายทหารนายหนึ่งตกใจ “ทะ…ท่าน ทำไมท่านอยู่ที่นี่ล่ะครับ”
หูชัวย่างเท้าออกมานอกบ้าน “อ้อ มาสืบสวนอะไรนิดหน่อยน่ะ เพื่อนตัวน้อยที่นี่กำลังช่วยฉันอยู่”
“ขออภัยครับ พวกเราไม่คิดว่าท่านจะอยู่ที่นี่ ผมเป็นทหารจากกองพลที่เจ็ด ตอนนี้ถูกย้ายมาสังกัดกองพันเทพยนต์[1] ครับ” ทหารนายนั้นโค้งตัวลงต่ำ พูดอย่างนอบน้อม
ส่วนหลินชีที่เป็นผู้อพยพมาก่อนนั้นถูกเกณฑ์เข้ามาในกองทัพไม่นานนัก เขาย่อมไม่รู้จักว่าหูชัวคือใคร แต่นายทหารผู้นี้เป็นทหารในกองกำลังสมาคมตระกูลหลี่มานานแล้ว เขาจึงจำหน้าหูชัวได้ทันที
ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่เห็นผลลัพธ์เป็นแบบนี้ก็เกือบอ้าปากค้าง หูชัวเป็นใครกันแน่ เจ้าพวกทหารนาโนแมชชีนเพิ่งทำตัวเชิดหน้าเชิดตาก่อนหน้า จู่ๆ ก็นอบน้อมเสียฉิบเลย?
ถ้าเฉินอู๋ตี๋พูดให้รู้ความกว่านี้ เริ่นเสี่ยวซู่คงพอเดาออกแล้วหูชัวแข็งแกร่งแค่ไหน
หูชัวยิ้มอย่างเป็นกับเองกับนายทหาร “มีงานต้องไปทำก็ทำเถอะ ฉันไม่กวนเวลาแล้ว”
นายทหารยืนเข้าระเบียบในพลัน “รับทราบครับ!” จากนั้นก็สั่งให้คนอื่นๆ รีบเข้าไปขนยุทธภัณฑ์จากรถมาสวมที่ตัว
เริ่นเสี่ยวซู่ตั้งใจมองพวกเขา ก็พบว่ายุทธภัณฑ์ของพวกทหารนาโนแมชชีนไม่ต่างไปจากของทหารธรรมดาเลย เป็นเครื่องแบบสำหรับการสู้รบตามมาตรฐานและอาวุธสงครามส่วนตัวตามปกติ หนึ่งในนายทหารมีเครื่องรับส่งสัญญาณวิทยุแบบพกพา อย่างไรเสียระยะทางระหว่างป้อมสังเกตการณ์ก็ห่างกันอยู่หลายสิบกิโลเมตร พวกเขาต้องใช้วิทยุมาสื่อสารและแบ่งบันข้อมูลข่าวสาร
ที่ต่างออกไปมีอย่างเดียวคือทหารพวกนี้มีดาบยาวในฝักดาบหนังสีดำด้วย เริ่นเสี่ยวซู่ไม่รู้ว่าดาบพวกนี้ทำมาจากอะไร แต่ถ้าเป็นของที่ทหารนาโนแมชชีนใช้ คงไม่ใช่อาวุธธรรมดา
มีคนถามทหารที่กำลังสวมยุทธภัณฑ์ว่า “ท่านผู้เฒ่าเป็นใครเหรอ”
ทหารนายนั้นสีหน้ากลับเปลี่ยนไป “อย่าถามเลย รีบออกจากที่นี้แล้วขึ้นเขาไปดีกว่า” ฟังแล้วเขาดูกลัวหูชัวมาก
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นแบบนี้ก็คิดไม่ออกว่าหูชัวน่ากลัวตรงไหน
ทุกคนในป้อมสังเกตการณ์มองพวกนายทหารกุลีกุจออย่างเงียบงันขึ้นลึกเข้าไปในเขาคุนซาน หลังจากพวกเขาหายไปหมด เริ่นเสี่ยวซู่ก็หัวเราะ “ผมไม่ถามคำถามท่านสามวันแล้วกัน”
หูชัวได้ยินแบบนี้ ความขุ่นเคืองที่โดนเริ่นเสี่ยวซู่ ‘ทรยศ’ ก็ลดทอนลงไปนิดหน่อย…
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้มตามแล้วว่า “ดูแล้วเรื่องที่ที่นี่มีเนื้อสัตว์กินห้ามหลุดรอดไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่ได้ฉลองตรุษจีนแบบสบายใจแน่นอน”
“ช่วยรอบนี้ฉันเสียหายเยอะนะเฟ้ย” หูชัวบ่นออด
“แต่ผมมีเรื่องสงสัยอยู่” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม “ผมรู้จักหลินชีเหมือนกัน เขาไม่เคยเป็นทหาร เพิ่งเข้าร่วมกองทัพไม่กี่วันเอง แต่นี่ถูกส่งออกมาทำภารกิจแล้วเหรอ”
หูชัวมองเขาตาขวาง “จะถามอะไร”
“ปกติทหารต้องฝึกมาก่อนจะถูกส่งมาทำภารกิจ” เริ่นเสี่ยวซู่พูดอย่างเคร่งขรึม “ไหนจะวินัย ไหนจะความสามารถในการรบ เรื่องพวกนั้นฝึกสำเร็จในระยะสั้นไม่ได้หรอก ผมสงสัยว่าสมาคมตระกูลหลี่รีบร้อนอะไรถึงกับส่งพวกเขามาแบบนี้ พวกเขานับว่าเป็นทหารเกณฑ์ใหม่ไม่ได้ด้วยซ้ำ”
[1] กองเทพยนต์ หรือค่ายเทพยนต์ (神机营) เสินจีหยิง เป็นชื่อเดียวกับกองกำลังในสมัยราชวงศ์หมิง ทำหน้าที่เกี่ยวกับปืนกลไฟ เป็นการรวมของสองคำได้แก่ 神ที่แปลว่าเทพ และ 机 ที่หมายถึงเครื่องยนต์ เครื่องจักร เสินจีหยิงจึงสามารถแปลว่า จักรกลเทวะ จักรกลวิเศษ หรืออาวุธวิเศษ ก็ได้