ในตอนนี้เองมังกรเพลิงออกมาและกล่าวว่า “พิฆาตวิญญาณหนีไปก็ดีเหมือนกัน หากให้เขาใช้กระบวนท่านั้นจริง ๆ แล้วละก็ ท่านพี่อาถิง เกรงว่าท่านกับพิฆาตวิญญาณต้องเจ็บตัวกันทั้งสองฝ่ายเป็นแน่!”
ผลั๊วะ! อาถิงต่อยมังกรเพลิงไปหนึ่งหมัด
“นี่เจ้าสร้างปณิธานให้เจ้าพิฆาตวิญญาณนั่น ทำลายศักดิ์ศรีข้าเหรอ มังกรเพลิงน้อย ข้าเห็นเจ้าแล้วข้าอยากจะต่อยเจ้าจริง ๆ!”
พิฆาตวิญญาณหนีไปแล้ว อาถิงโกรธมากจึงเอาความโกรธมาลงกับมังกรเพลิง!
มังกรเพลิงกล่าวด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจว่า “นายท่านช่วยข้าด้วย ท่านพี่อาถิงทุบตีข้า!”
“ทุบตีเจ้าแล้วยังไง พอคิดว่าหน้าตาเจ้าเหมือนกับเจ้าพิฆาตวิญญาณนั่นข้าก็คันมือขึ้นมาทันทีเลย”
เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ เปรี๊ยะ!
“ฮือ ๆ ๆ! นายท่าน…”
เมื่อสงครามหยุดลง กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็จางหายไป และแน่นอนว่ามีคนที่อยากรู้อยากเห็นต่างพากันมาที่นี่เพื่อดูว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
มู่เฉียนซีรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายนับไม่ถ้วนที่กำลังแห่กันเข้ามา นางกล่าว “พวกเรารีบไปกันเถอะ!”
“อืม!”
มู่เฉียนซีและพวกเพิ่งจะไป กู้ไป๋อีก็มาถึงทันที เขาจึงไม่ได้เจอกับมู่เฉียนซี
นอกจากพลังธาตุอัคคีอันดุเดือดนั้นแล้วยังมีพลังอีกพลังหนึ่งที่แข็งแกร่งพอ ๆ กัน เขาภาวนาในใจว่าซีเอ๋อร์จะต้องไม่เป็นอะไร
คนไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว กู้ไป๋อีจึงตามหาต่อไป!
“ฮ่า ๆ ๆ! กู้ไป๋อีไม่ได้อยู่ที่ตำหนักเป่ยหาน สวรรค์ช่วยข้าจริง ๆ”
ไส้ศึกที่อยู่ในตำหนักเป่ยหานส่งข่าวมาบอกไป๋อู๋ห่ายว่ากู้ไป๋อีไม่ได้อยู่ในตำหนัก ไป๋อู๋ห่ายจึงตื่นเต้นมาก!
“ทำลายตำหนักเป่ยหานก่อน ตัดกองกำลังที่คอยหนุนหลังมู่เฉียนซีซะ มู่เฉียนซีกับกู้ไป๋อีก็เหมือนสุนัขไร้บ้านแล้ว”
ไป๋อู๋ห่ายมองไปที่ชายวัยกลางคนคนหนึ่งและกล่าวว่า “ลงมือกับตำหนักเป่ยหานได้เลย ภารกิจนี้ข้ามอบหมายให้เจ้าเป็นคนจัดการ เจ้าเข้าใจสถานการณ์ในตำหนักเป่ยหานดี คงจะไม่มีปัญหาอะไร!”
ชายวัยกลางคนผู้นี้กล่าว “ท่านหัวหน้าตำหนักวางใจได้ ข้าน้อยทำภารกิจนี้สำเร็จได้แน่นอน”
ไป๋อู๋ห่ายจัดสรรกำลังคนให้เขาไปไม่น้อย ไม่นานนักเขาก็นำกองทัพบุกไปที่ตำหนักเป่ยหาน
คนของตำหนักเป่ยหานกำลังเป็นห่วงประมุขน้อยและหัวหน้าตำหนักที่ออกไปจากตำหนักทั้ง ๆ ที่ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ นึกไม่ถึงเลยว่าตำหนักตงจี๋จะน่ารังเกียจเช่นนี้ ฉวยโอกาสตอนที่ท่านหัวหน้าไตำหนักม่อยู่ลอบโจมตี!
“ตำหนักตงจี๋นำกำลังคนมาบุกแล้ว ตอนนี้พวกเราไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกมัน! รีบเปิดค่ายกลป้องกันเร็วเข้า!”
“เร็ว!”
ค่ายกลป้องกันของตำหนักเป่ยหานกองกำลังระดับสาม ต่อให้ตำหนักตงจี๋ทุ่มสุดกำลังก็ยากที่จะทำลายค่ายกลป้องกันนี้ได้
แต่ทุกอย่างก็มักจะมีข้อยกเว้นเสมอ!
ฉ่า! หลังจากที่เปิดค่ายกลป้องกันได้ไม่นาน จู่ ๆ ค่ายกลป้องกันก็แตกสลายลง
สีหน้าของผู้อาวุโสรองพลันเปลี่ยนไปมาก “เป็นไปได้ยังไง ค่ายกลป้องกันของตำหนักเป่ยหานจะแตกสลายง่าย ๆ เช่นนี้ได้ยังไง!”
น้ำเสียงอันเย็นยะเยือกเสียงหนึ่งดังขึ้น “มันง่ายแน่นอนอยู่แล้ว เพราะไม่มีใครจะเข้าใจค่ายกลนี้มากไปกว่าข้าแล้ว ผู้อาวุโสรองว่าจริงหรือไม่!?”
ผู้อาวุโสรองมองไปที่ชายวัยกลางผู้นั้น ใบหน้านี้ไม่คุ้นเคยเอาซะเลย ทว่า น้ำเสียงนี้ และ…
“เจ้า…เจ้าคือผู้อาวุโสสูงสุด…”
“ท่านหัวหน้าตำหนักบอกว่าท่านทรยศหักหลัง แต่ข้าก็ยังไม่ปักใจเชื่อ นึกไม่ถึงว่าท่านไม่เพียงแต่จะทรยศหักหลังเท่านั้น แถมยังไปเข้าร่วมกับตำหนักตงจี๋อีก!”
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “เจ้ารอง ข้าจะให้โอกาสเจ้า! รีบยอมจำนนซะ ถึงเวลาก็ฆ่ามู่เฉียนซีซะ เจ้าจะได้ประโยชน์ไม่น้อย! มิเช่นนั้นแล้วละก็…”
ผู้อาวุโสรองกล่าว “ไม่มีทาง! ฝ่าบาทมีคำสั่ง พวกเราต้องเชื่อฟัง นี่ท่านจะหักหลังฝ่าบาทอย่างนั้นเหรอ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดตกใจกับคำพูดนี้ “เป็นไปไม่ได้…ฝ่าบาทจะปกป้องสาวน้อยผู้นั้นได้ยังไง ข้าไม่เชื่อ!”
“พวกเราได้รับคำสั่งมาแล้วจริง ๆ ท่านอย่าได้หลงงมงายในความผิดจนโงหัวไม่ขึ้นอีกเลย”
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเย็นยะเยือกขึ้น “ในเมื่อฝ่าบาทจะปกป้องสาวน้อยนั่น เช่นนั้นข้าก็ยิ่งต้องทำลายตำหนักเป่ยหานให้สิ้นซาก!”
“ลงมือ! มันผู้ใดกล้าต่อต้าน ฆ่าให้หมดอย่าให้เหลือ!”
ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดออกคำสั่ง ยอดฝีมือของตำหนักตงจี๋เหล่านั้นก็เริ่มลงมือฆ่าทันที
ตูม ปัง ปัง! ในตำหนักเป่ยหานก็เกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น
“สู้ให้ถึงที่สุด! สู้กับพวกมันให้ถึงที่สุด!”
“……”
ผู้อาวุโสสูงสุดเข้าใจตำหนักเป่ยหานเป็นอย่างดี ทำลายจุดอ่อนของแต่ละคนไป ภายใต้การชี้แนะของเขา คนของตำหนักเป่ยหานก็พ่ายแพ้ย่อยยับไป
“ฆ่ามัน!”
พรวด! ผู้อาวุโสรองที่ต่อสู้กับผู้อาวุโสสูงสุดในตอนนี้ได้กระอักเลือดคำโตออกมาแล้ว
ใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดเผยรอยยิ้มเหี้ยมออกมา “เจ้ารอง เจ้าก็ติดตามข้ามานานหลายปีแล้ว ตราบใดที่เจ้ายอมจำนน ข้าก็จะไม่เอาชีวิตของเจ้า”
ผู้อาวุโสรองกล่าว “ข้าฟังเพียงคำสั่งของฝ่าบาทและท่านหัวหน้าตำหนักเท่านั้น ไม่ว่ายังไง ข้าก็ไม่มีวันทำเรื่องทรยศหักหลังตำหนักเป่ยหานเด็ดขาด วันนี้ หากจะตาย ข้าก็ขอตายที่ตำหนักเป่ยหานแห่งนี้!”
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายถึงเพียงนี้ ข้าก็จะทำให้เจ้าสมดั่งปรารถนา!”
ผู้อาวุโสสูงสุดลงมืออย่างเด็ดขาด ปรากฏตัวด้านหลังผู้อาวุโสรองอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจและโจมตีผู้อาวุโสรองมาจากด้านหลังอย่างรุนแรง
พรวด! เลือดสีแดงสดพุ่งกระฉูดออกมา ร่างของผู้อาวุโสรองร่วงตกลงมาจากกลางอากาศ สีหน้าซืดขาวราวกระดาษ
เขาจ้องมองผู้อาวุโสสูงสุดด้วยสายตาที่ดุดันก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ตำหนักเป่ยหานไม่มีทางถูกทำลายได้ ท่านหัวหน้าตำหนักกับประมุขน้อยไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่”
กล่าวจบ ดวงตาคู่นั้นของเขาก็ดับแสงลง และตายไปในสนามรบเพื่อตำหนักเป่ยหาน!
ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าว “ผู้อาวุโสรองของพวกเจ้าตายแล้ว พวกเจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกเหรอ วันนี้ ตำหนักเป่ยหานต้องถูกทำลาย ผู้ใดก็ขวางทางข้าไม่ได้”
“กองกำลังของเจ้ากำลังจะพ่ายแพ้ คิดไม่ถึงเลยว่ายังจะกล้ากล่าววาจาได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ เจ้า ไม่กลัวกัดลิ้นตัวเองตายบ้างรึไง!” น้ำเสียงเย้ยหยันเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างในชุดสีม่วงเคลื่อนไหวเข้ามาในตำหนักเป่ยหานอย่างรวดเร็ว
เมื่อเหล่าบรรดานักรบที่ต่อสู้จนได้รับบาดเจ็บสาหัสและเหนื่อยล้าเหล่านั้นในตำหนักเป่ยหานเห็นร่างที่งดงามไม่เป็นสองรองใครร่างนี้เข้า ดวงตาก็เปล่งประกายขึ้น
“เสียงของประมุขน้อย!”
“ประมุขน้อยมาแล้ว!”
“ประมุขน้อย รีบหนีไป!”
หลังจากดีใจที่ได้เห็นร่างนี้ได้ไม่นาน สีหน้าของพวกเขาก็ซีดเผือดลง!
สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายต่อประมุขน้อยมาก ท่านหัวหน้าตำหนักก็ไม่อยู่!
ผู้อาวุโสสูงสุดหัวเราะอย่างน่ากลัว ก่อนจะกล่าวว่า “มู่เฉียนซี ข้าไม่นึกเลยว่าเจ้าจะรนหาที่ตายถึงที่”
เขาพบว่ากู้ไป๋อีไม่ได้กลับมาพร้อมกับมู่เฉียนซี เขาจึงไร้ซึ่งความหวาดกลัว
และในตอนนี้เอง มู่เฉียนซีก็ชักกระบี่ออกมาแล้ว!
กระบี่มังกรเพลิงถูกชักออกมาจากฝัก เปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวรวมตัวควบแน่นอยู่กลางอากาศ เห็นได้ชัดว่ากลิ่นอายของมู่เฉียนซีนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาก
ในตอนนี้มีคนอุทานขึ้นว่า “ประมุขน้อยทะลวงพลังขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าได้แล้ว!”
“พระเจ้าช่วย! ระดับเก้าจริง ๆ ด้วย! ก่อนหน้านี้นางเพิ่งจะทะลวงพลังระดับแปดไปได้ไม่นานเองนะ!”
“ในตอนที่ประมุขน้อยมีพลังระดับแปดก็สามารถเอาชนะขั้นมหาจักรพรรดิระดับเก้าได้ ตอนนี้พลังนางระดับเก้าแล้ว นั่นหมายความว่า…”
เมื่อได้ยินคำพูดของคนเหล่านี้เข้า ผู้อาวุโสสูงสุดก็เผยรอยยิ้มดูถูกเหยียดหยาม
ไม่มีทาง!
คิดจริง ๆ เหรอว่าเขาจะเป็นเหมือนยอดฝีมือระดับสูงสุดธรรมดา ๆ เหล่านั้น
มู่เฉียนซีตะโกนขึ้นอย่างเย็นชาว่า “บัวแดงพิฆาต!”
ก่อนที่ผู้อาวุโสสูงสุดจะโจมตีออกมา บัวอัคคีสีแดงฉานนั้นได้พุ่งออกไปแล้ว และพลังทั้งสองได้ปะทะกัน
เสียง ตูม! ดังสนั่นหวั่นไหว พื้นที่โดยรอบดูเหมือนจะสั่นสะเทือน พลังอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรง
มู่เฉียนซีกับผู้อาวุโสสูงสุดถูกผลกระทบของพลังนี้จนร่างกระเด็นถอยออกไป ในขณะที่ทุกคนก็เดือดดาลขึ้นแล้ว
“ประมุขน้อยสู้ยอดฝีมือระดับสูงสุดได้อย่างสูสี”
“วันนี้มีประมุขน้อยอยู่ ตำหนักเป่ยหานของพวกเราต้องพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้แน่นอน!”
“……”
สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดโหดเหี้ยมขึ้น “พลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้อย่างนั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!”
มู่เฉียนซีมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชาพลางกล่าวว่า “ตำหนักเป่ยหานไม่เพียงแต่จะพลิกสถานการณ์กลับมาชนะได้เท่านั้น แต่เจ้าจะต้องกลายเป็นนักโทษอีกด้วย!”
.