บทที่ 106 เสิ่นหุนลงมือในฐานะผู้รักษาการแทน (ปลาย)
บทที่ 106 เสิ่นหุนลงมือในฐานะผู้รักษาการแทน (ปลาย)
คนที่เหลือฉวยโอกาสนี้ พากันเห็นด้วยอย่างเป็นธรรมชาติ
“วันนี้ข้าเข้าใจแล้วว่าตระกูลเสิ่นเปี่ยมด้วยความเมตตาและชอบธรรม อย่าได้โทษตระกูลเสิ่นมากจนเกินงามเลย”
“หากเหตุการณ์ไม่ใช่เพราะเซียวเทียนผู้นั้น เรื่องในวันนี้คงไม่เกิดขึ้น ข้าไม่กล่าวโทษตระกูลเสิ่นเพราะเรื่องนี้หรอก”
“ใช่แล้ว ๆ จิตใจของเซียวเทียนโหดเหี้ยมนัก ยามลงมือช่างไร้ความปรานี ต่างกับคุณหนูเสิ่นที่ยอมรับการไร้ความปรานีนั่น นางช่างจิตใจงดงามยิ่งนัก!”
ลู่หยวนได้ยินดังนี้ ในใจก็ได้แต่เย้ยหยัน
เพื่อฉวยโอกาสจากผู้อื่น จึงเมินเฉยต่อความอยุติธรรม
เมื่อครู่เหล่าผู้ชมยังทำตัวเหมือนชมการแสดง ไม่มีใครลุกขึ้นแสดงจุดยืนแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้ผลประโยชน์ถูกนำมามอบให้ จึงเริ่มพากันแสดงความเห็นเข้าข้างคนผิด
เมื่อเสิ่นหุนเห็นว่าทุกคนเริ่มต่อว่าเซียวเทียน จึงกล่าวทันทีว่า “เจ้าหนูเซียวเทียนคนนั้นเป็นคนทรยศ เพราะในอดีตที่เคยฝึกฝนร่วมกับคนในตระกูลเสิ่น เขาขโมยบางสิ่ง เป็นเหตุให้เกิดหายนะจนรากฐานการบ่มเพาะหายไป ตระกูลเสิ่นของข้าย่อมขัดแย้งกับศิษย์ที่ช่วงชิงของผู้อื่นเช่นนี้ แต่พอมาคิดว่าเซียวเทียนเป็นคนที่ท่านบรรพชนยอมรับ จึงยอมปล่อยตัวไป แล้วให้เหยียนเอ๋อร์จัดการถอนหมั้น”
“ตอนนี้ เจ้าหนุ่มนั่นมอบความรู้เรื่องปราณหลอมเป็นกระบี่ที่ครูพักลักจำจากคนในตระกูลเสิ่นไปให้เหิงอีเจี้ยน พวกเขาทั้งสองมาบุกพร้อมกัน ใช้ข้อตกลงสามปีเป็นข้ออ้าง แต่แท้จริงเขามาเพื่อให้ได้ตำราลับที่ตระกูลเสิ่นไม่เคยส่งมอบให้ใครมาก่อน แต่วันนี้พวกเขาพ่ายแพ้และหลบหนีไป”
เขาหยุดครู่หนึ่ง ก่อนสรุป “ตระกูลเสิ่นจะมีคำสั่งมอบรางวัลให้ใครก็ตามทราบข่าวคราวพวกเขา เราจะซาบซึ้งเป็นอย่างมาก!”
ทุกคนตอบรับด้วยการต่อว่า
“กลายเป็นว่าเจ้าสารเลวเซียวเทียนดีแต่โทษคนอื่นทั้งหมด! หากมีคนแบบนั้นอยู่ในตระกูล ข้าคงฟาดให้ตายในหนึ่งฝ่ามือไปแล้ว! ตระกูลเสิ่นอย่าไปยอมเด็ดขาด ต้องพาตัวเขากลับมาให้ได้!”
“ไอ้สารเลวคนนี้! คุณชายรองไม่ต้องห่วง หลังจากกลับไปแล้ว ข้าจะส่งคนไปสืบให้เอง ดูว่าจะสามารถตามหาคนผู้นี้เจอหรือไม่!”
“ข้าจะกลับไปให้ศิษย์สำนักสืบให้!”
หลังจากให้สัญญากันหมดแล้ว ผู้รักษาการแทนยกมือขึ้นคารวะ “เสิ่นหุนขอขอบคุณทุกท่าน!”
เขาเผยรอยยิ้มเยาะออกมา… บนใบหน้าที่มีแขนเสื้อขนาดใหญ่บดบังยามคารวะ
ไป๋ชิวเอ๋อร์เห็นดังนี้จึงขมวดคิ้ว ถามเสียงเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินเกี่ยวกับตระกูลเสิ่นมาบ้างเหมือนกัน แต่เหมือนมันจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหตุใดฟังคำพูดของเสิ่นหุนไม่ทันไร ทุกคนก็ตัดสินใจจุดยืนของตัวเองกันแล้ว”
ลู่หยวนยกมุมปาก “ไม่สำคัญหรอกว่าความจริงคืออะไร สิ่งสำคัญก็คือทุกคนในที่นี้รับรู้ว่า ขอเพียงยืนอยู่ข้างตระกูลเสิ่น พวกเขาก็จะได้ประโยชน์”
“โลกมันเป็นแบบนี้แหละ… เกียรติยศไม่คงทน มีเพียงผลประโยชน์เท่านั้นที่ยั่งยืน”
หลังจากคนที่เหลือคารวะเสิ่นหุนแล้ว ลู่หยวนก็เก็บโอสถและมอบให้คุณหนูไป๋ “สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเจ้า”
ในตอนนี้ ผู้อาวุโสที่ไปห้องโถงบรรพชนของตระกูลเสิ่นก็กลับมาแล้วเช่นกัน
“นายน้อย นี่คือหอกพันมังกรเก้าสวรรค์!”
หอกสีทองวางอยู่ตรงหน้าลู่หยวนโดยผู้อาวุโส บนหอกเล่มนั้นมีมังกรดุร้ายขดตัวอยู่รอบข้าง พร้อมเสียงร้องของมังกรเหนือหัวหอก
ลู่หยวนถือมันไว้พลางสะบัด เสียงมังกรกู่ร้องขึ้นทันที มันกึกก้องไปทั่วเมืองหลวน
ผู้ที่ยังอยู่ในบริเวณนั้นหันมามอง …จับจ้องสิ่งที่อยู่ในมือของลู่หยวน หอกพันมังกรเก้าสวรรค์ราวกับเทพสวรรค์ที่หวนคืน ถูกตรึงไว้กับด้านหลังของลู่หยวน
เสิ่นหุนมองตาม หลังจากเห็นหอกในมือของชายหนุ่ม ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มกลับแข็งทื่อทันที
นี่มันหอกพันมังกรเก้าสวรรค์ที่อยู่ในห้องโถงบรรพชนของตระกูลเสิ่นไม่ใช่หรือ?!
มันมาอยู่ในมือของบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร?!
ลู่หยวนรู้สึกว่าหอกเล่มนี้เหมาะมือนัก จึงเก็บเข้าแหวนเก็บของ
จังหวะนั้น ร่างของเสิ่นหุนวูบไหวมาหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม พลางเอ่ยถามทันทีโดยไม่สนใจเรื่องมารยาทอีกต่อไป “หอกในมือของบุตรศักดิ์สิทธิ์คือหอกพันมังกรเก้าสวรรค์ของตระกูลเสิ่นใช่หรือไม่?”
ลู่หยวนขมวดคิ้ว “เป็นหอกพันมังกรเก้าสวรรค์จริง แต่มันไม่ได้เป็นของตระกูลเสิ่นอีกแล้ว แต่เป็นของข้าต่างหาก!”
ผู้ฟังได้ยินดังนี้จึงเดือดดาลทันที เขาเฝ้าฝันถึงหอกพันมังกรเก้าสวรรค์มาได้พักใหญ่แล้ว แต่ลู่หยวนผู้นี้กล้าทำการขโมยของจากตระกูลเสิ่น คิดว่าไม่มียอดฝีมืออยู่ในตระกูลหรืออย่างไร?!
ในที่สุดตอนนี้เสิ่นหุนก็มีโอกาสได้ควบคุมตระกูลเสิ่นแล้ว หากในช่วงรักษาการแทน เขากลายเป็นสาเหตุทำให้อาวุธระดับจักรพรรดิหายไป แล้วท่านบรรพชนทราบเข้า ตำแหน่งของเขาก็จะหายไปทันทีเช่นกัน
“ข้าเกรงว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ทำเช่นนี้คงไม่เหมาะสมนัก!”
มีแววเชือดเฉือนในสายตาของเสิ่นหุน “หากท่านคืนหอกเล่มนี้ให้ ตระกูลเสิ่นจะทำเหมือนกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น!”
ลู่หยวนยิ้มออกมา “แล้วถ้าข้าไม่คืนให้ล่ะ เจ้ายังอยากได้มันคืนอยู่หรือไม่?!”
กลิ่นอายของคนฟังพลุ่งพล่านทันที เขากำลังจะลงมือ แต่สมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเสิ่นรีบก้าวเข้ามาห้ามปรามเอาไว้ พร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “หอกพันมังกรเก้าสวรรค์ตกเป็นของบุตรศักดิ์สิทธิ์เพราะเสิ่นโตวใช้มันเป็นเครื่องเดิมพัน”
เมื่อได้ยินดังนี้ แรงกดดันหนักอึ้งของเสิ่นหุนหายไปโดยพลัน พลังอันแก่กล้าที่พลุ่งพล่านสลายไปในบัดดล
ผ่านไปหนึ่งอึดใจ โทสะของผู้รักษาการแทนก็หายไปเมื่อใดไม่ทราบ มันกลับกลายเป็นความยินดีขึ้นมา
เขาดึงสมาชิกตระกูลเสิ่นคนนั้นมาไถ่ถาม “ที่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือไม่”
สมาชิกตระกูลเสิ่นคนนั้นพยักหน้า
เสิ่นหุนยินดีขึ้นมา เสิ่นโตวกล้าใช้อาวุธระดับจักรพรรดิของตระกูลมาเดิมพัน คิดจริง ๆ หรือว่าตระกูลเสิ่นเป็นของตัวเองเพียงผู้เดียว?!
หากข่าวนี้ไปถึงหูท่านบรรพชนเข้า พี่ชายคนนี้ไม่มีทางรอดชีวิตได้อย่างแน่นอน!
ถึงตอนนั้น เขาก็ไม่ต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้รักษาการแทนผู้นำตระกูลอีกต่อไป แต่จะได้เป็นผู้นำตระกูลจริง ๆ!
เสิ่นหุนยกมือขึ้นคารวะคู่กรณี “บุตรศักดิ์สิทธิ์โปรดให้อภัยด้วย ข้าเสียมารยาทเอง เชิญท่านพักผ่อนตามสบาย หากต้องการอะไรก็เรียกข้าได้ทุกเมื่อ!”
เมื่อกล่าวจบ เสิ่นหุนก็ลากคนผู้นั้นไปอีกที่ ยังคงถามต่อไปว่า “เสิ่นโตวเสียอะไรไปอีกบ้าง เขาทำอะไรลงไปอีก บอกข้ามาให้ละเอียด!”
ลู่หยวนเห็นดังนี้จึงได้แต่ยิ้มแหยออกมา ก่อนนำกลุ่มคนกลับไปที่ห้องพัก
ตอนนี้ เรื่องงานเลี้ยงวันเกิดของตระกูลเสิ่นนับว่าไม่มีอะไรแล้ว สิ่งต่อไปที่รอคอยพวกเขาอยู่คือสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ในห้องโถง ลู่หยวนเอนกายอย่างเกียจคร้าน โดยมีไป๋ชิวเอ๋อร์ป้อนผลไม้ให้
หลังจากชายหนุ่มครุ่นคิดเกี่ยวกับสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ เขาก็เบือนสายตาไปทางฉินอี่หานผู้กำลังนั่งอยู่ด้านข้าง
นับตั้งแต่ผู้ฝึกกระบี่หญิงกลับมา นางก็นั่งอยู่ด้านข้างด้วยสายตาที่ไม่สามารถอ่านอารมณ์ได้
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?”
ลู่หยวนพลันเปิดปาก เมื่อฉินอี่หานกลับมามีสติ เขาจึงถามต่อว่า “หรือว่าเจ้ากำลังคิดเกี่ยวกับสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์”
ฉินอี่หานเม้มริมฝีปาก จากนั้นตอบว่า “หากนายท่านอยากรู้ว่าข้าคิดอะไรอยู่ แค่ใช้พลังของยันต์ก็ได้ไม่ใช่หรือ ทำไมต้องเสียเวลาถามด้วย”
ชายหนุ่มระบายยิ้ม แม้จะมีบริวารหลายคนอยู่ข้างกายเขา แต่มีเพียงศิษย์พี่ฉินที่ปากกล้าเช่นนี้
ผู้ฝึกกระบี่หญิงรินชาให้ตัวเอง จากนั้นกล่าว “ถ้าตระกูลเสิ่นรู้ว่าท่านช่วยพวกเหิงอีเจี้ยนเอาไว้ พวกเขาอาจจะไม่ปล่อยไปง่าย ๆ แบบนี้”
ลู่หยวนมีสีหน้าเรียบเฉย “พวกเขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร? ต่อให้คาดเดาเกี่ยวกับข้าได้ แต่จะกล้าแข็งขืนกับข้าอย่างนั้นหรือ”
ฉินอี่หานจิบชาพลางยกมุมปาก คิดตามคำพูดของอีกฝ่าย “หากพวกเขารู้เข้า ย่อมต้องหาทางรั้งตัวไว้ในเขตแดนลับ จากนั้นก็มอบความตายให้เจ้า”
“มอบความตายให้ข้าน่ะหรือ?”
ลู่หยวนพลันครุ่นคิดสักพัก รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นที่มุมปาก “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ควรขอบคุณพวกเขาที่มอบของดีให้ถึงที่เช่นนี้”