จิ้นเทียนหยู่ไม่เข้าใจคำพูดของเจียงป่าวชิง แต่เขาก็ไม่อยากเข้าใจอะไรแล้วในตอนนี้และเลือกจ้องมองใบหน้าของนางอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับต้องการสลักใบหน้าของนางเก็บไว้ในสมองอย่างไรอย่างนั้น
“เจ้าแน่ใจแล้วรึว่าจะไปกับไอ้แม่ทัพกงนั่น ?” ผ่านไปสักพัก เขาก็เอ่ยถามโดยที่ยังคงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น
เจียงป่าวชิงได้ยินน้ำเสียงแหบแห้งของจิ้นเทียนหยู่ มือบางเลื่อนถ้วยน้ำชาไปทางเขาและพูดแก้ไขให้ถูกต้อง “ข้าไม่ได้จะไปกับเขาเพราะอยากไปกับเขาหรือจะไปอยู่กับเขา ข้าแค่อยากไปหาพี่ชายข้าที่เมืองหลวง”
“เช่นนั้นเจ้ายังจะกลับมาอีกไหม ?”
เจียงป่าวชิงไม่ตอบ เพราะนางเองก็ไม่รู้คำตอบของคำถามนี้เช่นกัน
จิ้นเทียนหยู่ยิ้มเงียบ ๆ พลางยกถ้วยชากรอกใส่ปาก เช็ดปากและมองเจียงป่าวชิงแววตาลึกซึ้ง “ถ้าอย่างนั้นขอให้เจ้าเดินทางปลอดภัยก็แล้วกัน” พูดเสร็จเขาหมุนตัวเดินจากไปทันที
เจียงป่าวชิงไม่ได้ไปส่งจิ้นเทียนหยู่ที่หน้าบ้าน นางนั่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
เสียงฝีเท้าดังออกไปไกลเรื่อย ๆ ในตอนนี้เอง เจียงฉิงถึงจะชะโงกศีรษะและเดินถืออาหารที่ทำเสร็จแล้วเข้ามาก่อนจะเอ่ยถามเจียงป่าวชิงเสียงเบา “พี่ หัวหน้าสามไปแล้วหรือจ๊ะ ? เขาคงไม่กลับมาอีกใช่ไหมนะ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้า นางยังคงใจลอยเล็กน้อย ไม่รู้เลยจริง ๆ ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ในหัว
ได้ยินว่าจิ้นเทียนหยู่กลับไปแล้วเจียงฉิงค่อยโล่งอก เด็กหญิงตัวน้อยหันกลับไปยกอาหารมาที่ห้อง
จานเครื่องปั้นดินเผาถูกวางลงบนโต๊ะจนเกิดเป็นเสียงเบา ๆ เจียงป่าวชิงก็เหมือนเพิ่งดึงสติกลับมาได้และรีบไปช่วยจัดถ้วยกับตะเกียบอย่างเร็วรี่
เจียงฉิงใช้ตะเกียบคีบอาหารที่นางชอบกินมาใส่ในถ้วย หลังจากที่นางกินไปได้ไม่กี่คำ จู่ ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้จึงถามเจียงป่าวชิงอย่างไม่ชัดเจนเพราะอมตะเกียบไว้ในปาก “พี่ ไม่ใช่ว่าเราจะไปจากที่นี่ในวันมะรืนแล้วหรือ นี่หัวหน้าสามเขายังจะมาทำอะไรอีกล่ะนั่น ?”
มือที่กำลังคีบอาหารของเจียงป่าวชิงหยุดกึก แต่เพียงแค่ชั่วพริบตานางก็กลับมาเป็นปกติและพูดขึ้นยิ้ม ๆ “เขาแค่มาพูดคุยนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก”
เจียงฉิงส่งเสียงอุทานเบา ๆ ในลำคอ เมื่อเห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่ต้องการพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป นางจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างเอาใจใส่ “เอ่อ… เราต้องไปพร้อมกับหมาชายหญิงสองคนนั้นหรือจ๊ะ ?”
หมาชายหญิงนั้นหมายถึงมู่จิ้งอี๋กับหลี่อันหรู
ไม่ใช่แค่เจียงฉิงเท่านั้น ยามที่คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านพูดถึงมู่จิ้งอี๋กับหลี่อันหรู โดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะเรียกทั้งสองคนว่า “ไอ้หมาชายหญิง”
เจียงป่าวชิงไม่ได้ตำหนิอะไรเจียงฉิง นางส่ายตะเกียบพร้อมทั้งใช้คางชี้เด็กหญิงและเอ่ยขึ้น “อืม ไปด้วยกัน แต่ข้าขอสอนเจ้าไว้หน่อยนะเด็กน้อย สภาพแวดล้อมในยามปกติของหมู่บ้านเราเป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างก็มองสองคนนั้นว่าเป็นศัตรู การที่เจ้าเรียกพวกเขาแบบนั้นมันจึงไม่เป็นอะไร แต่ตอนที่อยู่ข้างนอกเจ้าต้องรู้ไว้ว่าไม่สามารถเรียกพวกเขาแบบนั้นต่อหน้าคนอื่นได้”
เด็กเล็กอย่างเจียงฉิงเข้าใจความหมายในคำพูดของเจียงป่าวชิง ห้ามเรียกแบบนั้นต่อหน้าคนข้างนอก แต่สามารถเรียกแบบนี้อยู่ในหมู่บ้านกับคนของตัวเองได้ไม่เป็นไร นางหรี่ดวงตาพระจันทร์เสี้ยวอันสดใสของนางลง “ได้เลย ข้าจะจำไว้จ้ะพี่”
…
ของของเจียงป่าวชิงมีไม่มาก แต่เรื่องการส่งต่อร้านยาหรือการตรวจเครื่องปรุงยาและการเขียนข้อควรระวังไว้เป็นตำราเล่มเล็กนี่สิที่สิ้นเปลืองเวลาทั้งวัน
ก่อนพลบค่ำ กู่ฟุ่กุ้ยใช้ให้คนมาเร่งเจียงป่าวชิงเพราะเขาจัดงานเลี้ยงอำลาให้นาง เจียงป่าวชิงจึงจัดการกับตัวเองอย่างเรียบง่ายและรีบไปที่งานเลี้ยงอำลากับเจียงฉิง
คนที่งานเลี้ยงมีไม่น้อยเลย หลายคนเตรียมของขวัญอำลาให้กับสองพี่น้อง กู่ฟู่กุ้ยเองก็ไม่ได้มาพูดร่ำลาหรือปลุกอารมณ์ใด ๆ เพียงแค่ขอให้ทุกคนกินดื่มอย่างสบายใจเท่านั้น
บรรยากาศเช่นนี้สบายใจกว่าการจากลาอย่างรู้สึกเศร้าสลดหรือปลุกอารมณ์เศร้าใด ๆ กันเสียอีก
ทว่าเวลาผ่านไปครู่ใหญ่ หลายคนดื่มหนักจนมึนเมาวิ่งเข้ามาร้องไห้กับเจียงป่าวชิง “ฮือ ๆ ๆ หมอเจียง หลังจากที่เจ้าไปจากที่นี่แล้ว หมู่บ้านของเราคงกลับมาเป็นเหมือนตอนแรกที่ไม่ว่าจะป่วยไข้บาดเจ็บอะไรก็ต้องจัดการกันเอาเองแบบนั้น…”
“ใช่ เราตัดใจจากเจ้าไม่ได้…”
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มและทำความเคารพพวกเขาด้วยการดื่มชาแทนเหล้า
ตลอดทั้งงานเลี้ยง จิ้นเทียนหยู่ไม่ได้พูดกับเจียงป่าวชิงสักคำ จวบจนถึงตอนที่งานเลี้ยงสิ้นสุด กู่ฟู่กุ้ยก็สั่งให้คนช่วยนำของขวัญอำลาของทุกคนกลับไปที่บ้านให้เจียงป่าวชิงและเจียงฉิง
และแล้ว สองพี่น้องก็ผ่านค่ำคืนสุดท้ายที่หมู่บ้านฟู่กุ้ย
……
วันต่อมา ตอนที่เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงกำลังจะไปจากหมู่บ้าน เจียงป่าวชิงไม่ได้พกของขวัญอำลาที่ทุกคนมอบให้ไปด้วย ไม่ว่าจะใหญ่หรือล้ำค่าแค่ไหนก็ตาม นางเลือกสิ่งของที่ง่ายต่อการพกพาไปเพียงนิด ๆ หน่อย ๆ และจัดเก็บเป็นถุงผ้าสองถุง จากนั้นนางกับเจียงฉิงก็พกติดตัวคนละถุง
แม้สองพี่น้องอาศัยอยู่ในหมู่บ้านฟู่กุ้ยมาตลอดสามปี แต่สัมภาระของพวกนางมีเพียงถุงผ้าหลัก ๆ สองถุงกับถุงเล็ก ๆ อีกเพียงไม่กี่ถุงเท่านั้น
ตอนที่เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงมาถึงทางเข้าหมู่บ้าน มีหลายคนนำโดยกู่ฟู่กุ้ยและซูรุ่ยเอ๋อร์กำลังรอพวกนางอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านก่อนแล้ว
เจียงป่าวชิงมองไปทางด้านข้าง มู่จิ้งอี๋กับหลี่อันหรูถูกมัดมือและปิดตาทั้งสองข้างเอาไว้ พวกเขายืนอยู่ข้าง ๆ หัวหน้าใหญ่
คงเป็นเพราะรู้ว่าตัวเองกำลังจะเป็นอิสระอีกครั้ง ใบหน้าขาวซีดของหลี่อันหรูจึงแดงดูมีเลือดฝาดเล็กน้อย ดูเหมือนนางกำลังยืนอยู่ข้าง ๆ อย่างสงบเงียบให้ความร่วมมือเป็นพิเศษ ทว่ามู่จิ้งอี๋กลับเม้มริมฝีปากแน่น
น้ำเสียงหวานหยาดเยิ้มของซูรุ่ยเอ๋อร์ปนด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “เสี่ยวชิงชิง ทำไมถึงพกของมาแค่นี้ล่ะ ? ข้าให้คนไปหยิบให้เจ้าอีกสักนิดเอาไหม ?”
คงเป็นเพราะได้ยินเสียงซูรุ่ยเอ๋อร์ มู่จิ้งอี๋ยืดหลังขึ้นทันที
“ไม่เป็นไร แค่นี้ก็พอแล้วล่ะ” เจียงป่าวชิงตอบเสียงเบาในขณะที่ซูรุ่ยเอ๋อร์ไม่มองไปทางมู่จิ้งอี๋แม้แต่นิดเดียว สายตาของนางจับจ้องไปที่เจียงป่าวชิงและยกยิ้มมุมปาก
“จากลาวันนี้ ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่นะ…”
ร่างกายของมู่จิ้งอี๋เหมือนจะแข็งทื่อขึ้นเรื่อย ๆ
“พอได้แล้วน้องสอง” กู่ฟู่กุ้ยยิ้มบาง ๆ “มีวาสนาถึงได้มาพบกัน และถ้ามีวาสนาต่อกันจริง ๆ ไม่นานพวกเราคงได้พบกันอีกอย่างแน่นอน”
คำพูดนี้ไม่รู้ว่าหมายถึงใครกันแน่
ซูรุ่ยเอ๋อร์ยกยิ้มมุมปาก นางลูบแส้เหล็กที่อยู่ตรงเอวของตัวเองแต่ไม่ได้พูดอะไร
ขณะนี้นางตั้งท้องมาเป็นระยะเวลาที่ถือว่าไม่นานมากนัก ประกอบกับรูปร่างของนางก็อรชรอ้อนแอ้นมาโดยตลอดจึงยังไม่ได้เป็นที่สังเกตของทุกคน และเจียงป่าวชิงเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน
…
คนกลุ่มหนึ่งคุมตัวมู่จิ้งอี๋กับหลี่อันหรูมายังสถานที่นัดพบ ที่นั่นคือจุดพักม้าซึ่งมีกองทหารและม้ายืนอยู่ด้านนอกจุดพักม้าตั้งแต่เนิ่น ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขามารอกันอยู่นานแล้ว
กงจี้นั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสง่าอยู่ตรงหน้าสุดและมองพวกกู่ฟู่กุ้ยเดินเข้ามาใกล้ด้วยสีหน้าเย็นชาตามปกติ สายตาประดุจเหยี่ยวของเขาตวัดจ้องไปที่เจียงป่าวชิง พอเห็นว่านางดูมีชีวิตชีวา เขาก็พลิกตัวลงจากม้าและเดินเข้าไปหาพวกกู่ฟู่กุ้ยอย่างรวดเร็ว
หลิวหมิงอันรีบเดินมาจากทางด้านหลังและพูดขึ้นทันที “จิ้งอี๋!”
มู่จิ้งอี๋ได้ยินเสียงพี่ชายตัวเองแต่เขากลับไม่รู้สึกสะเทือนอารมณ์แม้แต่น้อย เป็นหลี่อันหรูที่ตื่นเต้นดีใจจนน้ำตาไหล “อา… นั่นพี่หมิงอันใช่ไหม พี่หมิงอันใช่ไหม ?!”
หลิวหมิงอันลอบพูดในใจว่าดูเหมือนนางตกใจจริง ๆ เมื่อก่อนตอนที่นางเห็นใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของเขาก็มักรีบหลบหลีกแทบไม่ทัน แต่ตอนนี้เพียงแค่ได้ยินเสียงเขา นางกลับเป็นฝ่ายเรียกเขาว่าพี่หมิงอันอย่างกระตือรือร้นซะอย่างนั้น
กู่ฟู่กุ้ยส่งสายตาเป็นสัญญาณให้ชายสองคนออกมาพามู่จิ้งอี๋กับหลี่อันหรูที่กำลังถูกมัดมือปิดตาไปส่งให้กับอีกฝ่าย
ทางฝั่งของหลิวหมิงอันเองก็ไม่รู้ว่าไปได้เด็กรับใช้มาจากที่ใดเหมือนกัน เด็กรับใช้คนนั้นเดินเข้าไปช่วยแก้มัดให้หลี่อันหรู ส่วนมู่จิ้งอี๋ก็ถูกหลิวหมิงอันตัดเชือกที่มัดมือของเขาด้วยกระบี่
หลังจากได้รับอิสรภาพ เดิมทีหลี่อันหรูอยากโถมตัวเข้าไปร้องไห้ในอ้อมแขนของหลิวหมิงอัน แต่เมื่อนางเห็นใบหน้าที่ดูดุร้ายของอีกฝ่าย ประกอบกับนึกถึงชื่อเสียงอันน่าสะพรึงกลัวของหลิวหมิงอันกับการกระทำอันโหดร้ายในสนามรบของเขา นางก็หยุดชะงักทันที ใบหน้าเล็กขาวซีดรองไห้สะอึกสะอื้นและโถมเข้าไปในอ้อมแขนของมู่จิ้งอี๋แทน
“ฮือ ๆ ๆ พี่จิ้งอี๋ ในที่สุดเราก็เป็นอิสระแล้ว…”
.
.