ตอนที่ 463 กำลังดัง
กลับมาถึงบ้านที่จื่อเฉิงย่วนในเมืองหลวง ก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว
ลู่เฉินอาบน้ำร้อน ล้างความเหน็ดเหนื่อยจากการตะลอนๆ เดินทางไกล เขาไม่ได้พักผ่อนทันที แต่ไปนั่งในห้องหนังสือ สะสางงานช่วงนี้ให้เรียบร้อย
หลังจากก่อตั้งสตูดิโอที่ฮ่องกงแล้ว ช่วงเวลานานนับจากนี้เป็นต้นไป การเดินทางไปกลับจีนและฮ่องกงเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นบ่อย ถ้าหากไม่จัดการงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เช่นนั้นจะยุ่งยากมาก
ตอนนี้งานหลักของลู่เฉินอยู่ที่ฮ่องกงเป็นส่วนใหญ่ ภาพยนตร์ใหม่ ‘โปเยโปโลเย’ กำลังจะเริ่มถ่ายทำแล้วเพื่อให้ทันเข้ารายชื่อภาพยนตร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลในปีหน้า จึงขาดเขาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
และใช่ว่าที่เมืองหลวงจะไม่ต้องการเขา ตรงกันข้ามงานหลายอย่างกลับขาดเขาไม่ได้ งานพรีเซ็นเตอร์โฆษณางานแสดงโชว์ การร่วมงานถ่ายทำภาพยนตร์และโทรทัศน์…เนื่องจากการเปิดตัวอัลบั้มใหม่สุดร้อนแรงและละครโทรทัศน์สองเรื่องประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด ผู้ที่อยากร่วมงานด้วยจึงเยอะขึ้นเรื่อยๆ
ฝ่ายที่ร่วมงานด้วยอย่างสถานีโทรทัศน์ปักกิ่ง สถานีโทรทัศน์เจ้อตง คราวน์พิคเจอร์ส เอสพีจี กานเต๋อพิคเจอร์ส เป็นต้น ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจากละครโทรทัศน์เรื่อง ‘ฟูลเฮ้าส์’ จึงมีความต้องการอย่างยิ่งยวดขอให้ถ่ายละครเรื่องใหม่
ลู่เฉินไปฮ่องกงเพื่อถ่ายทำภาพยนตร์ไม่เป็นไร อย่างแรกต้องเขียนบทละครใหม่ออกมาก่อน เรื่องสร้างทีมงานถ่ายทำ รับสมัครนักแสดง เช่ายืมสถานที่ งานทั้งหมดนี้พวกเขาจะทำกันเอง จากนั้นลู่เฉินแค่แบ่งเวลาไปถ่ายทำก็พอแล้ว
เสียงเรียกร้องของพวกเขารุนแรงมาก ลู่เฉินกับสตูดิโอไม่อาจมองข้ามได้ ถึงแม้ปีนี้จะไม่ทันแล้ว แต่ก็ต้องเตรียมตัวสำหรับโปรเจกต์ใหม่ล่วงหน้าก่อน พอถึงครึ่งปีหน้าค่อยเริ่มถ่ายทำละครเรื่องใหม่ก็ไม่มีปัญหา
ดังนั้นเขาจึงต้องเขียนบทละครโทรทัศน์เรื่องที่สาม
ตามแผนการของลู่เฉิน ละครเรื่องใหม่นี้จะเป็นละครเรื่องที่สามและเป็นละครแนวความรักของคนเมืองเรื่องสุดท้ายของเขา หลังจากถ่ายทำเสร็จแล้ว ละครโทรทัศน์หลังจากนี้จะเปลี่ยนแนวทางไปที่ผลงานนิยายลิขสิทธิ์ชื่อดังซึ่งเป็นโปรเจกต์ใหญ่อย่างเต็มที่
‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ‘มังกรหยก’ ‘เอี้ยก้วยเจ้าอินทรี’ ‘ดาบมังกรหยก’…
กระดาษพิมพ์หนึ่งหน้ากระดาษเอสี่ ถูกเขาเขียนเต็มหน้า ผ่านการปรับปรุงแก้ไขและขีดเขียนใหม่สองสามรอบแนวความคิดจึงเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
กริ๊ง~
ในเวลานี้เอง โทรศัพท์บ้านที่วางอยู่บนโต๊ะหนังสือก็ดังขึ้น
หน้าจอแสดงว่าผู้ที่โทรมาคือลู่ซี
ลู่เฉินรับสาย ‘พี่?’
ลู่ซีถามว่า “แกกลับมาเมื่อไร”
ลู่เฉินตอบว่า “เพิ่งกลับมาครับ ผมกลัวพี่นอนหลับไปแล้วเลยไม่ได้โทรหา พี่ยังไม่นอนเหรอ”
“ฉันจะนอนหลับได้ยังไง!”
ลู่ซีพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “แกไปมองโกลเจอต้นกล้าที่ดี ทำไมถึงไม่จับเซ็นสัญญา”
“อ๋า?”
ลู่เฉินงงมาก “ต้นกล้าที่ดีอะไร”
ลู่ซีไม่สบอารมณ์ทันที “เก๋อเกินถ่าน่าไง! สาวน้อยชาวมองโกลคนนั้น ตอนนี้ดังมากในอินเทอร์เน็ต ถูกสตูดิโอเฉินเฟยเอ๋อร์จับเซ็นสัญญาแล้ว”
“หา!”
ลู่เฉินคาดคิดไม่ถึงว่า ลู่ซีโทรมาหาตัวเองดึกๆ ดื่นๆ เพื่อพูดเรื่องของเก๋อเกินถ่าน่า
เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเก๋อเกินถ่าน่าได้รับความนิยมมากบนอินเทอร์เน็ต จึงรีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ลู่ซีเห็นว่าลู่เฉินยังไม่รู้ความจริง เธอจึงเล่าต้นสายปลายเหตุให้เขาฟังอีกหนึ่งรอบ
ที่แท้ตอนเช้าเมื่อวานซืน เฉินเฟยเอ๋อร์โพสต์วิดีโอในบล็อกของตัวเอง เนื้อหาในบล็อกคือภาพตอนที่ลู่เฉินสอนเก๋อเกินถ่าน่าเล่นดนตรีและร้องเพลง ‘ทุ่งหญ้าแสนงาม บ้านของฉัน’
พอโพสต์วิดีโอนี้ออกไปก็โด่งดังในอินเทอร์เน็ตทันที ยอดกดดูไต่สูงขึ้นเป็นลำดับ จำนวนการแสดงความคิดเห็นและยอดแชร์โพสต์นี้ของเฉินเฟยเอ๋อร์ทะลุเกือบล้านในวันนี้ จนขึ้นไปติดหน้าแรกของบล็อกล่างฉาว
จากนั้นชาวเน็ตมากมายจึงอยากรู้ว่าสาวน้อยชาวมองโกลคนนี้เป็นใคร เมื่อคืนวาน เฉินเฟยเอ๋อร์จึงเขียนโพสต์ใหม่แนะนำตัวตนของเธอคร่าวๆ
ดังนั้นเก๋อเกินถ่าน่าอายุสิบสี่ปี จึงกลายเป็น ‘เน็ตไอดอล’ ตัวจริงเพียงข้ามคืน
ตอนเย็นวันเดียวกัน ชื่อของเธอถูกค้นหาเป็นอันดับต้นๆ ในหน้าเว็บ
จากนั้นตอนเช้าของวันนี้ สตูดิโอของเฉินเฟยเอ๋อร์จึงประกาศในบล็อกทางการว่าได้เซ็นสัญญากับเก๋อเกินถ่าน่าอย่างเป็นทางการแล้ว
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!
ในที่สุดลู่เฉินก็เข้าใจแล้ว เขานึกถึงตอนที่อยู่ลานล่าสัตว์สุ่ยเฉวียน เฉินเฟยเอ๋อร์เคยพูดว่าเก๋อเกินถ่าน่ามีแววเป็นซูเปอร์สตาร์ ตอนนั้นลู่เฉินไม่ได้สนใจมากนัก คิดไม่ถึงว่าเฉินเฟยเอ๋อร์จะจับเธอเซ็นสัญญาโดยตรง
ลู่ซีไม่พอใจและตำหนิว่า “อย่างแกเขาเรียกว่าได้เมียแล้วลืมพี่สาว พวกเราได้เซ็นสัญญากับเก๋อเกินถ่าน่าดีกว่าเป็นไหนๆ สตูดิโอที่เมืองหลวงจะอาศัยนายคนเดียวตลอดไปก็ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
จุดประสงค์ตั้งต้นของการก่อตั้งสตูดิโอลู่เฉินนั้นก็เพื่อบริการให้ลู่เฉินเพียงคนเดียว แต่ด้วยความดังของเขาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กิจการจึงขยายใหญ่ขึ้น การเติบโตของสตูดิโอจึงต้องถูกพัฒนาไปด้วย
ตอนนี้สตูดิโอที่เมืองหลวงก็รับงานนอกตลอด ห้องบันทึกเสียงที่ลงทุนด้วยเงินมหาศาลก็ไม่เคยว่างเลย แผนการทำงานของทุกวันถูกจัดตารางเต็มไปหมด
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของลู่ซีได้ เพราะในแวดวง สตูดิโอของดาราดังหลายคนกำลังพัฒนาไปเป็นบริษัทเอเจนซี่บันเทิง เธอเองก็อยากให้สตูดิโอลู่เฉินเติบโตกลายเป็นบริษัทแถวหน้าของวงการอย่างแท้จริงเช่นกัน
ดังนั้นกลยุทธ์ของสตูดิโอที่ไม่ดึงคน ไม่เซ็นสัญญากับศิลปินในตอนแรกจึงกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
ผ่านไปหนึ่งปีกว่า ลู่ซีมองสตูดิโอลู่เฉินเป็นเหมือนกิจการของตัวเอง เธอยอมทิ้งแผนการสมัครเรียนต่อปริญญาโทไปนานแล้ว และตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่
สามารถพูดได้ว่าสตูดิโอที่เมืองหลวงหากไม่มีความพยายามของเธอ ลู่เฉินเองก็คงไม่ประสบความสำเร็จเหมือนทุกวันนี้!
ตอนนี้เห็นต้นกล้าชั้นดีอย่างเก๋อเกินถ่าน่าถูกเฉินเฟยเอ๋อร์ชิงเซ็นสัญญาไปก่อน ต่อให้อีกฝ่ายจะเป็นน้องสะใภ้ในอนาคตก็ตาม ลู่ซีก็รู้สึกไม่พอใจ…ได้เมียแล้วลืมพี่สาว!
ลู่เฉินพูดไม่ออกบอกไม่ถูก “งั้นผมไปคุยกับเฟยเอ๋อร์ดีไหมครับ”
เขาเชื่อว่าแค่ตัวเองเอ่ยปาก เฉินเฟยเอ๋อร์จะเซ็นสัญญาย้ายเก๋อเกินถ่าน่ามาให้ทางนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์
ลู่ซีกลับไม่หลงกล “แกอย่านำความหายนะมาทางนี้นะ ฉันจะไปแย่งกับแฟนของแกได้ยังไง ถ้าเก่งจริง แกก็ไปปรึกษากับเฟยเอ๋อร์ เอาสตูดิโอสองแห่งมารวมเป็นบริษัทเดียวกัน แล้วพวกแกทั้งสองก็ไม่ต้องแบ่งอันไหนของเธออันไหนของฉันแล้ว”
ลู่เฉินเข้าใจในทันที พูดมาตั้งมากมาย เกรงว่านี่คือความคิดที่แท้จริงของพี่สาวกระมัง!
แต่พอลองคิดอย่างละเอียดแล้ว ข้อเสนอของเธอก็มีความน่าเชื่อถือและสามารถดำเนินการได้ ดังคำกล่าวที่ว่าการร่วมมือกันของคนแข็งแกร่ง ผลลัพธ์ที่ได้คือหนึ่งบวกหนึ่งมากกว่าสองแน่นอน
ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือทั้งสองคนยังไม่ได้แต่งงานหรือหมั้นกัน การควบรวมสตูดิโอจึงไม่ใช่เรื่องเล็กๆ และไม่รู้ว่าเฉินเฟยเอ๋อร์จะมีความคิดเห็นอย่างไร
แน่นอนว่าลู่ซีไม่ได้บอกให้ลู่เฉินตัดสินใจทันที เธอแค่ลองเสนอความคิดที่ไม่เลว แต่สุดท้ายคนที่ตัดสินใจก็คือลู่เฉินกับเฉินเฟยเอ๋อร์สองคน
พี่สาวถามไถ่ชีวิตความเป็นอยู่ของลู่เฉินอย่างเป็นห่วง และยังเล่าเรื่องที่บ้านของแม่กับน้องสาวที่อยู่ปินไห่ให้ฟังนิดหน่อย ถึงแม้จะบ่นไม่น้อย แต่ลู่เฉินฟังแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ตอนที่จบการสนทนา เป็นเวลาเที่ยงคืนกว่า
เขาเริ่มจัดระเบียบความคิดใหม่ จากนั้นก็สร้างไฟล์ในคอมพิวเตอร์ เมื่อบันทึกเสร็จแล้วจึงไปพักผ่อน
…………………………………………………………………………