บทที่ 637 สุดยอดอำนาจแห่งฟ้าบุพกาล
หานเจวี๋ยถามด้วยความแปลกใจ “บรรพชนจอมเวทล้วนดับสูญไปแล้วมิใช่หรือ”
หรือว่าบรรพชนจอมเวทจะเป็นเช่นเดียวกับตี้จวินและจักรพรรดิบูรพา มิได้ดับสูญไปอย่างแท้จริง
จักรพรรดินีผืนพิภพกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ข้าได้ยินเสียงเพรียกหาของพวกเขาจริงๆ”
“เช่นนั้นท่านหาพบหรือไม่”
“ไม่เลย”
“ระวังด้วย อาจจะเป็นกลลวง”
หานเจวี๋ยเอ่ยเตือน ถึงแม้จักรพรรดินีผืนพิภพจะมิใช่อริยะมรรคาสวรรค์ แต่มีตำแหน่งสำคัญยิ่งนักในมรรคาสวรรค์ หากยมโลกเสียการควบคุม เช่นนั้นย่อมปั่นป่วนวุ่นวายเป็นแน่
จักรพรรดินีผืนพิภพตอบรับ “ข้ารู้ดี ข้าจะไม่ออกไปอีก ครั้งนี้ที่เข้าฝันเจ้า จุดประสงค์คืออยากสอบถามว่าซูฉีมาจากการจัดสรรของเจ้าใช่หรือไม่ หากว่าใช่ ข้าจะถ่ายทอดดวงชะตาหกวิถีเข้าสู่ร่างเขา ช่วยเสริมตบะเขา ให้มีพลังควบคุมวัฏจักรได้”
หานเจวี๋ยรู้สึกแปลกใจ จักรพรรดินีผืนพิภพใจกว้างขนาดนี้เชียวหรือ
คล้ายจะสัมผัสได้ถึงสายตาของเขา จักรพรรดินีผืนพิภพจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ารั้งตำแหน่งนี้มานานเหลือคณา ตบะมิเคยก้าวหน้าขึ้นเลย จึงปลงไปนานแล้ว ซูฉีเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล บางทีหากอยู่ใต้การปกครองชี้นำของเขา วัฏจักรอาจจะก้าวหน้าไปได้ไกลกว่านี้ ข้าไม่ไว้ใจเหล่าอริยชน ไว้ใจเพียงเจ้าเท่านั้น เหตุผลที่ไว้ใจเจ้า เพราะข้าสัมผัสได้ถึงความก้าวหน้าของเผ่าเอกา หากมรรคาสวรรค์จำต้องมีผู้กุมอำนาจปกครองสักคน เจ้าคือตัวเลือกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในสายตาข้า”
[ความประทับใจที่จักรพรรดินีผืนพิภพมีต่อท่านเพิ่มสูงขึ้น ระดับความประทับในขณะนี้คือ 6 ดาว]
เดิมทีระดับความประทับใจที่จักรพรรดิผืนพิภพมีต่อหานเจวี๋ยก็สูงพอตัวอยู่แล้ว แต่หลายปีมานี้มีความผันผวนอยู่ตลอด เวลานี้มีระดับความประทับใจเพิ่มขึ้น ดูเหมือนสิ่งที่นางกล่าวมาจะเป็นความจริง
เมื่อคิดดูให้ละเอียดก็ถูกต้องแล้ว หากจักรพรรดินีผืนพิภพมีความเกี่ยวข้องกับแดนเทพหวนปัจฉิม ไหนเลยจะค้างอยู่ที่นี่มาตลอด
หลังบุกเบิกฟ้าดิน อริยะมรรคาสวรรค์ผลัดเปลี่ยนไปมากมายหลายรุ่น ทว่าจักรพรรดินีผืนพิภพก็ยังอยู่ที่นี่
หานเจวี๋ยเอ่ยไปว่า “ข้าไม่ต้องการเป็นผู้ปกครองมรรคาสวรรค์ เพียงแต่มรรคาสวรรค์สามารถปกป้องข้าได้ ดังนั้นท่านวางใจเถิด ข้าจะทุ่มสุดกำลังเพื่อปกป้องมรรคาสวรรค์”
จักรพรรดินีผืนพิภพยิ้มน้อยๆ ด้วยความเบาใจ
ทั้งสองสนทนากันต่ออีกสักพัก จักรพรรดินีผืนพิภพถึงได้สลายแดนความฝัน
แม้แต่จักรพรรดินีผืนพิภพก็ยังแสดงออกว่าต้องการปกป้องมรรคาสวรรค์ ครานี้มรรคาสวรรค์เป็นปึกแผ่นอย่างสมบูรณ์แล้ว
หานเจวี๋ยรู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง
เป็นอย่างที่คิดจริงๆ หากต้องการรวมอำนาจให้เป็นหนึ่ง จะต้องมีอำนาจยิ่งใหญ่เข้ากดดัน!
หากมิใช่เพราะหานเจวี๋ยแข็งแกร่งมากพอ เหล่าอริยชนไหนเลยจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนเช่นนี้
จู่ๆ หานเจวี๋ยก็มีความคิดแปลกๆ ขึ้นมา อยากทำนายดูว่าหากพัฒนาตามรูปการณ์เช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ บทลงเอยของมรรคาสวรรค์จะเป็นอย่างไร
[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งหมื่นล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]
ดำเนินการต่อ!
หานเจวี๋ยเข้าสู่ภาพลวงตาวิวัฒนาการ
ทันใดนั้น หัวใจหานเจวี๋ยพลันเต้นกระหน่ำ
เมื่อเกิดภาพลวงตาวิวัฒนาการขึ้นนั่นหมายความว่ามีจุดจบ
หากสงบสุขราบรื่นไปตลอดย่อมไม่มีทางปรากฏจุดจบที่แน่ชัดตายตัวขึ้น!
กล่าวอีกนัยคือ มรรคาสวรรค์จะปรากฏเหตุวิกฤตขึ้น!
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พบว่าตนมาโผล่หน้าตำหนักเอกภพ
หน้าตำหนักเอกภพมีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน แต่ละคนแผ่กลิ่นอายอันแกร่งกล้า หานเจวี๋ยกวาดสายตามอง
เลิศล้ำนัก!
อริยะมากกว่าร้อยตน!
ที่เหลือล้วนเป็นครึ่งอริยะทั้งสิ้น!
มรรคาสวรรค์พัฒนามาถึงระดับนี้ได้ ต้องใช้เวลานานแค่ไหนกัน
ตูม!
ประตูใหญ่ของตำหนักเอกภพเปิดออก จอมอริยะเสวียนตูรวมถึงเหล่าอริยชนก้าวออกมา ในบรรดานั้นมีคนที่หานเจวี๋ยไม่คุ้นหน้าอยู่ด้วย
หลี่เต้าคง สือตู๋เต้าและฟางเหลียงก็อยู่ในกลุ่มด้วย
จอมอริยะเสวียนตูสีหน้าตึงเครียด อริยะที่เหลือก็เช่นกัน
“พวกเจ้าพร้อมเผชิญหน้ากับสุดยอดอำนาจแห่งฟ้าบุพกาลแล้วหรือยัง”
มหาจักรพรรดิเซียวตะโกนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เสียงดังก้องไปทั่วชั้นฟ้าที่สามสิบสาม
“พร้อมพลีชีพพิทักษ์มรรคาสวรรค์!”
เหล่าผู้ทรงพลังที่รวมตัวอยู่หน้าตำหนักเอกภพตอบรับอย่างพร้อมเพรียง ภาพฉากนี้ทำให้หานเจวี๋ยนึกถึงอนาคตของวังสวรรค์ที่เคยทำนายดูก่อนหน้านี้
หรือว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากับศัตรูคนเดียวกัน
ซ้ำวังสวรรค์ก็พ่ายแพ้แล้ว!
หานเจวี๋ยสัมผัสถึงบางอย่างได้ เขาเงยหน้ามองขึ้นไปทันที พลันมองเห็นว่าท่ามกลางความมืดมิดเหนือมรรคาสวรรค์ปรากฏดวงตาคู่หนึ่งขึ้น ทอดมองลงมายังมรรคาสวรรค์
เมื่ออยู่ต่อหน้าดวงตาคู่นี้ ทั้งเขตชั้นฟ้าที่สามสิบสามก็ดูเล็กจ้อยลงอย่างเห็นได้ชัด
แววตาเย็นชายิ่ง!
แม้แต่หานเจวี๋ยก็รู้สึกหนาวยะเยือกอยู่ในทรวง
นี่คือแรงกดดันของขอบเขตพลังชนิดหนึ่ง ทำให้หานเจวี๋ยก้มหน้าลงตามสัญชาตญาณ ไม่กล้าสบตา
ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่นเลย
“ทุกสิ่งล้วนเป็นอนิจจัง ข้าต้องการบุกเบิกเผยความจริง!”
เสียงหนึ่งแว่วดังขึ้น วินาทีนั้นปรากฏแสงสีขาวเจิดจ้าแยงตาส่องวาบไปทั่วชั้นฟ้าที่สามสิบสาม ทำให้ทุกสิ่งสิ้นสีสันไป
ภาพลวงตาวิวัฒนาการพังทลายลง
แปลว่ามรรคาสวรรค์ล่มสลายแล้ว!
หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วแน่น
เสียงเมื่อครู่นั้นเขาเคยได้ยินมาก่อน ในอดีตกาลเมื่อนานมาแล้ว ตอนเขาถูกลากเข้าสู่ฝันมายา ก็เคยได้คำพูดทำนองนี้เช่นกัน
อนิจจัง…
เป็นผู้ใดกันแน่
หานเจวี๋ยขมวดคิ้วแน่น
ตัวตนลึกลับนี้มิได้เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในอนาคตแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นตัวตนระดับสุดยอดตั้งแต่ตอนนี้แล้ว
วังสวรรค์ที่กวาดล้างแดนเทพหวนปัจฉิมได้ก็ยังต้านเขาไม่อยู่
มรรคาสวรรค์ที่มีกฎเกณฑ์เป็นของตัวเองก็ยังถูกเขาทำลายล้างอย่างง่ายดาย!
พลังระดับนั้นมิใช่นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้นแน่นอน จะต้องแข็งแกร่งกว่านั้นแน่!
ในใจหานเจวี๋ยเต็มไปด้วยความกดดัน มีศัตรูมากมายนั้นไม่น่ากลัวเลย ที่น่ากลัวคือไม่ทราบว่าศัตรูคือผู้ใด
หานเจวี๋ยไม่ยอมแพ้ ต้องการสอบถามว่าเสียงเมื่อครู่เป็นของผู้ใด
[เนื่องจากเกี่ยวข้องกับปัจจัยที่อยู่เหนือขีดจำกัดของระบบในขณะนี้ ไม่สามารถวิวัฒนาการได้]
หัวคิ้วของหานเจวี๋ยขมวดเป็นปมยิ่งกว่าเก่า
ต้องรีบฝึกบำเพ็ญแข่งกับเวลา!
จำเป็นต้องเร่งดำเนินแผนการกองทัพเทพมารด้วยเช่นกัน
ภาพวิวัฒนาการเมื่อครู่นี้ไม่มีหานเจวี๋ยปรากฏอยู่ นี่หมายความว่าอย่างไร
หานเจวี๋ยเดาว่าตัวเขาน่าจะตกใจจนเตลิดไป หรือไม่ก็ถูกฉุดรั้งควบคุมเอาไว้
หากว่าเป็นอย่างหลัง ก็แปลว่าอีกฝ่ายมิได้ตัวคนเดียว
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายไม่มีทางปรากฏตัวขึ้นภายในระยะเวลาอันสั้นนี้
หานเจวี๋ยปรับสภาพอารมณ์ มรรคจิตมั่นคงดั่งพุทธะ เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอย่างรวดเร็ว
….
จุดที่มีอุกกาบาตรวมตัวกันในแดนต้องห้ามอันธการ เงาร่างสองสายตัดผ่านกันไปมาอย่างรวดเร็ว พลังวิเศษนานาชนิดทำลายล้างอุกกาบาต เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น
ไกลออกไป
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและแม่ทัพฟ้าทมิฬลอยตัวอยู่กลางอวกาศ รับชมอย่างสงบ
แม่ทัพฟ้าทมิฬพลันเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “สมกับเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล ร้ายกาจโดยแท้ พวกเขาฝึกฝนพลังวิเศษได้โดยไม่เปลืองแรงเลย สัญชาตญาณการต่อสู้ก็แกร่งกล้ายิ่ง”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายยิ้มออกมา เอ่ยไปว่า “พวกเขามีคุณสมบัติพอจะทำให้วังสวรรค์ผงาดขึ้นมาได้ แม่ทัพฟ้าทมิฬ เจ้าเป็นผู้อาวุโส ต้องคอยอบรมชี้แนะพวกเขาให้มากหน่อย สามยอดแม่ทัพสวรรค์ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงไป หากพวกเจ้าสมัครสมานกลมเกลียว ไม่ช้าก็เร็วแดนเทพหวนปัจฉิมจะถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าเรา”
แม่ทัพฟ้าทมิฬตอบรับทันที “ย่อมเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ข้าไม่มีทางอิจฉาริษยาหรือกดขี่พวกเขาแน่นอน”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายมิได้เอ่ยอันใดต่ออีก เฝ้ามองหานทั่วและอี๋เทียนประมือกันต่อไป
เวลานี้เอง ทางด้านขวาของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายพลันปรากฏรอยแยกสายหนึ่งขึ้น ดวงตาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นในรอยแยก จ้องมองจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้าย เอ่ยว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมค้นพบมรรคาสวรรค์น้อยแห่งหนึ่งที่ถูกสิ่งอัปมงคลทำลายล้าง ต้องการรับสิ่งมีชีวิตในมรรคาสวรรค์น้อยแห่งนี้ไว้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“รับ ส่งตัวพวกเขาไปที่อาณาเขตอันธการ มอบหมายให้เจ้ารับผิดชอบจัดการ”
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายเอ่ยตอบ ตั้งแต่ต้นจนจบสายตาไม่ละไปจากพวกหานทั่วทั้งสองคนเลย
“รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
รอยแยกหดสมาน เสียงนั้นเลือนหายตามไป
จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายหันหลังกลับ เอ่ยทิ้งท้ายไว้ประโยคหนึ่งแล้วหายตัวไป “ยกพวกเขาให้เจ้าดูแล อย่าทำให้เราผิดหวัง”
แม่ทัพฟ้าทมิฬรีบโค้งคำนับ
….
ณ แดนเซียน
ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งพันปี
หนึ่งพันปีนี้ช่างรุ่งโรจน์นัก เหล่าอริยชนต่างเทศนาธรรมในอาณาเขตเต๋าอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังส่งสานุศิษย์มากมายออกไปทั่วปวงสวรรค์ ถ่ายทอดเผยแผ่มรรค
หลังจากเหล่าอริยชนปรองดองกันก็ทรงพลังยิ่ง ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งพันปี เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขา แดนเซียนก็มีบุตรแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นมากมาย ดวงชะตามรรคาสวรรค์เพิ่มพูนมหาศาล
มิใช่เพียงเท่านี้ เหล่าอริยชนก่อตั้งเมืองฟ้าบุพกาลขึ้นในเขตชายแดนแปดทิศของแดนเซียน ยามนี้มีเมืองฟ้าบุพกาลเก้าสาขาแล้ว
สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ ในหนึ่งพันปีนี้มีเผ่าพันธุ์หนึ่งผงาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เผ่ามนุษย์!
ภายใต้การเกื้อหนุนของหลี่เต้าคง เผ่ามนุษย์พัฒนาตนเองไปอย่างไม่หยุดยั้ง จึงผงาดขึ้นมาอีกครั้ง
………………………………………………………………