ป้อมสังเกตการณ์ของเริ่นเสี่ยวซู่เรียกได้ว่าตัดการรับรู้ข่าวสารจากโลกภายนอก และต่อให้เหยียนลิ่วหยวนจะวิ่งพล่านรวบรวมข่าวสาร ข่าวพวกนั้นก็เป็นเพียงแค่ยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น พวกเขาจึงไม่รู้เลยว่าสงครามระหว่างสมาคมตระกูลหลี่ ชิ่ง และหยางใกล้แตกหักแล้ว
ไม่มีสงครามในแดนรกร้างมานาน มนุษยชาติตะลุยผ่านโลกอันโหดร้ายมาจนฟื้นตัวได้บ้าง แต่สงครามก็มาเยือนอีกครา
บางครั้งเริ่นเสี่ยวซู่ก็สงสัยนักว่าทำไมคนเราที่อุตส่าห์รอดพ้นมาจนยุคหลังภัยพิบัติได้ถึงยังจะอยากฆ่าแกงกันอีก
จากคำอธิบายของหูชัว ก่อนจะเริ่มก่อสงคราม สมาคมตระกูลหลี่ตั้งใจจะล้างบางตัวทดลองออกจากป้อมปราการ 109 ก่อน พวกเขาถึงกับส่งกองพลน้อยไปจัดการภารกิจนี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายกาลเวลาก็ไม่รอคอยสมาคมตระกูลหลี่ และสมาคมตระกูลหยางรวมถึงตระกูลชิ่งก็ไม่คิดจะรอด้วย
ตัวทดลองในป้อมปราการ 109 นอกจากจะเป็นภัยต่อสมาคมตระกูลหลี่แล้ว พวกมันยังอยู่ใกล้ป้อมปราการ 111 ของสมาคมตระกูลชิ่งด้วย ดังนั้นถ้าสงครามระเบิดออก ทั้งสองสมาคมต้องเสี่ยวดวงดูแล้วว่าตัวทดลองจะพุ่งไปทางไหน
ตอนนี้เรื่องเสี่ยงภัยที่พวกเริ่นเสี่ยวซู่ต้องเผชิญคือต้องถูกส่งไปรบ พวกเขามีเรื่องมากมายให้ดูแล ไม่อาจละทิ้งทุกอย่างลงไปในสนามรบได้หรอก
ต่อให้พวกเขาจะซ่อนตัวอยู่ในเขาลึก ก็ถือว่าอันตรายไม่ต่างอยู่ดี เพราะเนินเขาเป็นป่าพวกนี้ถือเป็นทางที่พวกตัวทดลองจะใช้แน่นอนถ้าพวกมันเดินทางมา ไม่อย่างนั้นสมาคมตระกูลหลี่จะสิ้นเปลืองกำลังคนส่งมาประจำการณ์ที่ป้อมสังเกตการณ์พวกนี้ทำไมล่ะ
“ถ้าตัวทดลองโจมตีป้อมปราการของสมาคมตระกูลหลี่ล่ะครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถาม
หูชัวมองเริ่นเสี่ยวซู่และบอกว่า “ที่จริงรอบๆ ป้อมปราการ 108 ไม่ได้มีอันตรายมากหรอกนะ ลองพิจารณาเรื่องส่งครอบครัวเข้าไปอยู่ในป้อมปราการ 108 ก่อนก็ได้ มีการตั้งเครื่องป้องกันไว้อยู่ ตัวทดลองคงตีฝ่าเข้าไปในป้อมปราการไม่ได้หรอก เรื่องที่เกิดขึ้นที่ป้อมปราการ 109 เป็นเพราะการป้องกันมีช่องโหว่”
แม้ป้อมปราการ 109 ถูกทำลายไปแล้ว แต่พวกตัวทดลองคงไม่อาจเข้าใกล้ป้อมปราการ 108 ได้ง่ายๆ ถ้าสมาคมตระกูลหลี่ติดตั้งอาวุธหนักไว้ตามกำแพง
อย่างไรตัวทดลองก็ประกอบด้วยเลือดเนื้อ กล้ามเนื้ออาจจะกันกระสุนธรรมดาได้ แต่กันกระสุนปืนใหญ่ไม่ได้หรอก แค่เจอพายุโลหะ ‘เครื่องถล่มภูเขา’ ที่ชิ่งเจิ่นพามา พวกมันก็ล่าถอยจ้าละหวั่นแล้ว
ก็เป็นอย่างที่ชิ่งเจิ่นว่า มีแต่เด็กน้อยเท่านั้นที่จะกลัวตัวทดลองพวกนี้ ชิ่งเจิ่นเข้าใจดีว่าอาวุธปืนและระเบิดของมนุษย์นั้นน่ากลัวเพียงไร
ที่ทุกคนกังวลคือกลัวว่าจะเจอตัวทดลองลอบจู่โจมตอนสู้กันในแดนรกร้างต่างหาก ส่วนเรื่องการป้องกันของป้อมปราการนั้น พวกเขาไม่ได้กังวลอะไรนัก
เริ่นเสี่ยวซู่ถามหูชัว “ช่วยผมส่งพวกเขาเข้าไปในป้อมปราการได้ไหมครับ ผมอยากให้พวกเขาไปอยู่ในนั้นเป็นการชั่วคราวก่อน”
หูชัวหัวเราะ “เธอทำตอนนี้ยังได้เลย ยังไงร้อยเอกในกองสืบสวนพิเศษก็…มีอำนาจมาก…” ทันใดนั้นหูชัวก็เสริม “แต่ให้ดีอย่าลุแก่อำนาจดีกว่านะ…”
“เอ่อ…ครับ ผมจะไม่ไปยุ่งกับการสืบสวนการค้าของเถื่อนแล้วครับ” เริ่นเสี่ยวซู่แปลกใจที่กองสืบสวนพิเศษมีอำนาจส่งคนเข้าป้อมปราการด้วย มันเป็นอำนาจไม่เล็กเลย
แต่ดูเหมือนว่าอย่างไรชายชราผู้นี้ก็ไม่ได้อยู่ฝ่ายสมาคมตระกูลหลี่ อยากรู้จริงๆ ว่าถ้าพวกเบื้องบนของสมาคมตระกูลหลี่ทราบเรื่องนี้จะทำหน้าอย่างไร
เริ่นเสี่ยวซู่ถามอย่างสงสัยว่า “ไม่กลัวว่าผมจะปากโป้งเหรอครับ”
หูชัวกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม “ไม่กลัวว่าฉันจะไปบอกสมาคมตระกูลหลี่ว่าเธอตามล่าทหารนาโนแมชชีนอยู่เหรอไง”
ทั้งสองเงียบไป เริ่นเสี่ยวซู่รู้อยู่แล้วหูชัวเป็นจิ้งจอกเฒ่า พฤติกรรมแปลกๆ ไม่มีทางหลุดรอดไปจากสายตาเขาได้ แค่ไม่คิดเลยว่าหูชัวจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างรู้ความลับของอีกฝ่าย จึงไม่มีใครคิดปากสว่าง
เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าหูชัวน่าจะพยายามสร้างความสัมพันธ์ฉันท์มิตรก็ก่อตั้งพันธมิตรกับตนมากกว่า รากฐานการเชื่อมั่นตั้งอยู่บนการรู้ความลับของอีกฝ่าย รวมไปถึงข้อเท็จจริงที่ว่าหลานชายของหูชัวคือ…หลี่เสินถานด้วย
หูชัวเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองสืบสวนพิเศษมานานหลายปี ในอดีตเพื่อไม่ให้ครอบครัวติดร่างแห เขาจึงเก็บเรื่องตนเองมีลูกสาวเป็นความลับ เขาถึงกับไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับเธอด้วยซ้ำ แต่หลายปีให้หลัง สมาคมตระกูลหลี่ก็บีบเธอจนตาย
สมาคมตระกูลหลี่ทรงอำนาจ ทรงอำนาจขนาดแม้เขาจะเป็นผู้มีพลังพิเศษและเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองสืบสวนพิเศษก็ไม่อาจทำอะไรได้ อย่างไรลูกน้องของเขาทุกคนก็จงรักภักดีต่อสมาคมตระกูลหลี่ไม่ใช่เขา แต่หลังจากหลี่เสินถานกลายมาเป็นพรายกระซิบ ทุกอย่างก็กลับตาลปัตร ชายหนุ่มที่หนีออกจากโรงพยาบาลจิตเวชนี้มีพลังทำลายล้างสูงยิ่งนัก
ข้างกองไฟ พวกนักเรียนเริ่มร้องเพลงกัน ส่วนบรรดาชายหยาบกร้านไม่กล้าจะส่งเสียงแม้แต่น้อย กลัวจะไปขัดจังหวะการร้องเพลงของพวกเธอ
เสี่ยวอวี้ในผ้ากันเปื้อนกำลังผัดผักอยู่ในครัว ตอนที่พวกเขาเดินทางมา พวกเธอก็พาของฉลองตรุษจีนมาไม่น้อย เหล่าหวังถึงกับไปหาปลากับกุ้งมากล่องหนึ่งจากในป้อมปราการด้วย
ทันใดนั้นหลี่ชิงเจิ้งก็พูดอย่างสะเทือนอารมณ์ว่า “นี่อาจจะเป็นตรุษจีนที่ดีที่สุดตั้งแต่เกิดมายี่สิบเก้าปีเลย”
เริ่นเสี่ยวซู่หันไปมองเขาและหัวเราะ “พูดตามตรงนะ เมื่อก่อนพวกเราก็ฉลองตรุษจีนแบบน่าสังเวชๆ เหมือนกัน”
“ไม่ใช่สักหน่อย” เหยียนลิ่วหยวนหัวเราะคิกคัก “พวกเรามีความสุขจะตาย เคยวิ่งหาเนินเขาไกลๆ จะได้เห็นดอกไม้ไฟในป้อมปราการด้วย พลุดอกไม้ไฟตอนนั้นสวยมากเลยล่ะ”
แต่ตอนนั้นเองก็มีรถออฟโรดคันหนึ่งขับขึ้นเขามาที่ป้อมสังเกตการณ์ นายทหารลงมากระซิบกระซาบอะไรกับหูชัวอยู่พักหนึ่ง ใบหน้าหูชัวเคร่งขรึมกว่าก่อนหน้า
เริ่นเสี่ยวซู่มองหูชัวแล้วถาม “มีอะไรเหรอครับ”
หูชัวมองเริ่นเสี่ยวซู่กลับแล้วตอบ “หลังตรุษจีนเตรียมส่งครอบครัวเข้าป้อมเลย สงครามเริ่มขึ้นแล้ว”
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเช่นนั้นก็ประหลาดใจ อีกหนึ่งชั่วโมงถึงจะตรุษจีน ใครจะไปคิดว่าสงครามจะเริ่มขึ้นวันส่งท้ายปีเสียได้
หูชัวว่า “ผู้บัญชาการของสมาคมตระกูลหลี่ให้คำสั่งโจมตีเรียบร้อย กองกำลังในแนวหน้าเริ่มเคลื่อนตัวไปยังพื้นที่ในการควบคุมของสมาคมตระกูลหยางแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงที่นั่นจะถูกปกคลุมด้วยไฟสงคราม“
“ไม่กินอะไรก่อนไปเหรอครับ” เริ่นเสี่ยวซู่ถามเสียงนิ่ง
หูชัวหัวเราะ “ฉันนึกว่าพวกเราจะได้ฉลองตรุษจีนกันเสียอีก แต่กินข้าวเย็นแบบพร้อมหน้ายังไม่ได้เลย น่าเสียดายจริงๆ ในที่สุดเรื่องที่ฉันกลัวที่สุดก็เกิดขึ้น”
โลกใบนี้ อะไรๆ ไม่เคยเป็นไปตามใจคิดหรอก
ตอนนั้นเองเสี่ยวอวี้ก็เดินออกมาจากในครัวพร้อมกล่องข้าวหลายกล่อง “ลุงหูชัวคะ ฉันเอาข้าวเย็นใส่กล่องไว้หมดแล้ว เอาไว้กินระหว่างเดินทางนะคะ”
หูชัวผงะ เขาฉีกยิ้มกว้าง “ขอบคุณนะ”
ทันใดนั้นหูชัวก็หันมองเริ่นเสี่ยวซู่แล้วเอ่ยถาม “เริ่นเสี่ยวซู่ เธอเคยได้ยินเรื่องกฎของเมอร์ฟีไหม ทุกอย่างที่ผิดพลาดได้ ไม่ว่าจะไม่น่าขนาดไหน ก็จะผิดพลาดอยู่ดี ว่าง่ายๆ คือสิ่งที่คนเรากลัวมักจะเกิดขึ้น”
เริ่นเสี่ยวซู่นิ่งไป “ทำไมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะครับ”
“เธอคิดว่าพวกเราอาศัยอยู่ในความฝันหรือโลกความเป็นจริง” หูชัวหัวเราะ
“พวกเราอยู่ในโลกความเป็นจริงสิครับ ถ้าไม่เชื่อ ให้ผมหยิกสักทีก็ได้นะ” เริ่นเสี่ยวซู่ว่า
“แต่ความเป็นจริงมีพื้นฐานมาจากความน่าจะเป็นไม่ใช่เหรอ มีแต่ในความฝันที่สิ่งที่เรากลัวที่สุดมักจะเกิดขึ้นนี่?” จากนั้นหูชัวก็หัวเราะและเดินหันหลังจากไป “ฉันอยากให้ตอนนี้เป็นความฝันมากกว่า”
เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ถึงความเศร้าโศกของชายชรา