บทที่ 110 ลอบพบเสิ่นโตว (ต้น)
บทที่ 110 ลอบพบเสิ่นโตว (ต้น)
“คุกใต้ดินหรือ?!”
เสิ่นหุนตกตะลึงสักพักก่อนจะได้สติ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าทันที “ทำได้ดีมาก! ทำได้ดีมาก!”
“เสิ่นโตว เจ้าสมคบคิดกับคนนอก ข้าคิดว่าครั้งนี้เจ้าตายแน่นอน!”
ข้ารับใช้ยังคงคุกเข่า กล่าวด้วยความเคารพว่า “ผู้อาวุโสฝากถามมาว่าจะให้ทำอย่างไรขอรับ”
ผู้รักษาการแทนครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่ง “ให้เขาจับตาดูอยู่ห่าง ๆ ไม่ต้องเอาถึงขั้นได้ยินว่าทั้งสองพูดอะไร อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น แค่บันทึกไว้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่อยู่ข้างในนั้นนานเท่าไหร่”
ที่จริงเขารู้อยู่แก่ใจว่า ความเป็นไปได้ที่พี่ใหญ่จะทรยศตระกูลนั้นมีน้อยนิดนัก ดังนั้นการที่ลู่หยวนไปหาเสิ่นโตวช่วงกลางดึกนี้ จึงไม่ได้เป็นการสมคบคิดระหว่างทั้งสองแต่อย่างใด
ทว่า… อย่างที่หลี่เจียงหนานกล่าว ไม่ว่าเสิ่นโตวจะทำอะไร ก็ไม่สำคัญว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการทรยศหรือไม่
สิ่งสำคัญก็คือ… ตระกูลเสิ่นและท่านบรรพชนคิดกับพี่ใหญ่อย่างไรต่างหาก!
การที่เขาสั่งให้ผู้อาวุโสทำเช่นนั้น หากไม่ระวัง ทั้งลู่หยวนและเสิ่นโตวจะรู้ตัว จนรายละเอียดของบทสนทนาเหล่านั้นส่งผลให้เสิ่นโตวเป็นผู้บริสุทธิ์แทน โอกาสที่สวรรค์ประทานให้ในวันนี้ จะปล่อยให้มันสูญเปล่าได้อย่างไร?!
เพราะอย่างนั้นแล้ว ให้ทุกคนรับรู้ไปว่าเสิ่นโตวลักลอบพบกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่อย่างลับ ๆ ส่วนรายละเอียดการสนทนาไม่ชัดเจน รู้บ้างไม่รู้บ้าง
เพราะความไม่รู้ก่อเกิดผลตามมาได้หลายอย่าง!
เสิ่นหุนกลับห้องโถงใหญ่ ผ่านไปสักพัก หลี่เจียงหนานก็ออกไป
ในเวลาเดียวกัน ลู่หยวนห่มคลุมชุดสีดำตัวเก่ง ร่ายค่ายกลในมือ จนองครักษ์จำนวนมากหมดสติไป
ณ คุกใต้ดินเวลานี้ทั้งมืดและชื้น อวลไปด้วยกลิ่นที่ไม่น่าพึงประสงค์นัก
ชายหนุ่มก้าวมาข้างหน้า ผ่านไปสักพัก เขาก็พบสถานที่ที่เสิ่นโตวอยู่
ตอนนี้ตระกูลใต้อาณัติผู้นำตระกูลเสิ่นจะยังมีชีวิตชีวาอีกได้อย่างไร?
อาภรณ์ของชายวัยกลางคนแปดเปื้อนไปแล้ว เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางคุกใต้ดินเพียงลำพัง ด้านหนึ่ง เสิ่นซูเหยียนผู้เสียเส้นชีพจรกระบี่กำลังนอนอยู่บนตักของบิดา อยู่ในห้วงนิทราแต่โดยดี
นอกจากทั้งสองแล้ว รอบข้างก็ถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลจำนวนมาก อักขระซับซ้อนปรากฏทุกหนแห่ง แสงสว่างสีทองหมองหม่นยังคงวูบไหวไปมา เผยพลังของค่ายกลดังกล่าว
เมื่อลู่หยวนยืนอยู่นอกค่ายกล เสิ่นโตวผู้อยู่ภายในค่ายกลก็ลืมตาขึ้นก่อนเงยหน้ามอง
แม้แต่เสิ่นโตวก็ไม่รู้ว่าทำไมบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ถึงมาเยือน แต่เขารู้ว่าที่นี่มีองครักษ์มากมาย ถึงขั้นมีผู้อาวุโสนั่งอยู่ด้านนอก แต่อีกฝ่ายกลับเข้ามาที่นี่เพียงลำพัง หากไม่ได้รับอนุญาตจากบรรพชน ชายหนุ่มก็เข้ามาที่นี่ด้วยการแบกรับความเสี่ยงเอาไว้
เขาไม่รู้ว่าลู่หยวนคิดอะไรอยู่ ดังนั้นจึงเอ่ยถามว่า “ทำไมบุตรศักดิ์สิทธิ์ถึงสนใจที่จะมาสถานที่โสมมในคืนนี้? ท่านไม่คิดว่าชุดจะเปรอะเปื้อนความสกปรกของที่นี่หรอกหรือ?”
ชายหนุ่มเปล่งเสียง “ไม่ต้องห่วง ตระกูลเสิ่นของเจ้าสกปรกอยู่แล้ว เทียบกับตระกูลลู่แล้ว ห้องโถงใหญ่ของเจ้าไม่ต่างจากคอกหมูเลย”
เสิ่นโตวได้ยินดังนี้ก็ไม่ได้แสดงท่าทีเดือดดาลเหมือนก่อนหน้า เขามองลูกสาวพลางลูบใบหน้านางอย่างทะนุถนอม กล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “เช่นนั้นก็ทำผิดต่อบุตรศักดิ์สิทธิ์เข้าเสียแล้ว”
ลู่หยวนชำเลืองมอง จับจ้องไปที่เสิ่นซูเหยียนก่อนจะกล่าวด้วยท่าทางที่สงบนิ่ง… พูดความจริงตามที่ใจคิด “นางไร้ประโยชน์แล้ว เส้นชีพจรกระบี่ถูกแผดเผา ต่อให้นางทุ่มสุดตัว รากฐานการบ่มเพาะทั้งหมดก็จะถูกกวาดล้าง ถึงนางจะอดกลั้นต่อเสียงเย้ยหยันของผู้อื่นได้ แต่ก็ไม่สามารถก้าวข้ามตัวเองไปได้หรอก”
มือของเสิ่นโตวชะงักค้าง เขาพลันเงยหน้าขึ้น แรงกดดันรอบข้างแผ่ออกมา
“แล้วข้าต้องขอบคุณเจ้ากับเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่?!”
ปราณกระบี่แก่กล้าพุ่งทะยานทันที มันตรงเข้าหาลู่หยวน
วิ้ง!
ค่ายกลรอบข้างสั่นไหวอย่างรุนแรง สะกดปราณกระบี่ในร่างของผู้นำตระกูลเสิ่นเอาไว้ทั้งหมด พลังอันแก่กล้าสลายไปทันที
เสิ่นโตวเหมือนกับราชสีห์บ้าคลั่ง ถึงแม้จะไม่สามารถใช้รากฐานการบ่มเพาะได้แม้แต่นิดเดียว แต่สายตาคล้ายกับสามารถกลืนกินผู้คนเข้าไปได้ เขาจ้องเขม็งมาที่ลู่หยวน
“หากไม่ใช่เพราะเจ้า เหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ต้องสู้กับเซียวเทียนในวันนี้! นางจะได้ไม่ต้องแพ้เซียวเทียน! นางจะได้ไม่แผดเผาเส้นชีพจรกระบี่!”
“ลู่หยวน! เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะเจ้านั่นแหละ!”
ผู้ฟังแสยะยิ้มหยัน ก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว และยืนอยู่ที่ขอบค่ายกล
“เสิ่นโตว เลิกฝันหวานได้แล้ว ต่อให้ไม่มีการต่อสู้ในวันนี้ เสิ่นซูเหยียนก็ยังแพ้อยู่ดี สุดท้ายนางก็จะถูกกดดันให้แผดเผาเส้นชีพจรกระบี่ไม่เปลี่ยนแปลง”
“ตั้งแต่วันที่เจ้าทิ้งเซียวเทียนไป ทุกสิ่งก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว”
“เซียวเทียนมีโชคชะตาจะต้องโบยบินออกมาจากหมู่เมฆ เอาชนะเสิ่นซูเหยียนด้วยกระบี่ นี่เป็นเพราะพลังของเขา ส่วนบุตรสาวเจ้าก็มีแต่ต้องแผดเผาเส้นชีพจรกระบี่”
ลู่หยวนส่ายหน้าแล้วยิ้มออกมา “นี่ไม่ได้มีสาเหตุมาจากเซียวเทียน แต่สาเหตุมาจากเจ้า! เสิ่นโตว เป็นเพราะเจ้าไร้ความสามารถ ทำให้ไม่สามารถควบคุมการตัดสินใจของเสิ่นฉงได้ ด้วยเหตุนี้เสิ่นซูเหยียนจึงต้องแผดเผาเส้นชีพจรกระบี่จนมาอยู่ในจุดนี้”
“หากเจ้าเป็นผู้นำตระกูลเสิ่นแห่งนี้จริง จุดจบของเสิ่นซูเหยียนคือความพ่ายแพ้เท่านั้น ไม่มีทางลงเอยแบบนี้ สภาพไม่ต่างจากตะเกียงไร้น้ำมัน ไม่มีโอกาสพลิกฟื้นได้อีก”
ขณะที่ลู่หยวนกล่าวเช่นนั้น พลังทั้งหมดของเสิ่นโตวก็ถูกดึงดูดมาที่เขา แต่อีกฝ่ายไม่รู้ตัวว่ามีพลังสีดำพุ่งออกมาจากร่างของบุตรศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน มันเคลื่อนผ่านค่ายกลจำนวนมาก ทะลวงเข้าสู่ร่างกายชายวัยกลางคนแทนที่
ทันทีที่บุตรศักดิ์สิทธิ์กล่าวจบ ดวงตาของเสิ่นโตวพลันเป็นสีชาด เขากล่าวโทษตัวเองสักพัก ก่อนที่เสียงของเสิ่นซูเหยียนจะดังขึ้นที่หูของเขา
“ท่านพ่อ! ทำไมท่านถึงไม่ห้ามบรรพชน!?”
“บรรพชนบังคับให้ข้าแผดเผาเส้นชีพจรกระบี่ แต่ท่านถึงกับยืนดูเฉย ๆ เป็นท่านที่ผลักข้าลงไปในหลุมเพลิง!”
“เป็นท่าน …ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน!”
เสิ่นโตวรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมา ความคิดนับไม่ถ้วนไหลหลั่งเข้าสู่จิตใจ ราวกับทุกสิ่งเริ่มพร่าเลือน
“เหยียนเอ๋อร์ ไม่ใช่พ่อนะ! ไม่ใช่พ่อ!”
ผู้นำตระกูลเสิ่นกุมศีรษะ พึมพำกับตัวเอง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง สีชาดในดวงตาแทบจะปกคลุมสีขาวทั้งหมด
ลู่หยวนมองหน้าผากของชายวัยกลางคนที่ยังไม่มีเครื่องหมายคำสาปหุ่นเชิดมาร แต่เขาไม่รีบร้อน ดังนั้นจึงหาที่สะอาดนั่งลง เพื่อรอคอยเงียบ ๆ
ในตอนนั้นที่ควบคุมกู่หงเฟยได้ง่าย เป็นเพราะรากฐานการบ่มเพาะของกู่หงเฟยต่ำ แต่ตอนนี้เสิ่นโตวเป็นถึงปรมาจารย์ยุทธ์
สุดท้ายแล้วรากฐานการบ่มเพาะของลู่หยวนยังห่างชั้นจากอีกฝ่าย หุ่นเชิดมารนี้อาจจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ในวันนี้
แต่ต่อให้ล้มเหลว เมล็ดพันธุ์มารก็จะถูกปลูกถ่ายเข้าไป ดังนั้นขอเพียงใช้พวกมันให้ดีในอนาคต แล้วทำการกระตุ้นขึ้นมา เขาย่อมสามารถทำให้เสิ่นโตวอยู่ใต้อาณัติได้
หลังจากรอสักพัก เสิ่นโตวยังคงขัดขืน ยันต์ใบหนึ่งสั่นไหวในมือของชายหนุ่ม
ลู่หยวนหยิบขึ้นมาดู ก่อนจะเห็นแถวตัวอักษรปรากฏขึ้นบนยันต์
“หลี่เจียงหนานโน้มน้าวเสิ่นหุนได้แล้ว เมื่อเสิ่นฉงออกจากการเก็บตัวในวันที่สาม เขาจะรายงานเรื่องนี้ให้เสิ่นฉงทราบ!”
บุตรศักดิ์สิทธิ์สะบัดปลายนิ้วที่ถือยันต์ แถวตัวอักษรขนาดเล็กลอยไปตามสายลม
ฉินอี่หานทราบข่าวของหลี่เจียงหนานแล้ว แต่ดูเหมือนว่าทางฝั่งนางจะไม่สามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้
ชายหนุ่มเดาะลิ้น แต่ไม่คิดเสียเวลาอีก เขากระจายกลุ่มพลังมารเข้าไปที่เสิ่นซูเหยียนด้วยอีกคน บนหน้าผากของนางพลันมีเครื่องหมายคำสาปหุ่นเชิดมารปรากฏขึ้นมา
เขาไม่อยากดูแลเสิ่นโตวอีกต่อไป จึงก้าวออกจากที่นี่ บินออกจากคุกใต้ดินไปทันที