ตอนที่ 464 ตีพิมพ์
“สวัสดีตอนเช้าค่ะผู้อำนวยการลู่!”
พนักงานต้อนรับสาวสวยน่ารักโน้มตัวแสดงความเคารพ เสียงหวานและดังฟังชัดทำให้ลู่เฉินต้องมองเธอมากกว่าหนึ่งครั้ง
แต่เดิมงานต้อนรับของสตูดิโอลู่เฉินเป็นหน้าที่ของพี่เสี่ยวเหม่ยมาตลอด เธอเพิ่งจะย้ายไปเป็นผู้ช่วยของลู่ซีเมื่อไม่นานมานี้ ถือว่าเลื่อนขั้นขึ้นสูงมาก ส่วนพนักงานต้อนรับคนนี้เพิ่งรับเข้ามาทำงานใหม่
ตอนที่ลู่เฉินอยู่ฮ่องกง ได้ยินว่าพอปล่อยข่าวรับสมัครพนักงานต้อนรับใหม่ มีสาวสวยมากมายเข้ามาสมัครงานไม่ขาดสาย เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดมาก
ที่น่าเสียดายก็คือเขาไม่มีโอกาสได้เห็น แต่พนักงานคนใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างดีคนนี้ดูแล้วสบายตาอย่างไม่ต้องสงสัย
ลู่เฉินพยักหน้า “อรุณสวัสดิ์ครับ”
สตูดิโอนี้ถึงแม้เขาจะสร้างมากับมือตัวเองก็ตาม แต่ลู่ซีรับหน้าที่ผู้จัดการใหญ่มาโดยตลอด ตัวของลู่เฉินตอนแรกเป็นผู้อำนวยการเพลง ตอนนี้เป็นผู้อำนวยการศิลป์
เขาถามอีกหนึ่งประโยค “คุณชื่ออะไร”
พนักงานต้อนรับสาวยิ้มตอบเสียงหวาน “ฉันชื่อหวังหย่าลี่ คุณเรียกฉันว่าเสี่ยวลี่ก็ได้ค่ะ”
“ผู้อำนวยการลู่คะ ผู้จัดการจางของสำนักพิมพ์ซานไห่มารอคุณอยู่ที่ห้องรับรองแล้วค่ะ คุณจะให้เขามาพบที่ออฟฟิศหรือว่า?”
ลู่เฉินเอ่ยว่า “ผมจะไปพบเขาเอง”
สำนักพิมพ์ซานไห่เป็นหนึ่งในสิบสำนักพิมพ์เอกชนใหญ่ของประเทศจีน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ปักกิ่ง ตอนนั้นที่ลู่เฉินตีพิมพ์นิยาย ‘รักนี้ชั่วนิรันดร์’ สำนักพิมพ์แห่งนี้ให้ค่ารอยัลตี้สิบห้าเปอร์เซ็นต์และเงินรับประกันขั้นต่ำราคาสูงอีกห้าแสนหยวนถึงได้ลิขสิทธิ์ไป
ต่อมาหลังจากนั้น ‘ฟูลเฮ้าส์’ เวอร์ชันนิยาย ก็ได้ร่วมงานกับสำนักพิมพ์ซานไห่เหมือนเดิม
จวบจนตอนนี้ นิยายเรื่องยาวสองเล่มของลู่เฉินมียอดขายรวมกันเกินห้าล้านแล้ว ในฐานะผลงานที่ดัดแปลงมาจากละครโทรทัศน์ ถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่สะดุดตามาก หากสลัดอิทธิพลของตัวผลงานออกไป สำนักพิมพ์ซานไห่ก็มีความดีความชอบไม่น้อยเช่นกัน
ดังนั้นในรายชื่อผู้ร่วมงานของสตูดิโอลู่เฉิน จึงมีสำนักพิมพ์ซานไห่อยู่เป็นอันดับแรก
จางเย่าเฉิง ผู้จัดการจางของสำนักพิมพ์ซานไห่กับลู่เฉินรู้จักกัน รองผู้จัดการใหญ่ควบตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการคนนี้มารอลู่เฉินที่สตูดิโอด้วยตนเอง แน่นอนว่าลู่เฉินต้องออกไปต้อนรับด้วยตนเองเช่นกัน
“ผู้จัดการจาง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ!”
ในห้องรับรอง ลู่เฉินเจอกับจางเย่าเฉิงอีกครั้ง เป็นผู้ชายวัยกลางคนสุภาพมีมารยาทคนหนึ่ง
จางเย่าเฉิงกับลู่เฉินจับมือกันแน่น แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ผู้อำนวยการลู่คุณเป็นคนที่ยุ่งมากนะครับ อยากจะตามหาคุณไม่ง่ายเลยจริงๆ!”
ลู่เฉินละอายใจ “ช่วงนี้ต้องเตรียมถ่ายภาพยนตร์ที่ฮ่องกง แยกร่างไม่ได้เลยจริงๆ ครับ”
จางเย่าเฉิงกล่าวว่า “งั้นครั้งนี้ พวกเรามาตกลงสัญญากันเลยดีกว่าครับ!”
ลู่เฉินพยักหน้า “ครับ”
จนถึงตอนนี้ จางเย่าเฉิงเพิ่งจะแนะนำสาวน้อยคนหนึ่งที่พามาด้วย “คนนี้คือโจวลู่ เป็นผู้ช่วยบรรณาธิการของผมครับ เธอรับผิดชอบแก้ไขและพิสูจน์อักษรให้นิยายเรื่อง ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ครับ”
ลู่เฉินหันไปพยักหน้าให้อีกฝ่าย ยิ้มเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “สวัสดีครับ”
“สะ…สวัสดีค่ะ”
โจวลู่อายุยี่สิบปีกว่า หน้าตาธรรมดา สวมแว่นตากรอบหนาเตอะ พอได้เจอหน้าลู่เฉินเธอลนลานอย่างเห็นได้ชัด อยากจะยื่นมือออกไปแต่ก็ชักกลับมาอีกครั้ง ใบหน้าแดงก่ำ
ลู่เฉินหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ลำบากคุณแล้วนะครับ พวกเราไปคุยที่ออฟฟิศกันเถอะ”
“ครับ!”
จางเย่าเฉิงไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เขาถลึงตาใส่โจวลู่หนึ่งทีโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ไม่สบอารมณ์เล็กน้อยที่เหล็กไม่ยอมกลายเป็นเหล็กกล้า
วันนี้เขาพาหลานสาวของตัวเองมาด้วย เพราะอยากให้เธอได้เห็นโลกภายนอก ได้มาทำความรู้จักลู่เฉินเด็กหนุ่มที่มีอนาคตไร้ขีดจำกัด เพื่อขยายโลกทัศน์และสายสัมพันธ์
คิดไม่ถึงว่าการแสดงออกของโจวลู่จะแย่มาก ไม่มีความมั่นใจเหมือนตอนที่เธอทำงานตามปกติ
คงพูดได้แต่ว่าเสน่ห์ของลู่เฉินนั้นสุดยอดเหนือคำบรรยาย หรือไม่ก็มีออร่าสะดุดตาเกินไป ทำให้สาวน้อยที่เพิ่งเข้าสังคมอย่างโจวลู่ไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้
หลังจากนั่งลงในออฟฟิศของลู่เฉินแล้ว โจวลู่ถึงได้สติกลับมา เธอหยิบหนังสือจากกระเป๋าเอกสารออกมาวางซ้อนกัน ทั้งหมดห้าเล่มวางอยู่ตรงหน้าของลู่เฉินแล้ว
จางเย่าเฉิงอธิบายว่า “นี่คือตัวอย่างหนังสือที่สำนักพิมพ์ของพวกเราสั่งทำโดยเฉพาะ ชื่อหนังสือได้เชิญฟู่กว่างหยวนนักเขียนพู่กันชื่อดังมาเขียนชื่อเรื่องให้ครับ ผู้อำนวยการลู่ลองอ่านตรวจสอบดูได้ครับ”
ลู่เฉินหยิบหนังสือเล่มที่วางอยู่ด้านบนสุดขึ้นมา แล้วพิจารณาอย่างละเอียด
ถึงแม้จะเป็นหนังสือตัวอย่าง แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่ต่างจากหนังสือที่ตีพิมพ์อย่างเป็นทางการมากนัก หน้าปกพิมพ์เลเซอร์สีมีความละเอียดสูงมาก ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ตัวหนังสือสีดำขนาดใหญ่ทั้งสี่ตัวทรงพลังและแข็งแกร่ง เห็นได้ชัดถึงพื้นฐานความชำนาญที่ไม่ธรรมดาของผู้เขียน ฝีพู่กันมีกลิ่นอายของผู้กล้าในยุทธภพที่รักอิสระไม่ผูกมัดกับใคร
ลู่เฉินพอใจมาก
‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ เป็นผลงานทดลองเขียนของโปรเจกต์ใหญ่นิยายดังของลู่เฉิน ปีนี้เดือนพฤษภาคมและมิถุนายน เขาใช้นามปากกา ‘อี้จินกู่’ เขียนเวอร์ชันออนไลน์แล้วโพสต์ลงล่างฉาวบุ๊กเป็นครั้งแรก
ตอนเริ่มต้น ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ถือว่าทำผลงานได้แย่มาก ยอดคลิก ยอดเก็บสะสม หรือคำวิจารณ์ของนักอ่านมีน้อยกระจิริด เรียกได้ว่าน่าอนาถเป็นที่สุด
แต่ตอนที่ลู่เฉินอัปเดตถึงสองแสนกว่าคำ หนังสือกลับทำผลงานดีขึ้น นักอ่านชอบหนังสือเล่มนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และยังได้รับคำเชิญให้เซ็นสัญญากับเว็บไซต์หนังสือ
แต่ลู่เฉินไม่อยากนำ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ มาเซ็นสัญญากับล่างฉาวบุ๊ก และตอนหลังเขาก็เริ่มอัปเดตช้าลง จนกระทั่งสะสมถึงห้าแสนคำก็หยุดการอัปเดต แล้วประกาศว่าจะตีพิมพ์เป็นหนังสือ
‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ในตอนนี้ มียอดเก็บสะสมในล่างฉาวบุ๊กมากกว่าสามหมื่น!
ในด้านการบริหารจัดการนิยายกำลังภายในแนวใหม่เล่มนี้ ลู่เฉินไม่รีบร้อนอยากประสบความสำเร็จ ซึ่งต่างจากภาพยนตร์หรือละครโทรทัศน์ คำสรรเสริญของหนังสือที่ดีเล่มหนึ่งต้องใช้เวลาสะสมและบ่มเพาะ เหมือนกับการบ่มเหล้ายิ่งนานก็ยิ่งหอม
ตอนนี้ไฟกำลังร้อนได้ที่แล้ว ลู่เฉินจึงนำมาตีพิมพ์อย่างเป็นทางการและออกจำหน่ายสู่ท้องตลาด บวกกับการดำเนินการที่เหมาะสม จะสามารถปูทางให้ผลงานชุดอื่นๆ อย่าง ‘มังกรหยก’ ‘แปดเทพอสูรมังกรฟ้า’ ฯลฯ ได้
หนังสือชุด ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ มีทั้งหมดห้าเล่ม เนื้อหาจบบริบูรณ์ประมาณหนึ่งล้านคำ การออกแบบหนังสือและตกแต่งเป็นแนวโบราณ การจัดเรียงเนื้อหาภายในเป็นระเบียบเรียบร้อย ทางสำนักพิมพ์ซานไห่ใช้ใจทำงานอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่ลู่เฉินกำลังอ่านตัวอย่างหนังสือ ในใจของจางเย่าเฉิงไม่อาจสงบได้
ตอนแรกที่ลู่เฉินสตูดิโอนำต้นฉบับมาให้ เกิดการโต้เถียงเรื่องรายละเอียดของสัญญากับทางสำนักพิมพ์ เพราะนักเขียน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ ไม่มีชื่อเสียงใดๆ ในวงการ และไม่เคยมีผลงานอื่นมาก่อน
ออกหนังสือแบบนี้ต้องแบกรับความเสี่ยงสูงมาก ส่วนแบ่งค่ารอยัลตี้กับเงินรับประกันขั้นต่ำ สามารถขาดทุนได้อย่างง่ายดาย
แต่หลังจากที่จางเย่าเฉิงอ่าน ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ และทำความเข้าใจผลตอบรับของหนังสือเล่มนี้จากนักอ่านในล่างฉาวบุ๊กแล้ว เขาจึงตัดสินใจเซ็นสัญญาและจ่ายเงินที่สูงที่สุดให้กับนักเขียน
นี่ไม่ใช่แค่การร่วมงานที่ดีอย่างต่อเนื่องกับลู่เฉินสตูดิโอเท่านั้น ที่สำคัญที่สุดคือ จางเย่าเฉิงเกิดความสนใจนิยายกำลังภายในเล่มนี้เป็นอย่างมาก ความรู้สึกไวของมืออาชีพบอกเขาว่า ในตลาดของการอ่านหนังสือแนวโบราณ ต้องมีพื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับ ‘กระบี่เย้ยยุทธจักร’ อย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้นหลังจากที่ทราบว่าลู่เฉินกลับมาจากฮ่องกงแล้ว เขาจึงรีบมาหาที่สตูดิโอทันที พร้อมกับมอบตัวอย่างหนังสือที่เตรียมไว้อย่างดี เพื่อให้ได้รับการยืนยันว่าจะได้สัญญาตีพิมพ์ฉบับนี้
จางเย่าเฉิงเชื่อว่า ความจริงใจของตัวเองมากพอที่จะได้ร่วมงานในครั้งนี้
และในความเป็นจริงก็ไม่ทำให้เขาต้องผิดหวัง
…………………………………………………………………………