คนอื่นๆ อาจจะไม่ทันมองเธอออกจากร้านไป แต่เหยียนลิ่วหยวนตาไวพอ คนในครอบครัวทั้งหมด เริ่นเสี่ยวซู่และหยวนลิ่วหยวนระแวดระวังต่อสภาพรอบตัวที่สุด เรื่องนี้เริ่นเสี่ยวซู่สามารถไว้วางใจเหยียนลิ่วหยวนได้เลยทีเดียว
เขาลอบกล่าวกับเริ่นเสี่ยวซู่ว่า “พี่ ผมว่ายัยคนข้างบ้านคิดสร้างปัญหาแน่”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเงาร่างที่กำลังหายลับตา เขาคิดพักหนึ่งก่อนจะว่า “ไม่เป็นอะไรหรอก ไม่มีอะไรต้องกลัว”
ระหว่างเก็บของกันอยู่นั้น หวังฟู่กุ้ยก็เอาบัญชีร้านมาให้เริ่นเสี่ยวซู่อย่างมีความสุข “รายรับของร้านเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เลย ชาวเมืองน้อยทั้งใกล้ไกลต่างมาซื้อของกับเรา อะ เริ่นเสี่ยวซู่ ลองดูรายการซื้อขายดูสิ”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ เหลือบมองเหล่าวัง “ปัดโธ่ นี่มันตรุษจีนนะ จะมาตงมาตรวจบัญชีอะไร มีลุงคอยจัดการ ฉันไม่มีอะไรให้กังวลหรอก ขึ้นรถบรรทุกไปได้แล้วน่า เดี๋ยวจะพาทุกคนไปชมทิวทัศน์ที่ป้อมสังเกตการณ์เสียหน่อย เดี๋ยววันที่แปดหลังตรุษจีนจะพากลับมาส่ง”
ถึงป้อมสังเกตการณ์จะดีมาก แต่ก็ยังเป็นสถานที่สำหรับทำหน้าที่ป้องกัน ช่วงตรุษจีนนี้ไม่น่ามีการตรวจสอบ แต่ถ้ามีคนรู้ว่าเขาพาครอบครัวมาฉลองล่ะก็ อาจเป็นปัญหาไม่น้อย
แถมตอนนี้พวกหวังฟู่กุ้ยอาศัยอยู่ในเมืองน้อยได้อย่างดี เจ้าเหยียนลิ่วหยวนตัวแสบก็ตีสนิทผู้หญิงไปทั่ว ทั้งใช้ความสัมพันธ์นี้สืบหาข่าวสารด้วย
เหยียนลิ่วหยวนกระซิบอยู่ด้านข้าง “พี่ ทำไมสมาคมตระกูลตั้งหมายจับสูเสี่ยนฉู่อีกแล้วล่ะ ฝีมือพี่อีกแล้วเหรอ”
“อะแฮ่ม!” เริ่นเสี่ยวซู่มองเหยียนลิ่วหยวน “อย่าพูดออกไปล่ะ”
“อืม” เหยียนลิ่วหยวนพยักหน้าหงึกหงัก “ไม่ต้องห่วง ผมปิดปากอย่างดี”
ตอนนี้เอง หญิงจากร้านขายของชำข้างๆ ก็รีบร้อนพาทหารกลุ่มหนึ่งมาที่ร้าน เธอชี้ไม้ขี้มือไปทางเริ่นเสี่ยวซู่แต่ไกล พร้อมกับตะโกนไปด้วยว่า “สองคนนั้นล่ะ ตอนมาเดือนที่แล้ว คนที่แก่กว่ายังใส่เครื่องแบบของทหารกองกำลังส่วนตัวอยู่เลย แต่รอบนี้มาเขาใส่เครื่องแบบของสมาคมตระกูลหลี่แล้ว แถมยังยศร้อยเอกเลยด้วย!”
คนส่วนใหญ่อาจจะอ่านยศประดับตรงอินธนูไม่ออก แต่คนที่จะมาเปิดร้านขายของชำหน้าป้อมปราการได้ย่อมมีสายตาว่องไวอยู่แล้ว เธอจะไม่รู้เรื่องนั้นได้อย่างไร
กลุ่มทหารเข้ามาล้อมพวกเริ่นเสี่ยวซู่ไว้ คนยศร้อยโทผู้หนึ่งเดินมาเผชิญหน้ากับเริ่นเสี่ยวซู่ “พวกนายสองคนมาจากกองไหน ยื่นใบแสดงตนทหารออกมาด้วย”
เริ่นเสี่ยวซู่กับหลี่ชิงเจิ้งสบตากัน ตอนที่เริ่นเสี่ยวซู่ยื่นตัวไปหยิบใบแสดงตน ก็เกิดเสียงปืนขึ้นไก จากนั้นกระบอกปืนนับสิบก็ชี้มายังเขาทันที
หญิงจากร้านของชำข้างเคียงกระหยิ่มยิ้มย่อง ถ้าใบแสดงตนของชายหนุ่มคนนี้มีปัญหา ร้านของหวังฟู่กุ้ยก็คงเปิดต่อไม่ได้แล้วสินะ
เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม และหยิบใบแสดงตนจากกระเป๋ายื่นให้ทหารตรงหน้า เขาพูดเสียงนิ่ง “ทุกวันนี้มีคนไม่มากนะที่กล้าขอตรวจค้นพวกเราคนจากกองสืบสวนพิเศษ”
หลี่ชิงเจิ้งอ้าปากค้าง เขาเห็นว่าเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ตระหนกสักกะผีก ทั้งยังพูดด้วยท่าทีสงบนิ่งดั่งผู้สูงศักดิ์เหมือนหูชัวเลยด้วย เหมือนเกินไปแล้ว
ตอนที่นายทหารที่กำลังรับมือเริ่นเสี่ยวซู่อยู่ได้ยินคำว่า ‘กองสืบสวนพิเศษ’ เขาก็ขมวดคิ้ววูบ เขาเปิดหนังสือแสดงตน และก็พบรูปของเริ่นเสี่ยวซู่ ตราประทับ และเลขประจำตัว รวมไปถึงประโยคสะดุดตาว่า ‘ทหารกองสืบสวนพิเศษ’
ถ้าเป็นช่วงเวลาปกติเขาคงตื่นตระหนกไปแล้ว ผู้ใดถูกกองสืบสวนพิเศษเรียก ผู้นั้นไม่เคยได้ออกมาอีก!
แต่หลังจากคิดพิจารณาให้ถี่ถ้วน เริ่นเสี่ยวซู่กับหลี่ชิงเจิ้งมีข้อพิรุธมากเกินไป โดยทั่วไปคนที่ผ่านการฝึกฝนมากจะมีลักษณะท่วงท่ายืนต่างออกไป แต่สภาพเครื่องแบบหลุดลุ่ยของหลี่ชิงเจิ้งนั้นทำให้เขาดูอย่างกับเป็นตัวปลอม
นายทหารพูดเสียงเย็น “พวกเราต้องยืนยันก่อนว่าพวกคุณสองคนมาจากกองสืบสวนพิเศษจริงๆ”
จากนั้นเขาก็สั่งให้ลูกน้องหยิบอุปกรณ์ขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ทหารผู้นั้นใส่หมายเลขประจำตัวทหารลงไป จากนั้นรูปของเริ่นเสี่ยวซู่ก็แสดงออกมา
นายทหารอ้าปากค้าง หมุนตัวไปตบหญิงจากร้านขายชำข้างเคียงจนเธอล้มลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็หันมาโค้งตัวให้เริ่นเสี่ยวซู่ “ขออภัยครับท่าน!”
เริ่นเสี่ยวซู่รับใบแสดงตนกลับมา จากนั้นก็สำรวจมองอีกฝ่าย “ฉันสงสัยว่านายเป็นสายลับและต้องการข่มแหงนายทหารจากสมาคมตระกูลหลี่ นาฬิกาที่สวมอยู่นั้นเป็นอุปกรณ์สำหรับติดต่อสื่อสารกับสายลับคนอื่นสินะ”
นายทหารผู้นั้นตอบรับด้วยการถอดนาฬิกายื่นให้เริ่นเสี่ยวซู่ทันที “โปรดรับกลับไปตรวจสอบได้เลยครับ คิดเสียว่าเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้”
“อืม” เริ่นเสี่ยวซู่กวาดตามองคนอื่นๆ “คนที่เหลือมีของมีพิรุธหรือเปล่า ฉันสงสัยว่าทุกคนเป็นผู้ลักลอบค้าของเถื่อน”
คราวนี้มีทหารคนหนึ่งพูดอึกๆ อักๆ ว่า “ท่านครับ คิดว่ากองสืบสวนพิเศษไม่ได้ดูแลเรื่องการค้าของเถื่อนนะครับ”
เริ่นเสี่ยวซู่เงียบไปพักหนึ่ง “พวกเราจะเริ่มสืบสวนเดี๋ยวนี้แหละ!”
หลี่ชิงเจิ้นมองเรื่องนี้จากด้านข้าง เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานตนยังเป็นคนเรียกสินบนอยู่เลย แต่ดูไปดูมาแล้ว เริ่นเสี่ยวซู่เก่งกว่าเขาเยอะ…
กลุ่มทหารที่เดิมทีเข้ามาอย่างดุร้าย ตอนนี้ยืนเข้าแถวก้มหัวลงต่ำ เงินในกระเป๋าทั้งหมดถูกเริ่นเสี่ยวซู่ยึดไว้เป็นหลักฐาน
“เอาล่ะ” เริ่นเสี่ยวซู่โบกมือ “กลับไปได้แล้ว จู่ๆ ฉันก็คิดว่าทุกคนดูไม่มีพิรุธอะไรอีก”
ว่าไปแล้ว ตำแหน่งที่หูชัวจัดหาให้นี่ใช้งานได้ดีจริงๆ
หญิงที่ถูกตบจนลงไปกองกับพื้นกำลังมึนๆ งงๆ อยู่บ้าง พอได้สตินิดหน่อยแล้ว ก็โดนนายทหารตบอีกครั้ง “เอานางคนไร้ตานี่กลับไปกับพวกเราด้วย”
กลุ่มทหารแบกเธอจากไป เริ่นเสี่ยวซู่เห็นพวกเขาไปแล้วก็พูดแกมทอดถอนใจ “ดีจริงๆ ให้ของขวัญเยอะเลย เป็นคนดีกันจังนะ!”
จากนั้นเขาก็ส่งนาฬิกาให้หวังฟู่กุ้ย นาฬิกาเดิมของเขาเอาไปให้หลี่ชิงเจิ้งเป็นสินบนงดการใช้แรงงานสำหรับพวกผู้หญิงไปแล้ว
หลี่ชิงเจิ้งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยว่า “ฉันขายนาฬิกาที่พวกนายให้มาหมดแล้ว ให้ฉันคืนเป็นเงินดีกว่าไหม”
เริ่นเสี่ยวซู่หัวเราะ “แบบนั้นนายก็ช่วยแบบเข้าเนื้อสิ เอาเก็บไปเถอะ พวกเราไม่ได้ขี้เหนียวขนาดนั้น”
“อ้อ ได้!” หลี่ชิงเจิ้งพูดอย่างยินดี แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกว่ามีอะไรทะแม่งๆ อยู่ๆ ก็รู้สึกว่าเริ่นเสี่ยวซู่กลายมาเป็นหัวหน้าหน่วยแทนเขาแล้ว…
ระหว่างทางกลับป้อมสังเกตการณ์ เหยียนลิ่วหยวนเอนตัวนอนอยู่หลังกระบะ พูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ ที่ป้อมสังเกตการณ์มีอะไรสนุกๆ ไหม”
“ก็สนุกไม่เลวนะ” เริ่นเสี่ยวซู่ยิ้ม
“ทุกวันทำอะไรกันเหรอ”
“ทุกวันเข้าเรียนแล้วก็กินเนื้อกัน บางทีก็ไปเดินหาผักป่ากับเห็ดหรือไม่ก็ล่ากระต่ายตามเขา” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า “บนเขามีกระต่ายเยอะเลย เดี๋ยวพอไปถึง ฉันจะบอกวิธีทำกับดักไว้จับกระต่ายให้”
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ต่อให้เหยียนลิ่วหยวนจะเป็นผู้มีพลังพิเศษ แต่เขายังไม่มีทักษะอะไรไว้ปกป้องตัวเองเลย คิดแล้วเขาน่าจะรวบรวมนาโนแมชชีนส่วนหนึ่งไว้ให้เหยียนลิ่วหยวนใช้
พอมาถึงป้อมสังเกตการณ์ เริ่นเสี่ยวซู่ก็เห็นหูชัวยกหูคุยโทรศัพท์ดาวเทียมพร้อมพูดไปด้วยว่า “พวกเรากองสืบสวนพิเศษไม่ได้กำลังสืบสวนเรื่องค้าของเถื่อน อ๋าๆ ใช่แล้ว พวกเราไม่ได้สืบสวนเรื่องนั้นจริงๆ คงเข้าใจอะไรผิด พวกเราไม่ได้คิดจะชิงอำนาจกับกองตรวจสอบ…”