ฝ่ายตำหนักตงจี๋มีไป๋อู่ห่ายกับเฟิงอวิ๋นซิวเป็นผู้นำ
ด้านหลังมีคนชุดขาวหลายสิบคนตามมา ดูท่าทางยังหนุ่ม แต่ขุมพลังความแข็งแกร่งดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่าไป๋อู๋ห่ายมาก
“สมกับเป็นตำหนักตงจี๋จริง ๆ แค่ยอดฝีมือปรากฏตัวออกมาก็น่ากลัวถึงเพียงนี้แล้ว” มีคนอุทานขึ้น
คนของกองกำลังระดับสอง และกองกำลังระดับสองครึ่งเดินทางมาร่วมชมเป็นจำนวนมาก หลังจากที่พวกเขาได้เห็นความแข็งแกร่งของตำหนักตงจี๋แล้ว พวกเขาก็อยากจะเลื่อนขั้นเป็นกองกำลังระดับสามบ้าง
แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้!
ห่างชั้นเกินไปแล้ว!
สายลมทะเลพัดกระโชกผ่านมาพร้อมกับกลิ่นอายที่เย็นยะเยือก
ทันใดนั้นเอง พวกเขาก็รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันเย็นยะเยือกที่มีพลังกดขี่ข่มเหง สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับหกตัวหนึ่งบินกระพือปีกอยู่บนท้องฟ้า
ชายชุดขาวลอยตัวลงมาดุจดั่งเทพเซียน ใบหน้าอันสมบูรณ์แบบเย็นยะเยือกดุจดั่งรูปปั้นหิมะก็มิปาน
ต่อมา ร่างในชุดม่วงก็ปรากฏตัวขึ้นตามมา
ร่างเพรียวบางงดงามอย่างสมบูรณ์แบบสวมชุดนักรบสีม่วงอ่อน ใบหน้าที่งดงามอย่างไม่เป็นสองรองใครนั้นช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
“หัวหน้าตำหนักเป่ยหาน!”
“ผู้นำตระกูลมู่!”
คนจำนวนมากอุทานออกมา!
ในขณะที่กู้ไป๋อีปรากฏตัวนั้น ชายชราผมดำผู้ที่เป็นหัวหน้าฝ่ายตำหนักตงจี๋ก็กล่าวขึ้นว่า “คนผู้นี้คือหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน นึกไม่ถึงเลยว่าจะสง่างามถึงเพียงนี้! นายน้อยเฟิง แน่ใจแล้วเหรอว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “มู่เหล่า เจ้าเป็นห่วงตัวเองจะดีกว่านะ!”
ขวับ ขวับ ขวับ! ในขณะเดียวกันนั้นร่างหลายสิบร่างก็จรดตัวลงมา ชุดดำขลับห่อหุ้มร่างกายที่แข็งแกร่งของพวกเขาเอาไว้
เมื่อมู่เหล่าเห็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นผู้นำของฝั่งตำหนักเป่ยหานผู้นั้นก็ตกตะลึงขึ้น “นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นเขา ฉู่เฟิง”
จู่ ๆ ตำหนักเป่ยหานก็มียอดฝีมือมากมายถึงเพียงนี้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
“ดูท่าการตัดสินชะตาของสองตำหนักในครั้งนี้ ทั้งสองคงไม่มีใครยอมใครแน่แล้ว!”
“นี่เป็นการสู้รบที่ยากจะได้เห็นในรอบหมื่นปีเลยจริง ๆ!”
คนของทั้งสองฝ่ายได้มากันครบแล้ว มู่เหล่าจ้องมองไปที่ร่างในชุดสีม่วงนั้นและกล่าวว่า “เจ้าคงเป็นมู่เฉียนซี เช่นนั้นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ก็อยู่ที่เจ้าสินะ”
มู่เฉียนซีเหลือบมองเขาและกล่าวว่า “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”
มู่เหล่ามองหญิงสาวที่งดงามอย่างไม่เป็นสองรองใครผู้นี้ พร้อมกับรู้สึกว่าหญิงสาวนางนี้ช่างดูคุ้นหน้าคุ้นตามาก
แววตาของเฟิงอวิ๋นซิวเคร่งขรึมขึ้น แม้ว่าพลังของมู่เหล่าจะไม่เลว แต่ด้วยสถานะของเขาแล้วอาจจะเคยเห็นองค์หญิงมาแล้วก็ได้
หากเขานึกขึ้นได้…
“หากว่าใช่ ก็เอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์มาให้ข้า! กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ คนสถานะเช่นเจ้าไม่อาจครอบครองได้ เจ้าไม่คู่ควร!”
ดวงตาที่เย็นชาคู่นั้นของกู้ไป๋อีเผยความเย็นยะเยือกออกมา ไม่นานนักกลิ่นอายของกระบี่อันเย็นยะเยือกนั้นก็พัดกระโชกไปที่มู่เหล่า
“เจ้าว่าใครไม่คู่ควร?”
สีหน้าของมู่เหล่าเคร่งขรึมลง แม้ว่าจะสกัดกั้นกลิ่นอายกระบี่ของกู้ไป๋อีได้ก็ตาม
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ร่นถอยหลังมาแม้แต่เพียงก้าวเดียว แต่เขาก็รับรู้ได้ชัดเจนว่าคนผู้นี้รับมือได้ยากมาก!
“นายน้อยเฟิง หัวหน้าตำหนักเป่ยหานผู้นี้เขา…”
เฟิงอวิ๋นซิวกล่าว “เจ้าอยากเปลี่ยนคน เปลี่ยนเป็นเจ้า เจ้ามีความมั่นใจเพียงใดว่าจะเอาชนะได้?”
มู่เหล่าผงะไป หากรับมือกับฉู่เหล่า เขายังพอมีความมั่นใจถึงห้าในสิบ แต่รับมือกับหัวหน้าตำหนักเป่ยหาน คาดว่าความมั่นใจของเขาเหลือเพียงแค่สามหรือสี่ในสิบเท่านั้น
มู่เหล่ากล่าว “เช่นนั้นต้องมอบให้นายน้อยเฟิงแล้ว”
ตระกูลเฟิง ผู้ใดก็ไม่อาจดูถูกได้ แม้ว่าเขาจะถูกสั่งให้ลงมาในแดนระดับต่ำนี้เพื่อตามหากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ จนความสามารถก้าวหน้าได้ช้าก็ตาม
ไป๋อู๋ห่ายกล่าว “กู้ไป๋อี ครั้งนี้พวกเรามาเพราะมีการนัดหมายกัน แต่เจ้าชิงลงมือก่อนเช่นนี้ ไม่เป็นการไม่เคารพกฎเกินไปหน่อยเหรอ?”
มู่เฉียนซี “พวกเจ้าหาเรื่องใส่ตัวก่อนเอง จะมาโทษพวกข้าได้ยังไงกันล่ะ ? ของอยู่ในกำมือข้า ผู้ใดคู่ควรหรือไม่ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเจ้าจะตัดสินได้”
มู่เฉียนซีกวาดสายตามองคนของตำหนักตงจี๋แต่ละคน เพื่อตรวจสอบดูว่าผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ที่ใด
ตาเฒ่านี่แอบซ่อนตัวได้ดีมาก หาไม่เจอเลย
แต่นางมั่นใจว่าตาเฒ่านั่นต้องอยู่ที่นี่แน่นอน
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความไม่พอใจว่า “เจ้าไม่คู่ควร! กระบี่เล่มนี้คู่ควรจะเป็นขององค์หญิงหลินหลางผู้สูงศักดิ์เท่านั้น แต่เจ้าเป็นแค่ผู้นำตระกูลมู่ เป็นไม่ได้แม้แต่กองกำลังครึ่งระดับ เจ้ามีสิทธิ์อันใด”
“เหอะ ๆ ๆ! คำพูดเช่นนี้ ข้าไม่ชอบฟังมันเอาซะเลยนะ!” ร่างอันมีเสน่ห์ร่างหนึ่งเดินออกมา
ร่างของคนผู้นั้นเพรียวบาง เดินอรชรอ้อนแอ้นมาข้างหน้าและกล่าวว่า “นายท่านของข้าเป็นถึงหนึ่งในเจ้าของหอหมอปีศาจ หญิงอัปลักษณ์เช่นเจ้าไม่รู้เรื่องนี้หรอกเหรอ?”
“หอหมอปีศาจรุ่งเรืองเพียงใด ทุกท่านในที่นี้ล้วนแต่รู้ดีอยู่แก่ใจแล้ว!”
คนอื่น ๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจขึ้น ความสามารถของหอหมอปีศาจในตอนนี้ไม่อาจดูถูกได้เลย!
อิทธิพลของหอหมอปีศาจในแดนตะวันออกไม่ด้อยไปกว่ากองกำลังระดับสามเลย นักปรุงยาของหอหมอปีศาจ ยาลูกกลอน และยารักษาโรคเป็นยาที่มีคุณภาพดีที่สุดในดินแดนสี่ทิศแล้ว
อำนาจนี้เพียงพอที่จะเทียบกับกองกำลังระดับสามได้ และสิ่งที่เหลือเชื่อมากไปกว่านั้นก็คือ หอหมอปีศาจใช้เวลาไม่ถึงสองปีก็พัฒนาก้าวหน้ามาถึงขั้นนี้แล้ว
เซียวเหยาโกรธมาก นายท่านของเขานั้นดีที่สุดแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์หรอก นายท่านเป็นถึงเจ้านายของหม้อเทพนิรันดร์ องค์หญิงหลินหลางบ้านั่นเทียบไม่ได้แม้แต่น้อย
มู่เหล่ากล่าว “ดินแดนสี่ทิศ ดินแดนชั้นล่าง ต่อให้เจ้าควบคุมได้ทั่วทั้งดินแดนสี่ทิศก็ไม่มีทางเทียบองค์หญิงแห่งราชวงศ์ตงหวงกองกำลังระดับห้าของพวกข้าได้ ข้านึกไม่ถึงเลยว่าดินแดนแห่งนี้จะมีคนที่ไร้ความรู้มากมายถึงเพียงนี้”
“ตาเฒ่า แน่จริงเจ้าก็ลองพูดต่อสิ!” ดวงตาของเซียวเหยาเปล่งประกายราวกับงูพิษก็มิปาน
จื่อโยวเองก็ไม่สามารถทนต่อไปได้อีกแล้ว “เหอะ ๆ ๆ! เป็นแค่องค์หญิงที่ไม่ใช่สายเลือดบริสุทธิ์ของราชวงศ์ตงหวงแค่คนเดียว พวกเจ้าคิดว่าองค์หญิงของพวกเจ้าอยู่เหนือฟ้าแล้วอย่างนั้นเหรอ?”
คนงามเป็นใคร นางเป็นถึงยอดดวงใจของเยี่ย เป็นชายาขององค์ชายแห่งคุกโลหิต ต่อไปก็จะกลายเป็นเจ้านายคนที่สองแห่งแดนนรก
คนอย่างมู่หลินหลางจะไปเทียบอะไรกับคนงามได้!
ก็เป็นแค่ไก่ป่าที่เอาขนเฟิ้งหวง (หงส์) มาติดประดับตัวเองตัวนึงก็เท่านั้น!
“นี่เจ้ากล้าดูหมิ่นองค์หญิงหลินหลางได้อย่างไร!” คนที่ราชวงศ์ตงหวงส่งมาเหล่านี้ต่างพากันโกรธเกรี้ยวกับคำพูดของจื่อโยวจนดวงตาแดงก่ำ
พวกเขาจงรักภักดีต่อองค์หญิงหลินหลาง องค์หญิงหลินหลางเปรียบเสมือนเป็นพระเจ้าของพวกเขา! พวกเขาทนเห็นคนอื่นกล่าววาจาดูหมิ่นเกียรติอันสูงส่งขององค์หญิงหลินหลางไม่ได้
น้ำเสียงอันเย็นชาของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น “ดูเหมือนสุนัขรับใช้ของมู่หลินหลางเหล่านี้จะถูกนางล้างสมองไปแล้วเป็นแน่! เห็น ๆ กันอยู่ว่ามันคือความจริง ไม่ได้ดูหมิ่นสักหน่อย”
สำหรับสุนัขรับใช้ของมู่หลินหลางเหล่านี้ เหลิ่งหนิงจือรู้จักดีเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนนี้เอง จื่อโยวเพิ่งจะสังเกตเห็นสาวงามที่มีท่าทางเย็นชาราวกับน้ำแข็งผู้นี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้น เขามีเหยื่อรายใหม่แล้ว!
“นี่เจ้าพูดอะไรของเจ้า?” สุนัขรับใช้ของมู่หลินหลางเหล่านี้โกรธยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือตอนนี้ดวงตาของพวกเราราวกับจะลุกเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นแล้ว!
ในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะชักกระบี่เข้าห้ำหั่นต่อสู้กันตลอดเวลาแล้ว
เหล่าบรรดาผู้ที่มาร่วมชมเหล่านี้ต่างรีบถอยห่างไปไกลทันที หากพวกเขาอยู่ใกล้ มีหวังต้องเกิดหายนะเป็นแน่
ในขณะที่พวกเขาหวาดกลัวว่าตำหนักกองกำลังยิ่งใหญ่ทั้งสองจะเปิดศึกสู้รบกันนั้น จู่ ๆ แสงสีทองอร่ามก็ปรากฏเจิดจรัสขึ้นบนท้องฟ้า เหยี่ยวสีทองตัวหนึ่งบินว่อนวนอยู่บนนั้น
“สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ระดับเจ็ด เหยี่ยวทองหมื่นลี้!”
“พระเจ้า! นี่มันสัตว์เทพพิทักษ์ของแคว้นเทพฟ้านอิน เหยี่ยวทองหมื่นลี้ ไม่นึกเลยว่าแคว้นเทพฟ้านอินจะเอามันมา ดูท่าแล้วแคว้นเทพฟ้านอินคงไม่ยอมให้ตำหนักตงจี๋กับตำหนักเป่ยหานก่อความวุ่นวายเกินเหตุเป็นแน่นอน”
เป็นอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ ภายใต้การเจิดจรัสของแสงแห่งธรรมนี้ ตำหนักเป่ยหานกับตำหนักตงจี๋ก็สงบลง
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกับอรหันต์ทั้งสิบแปดองค์จรดตัวลงมาจากลางอากาศ เขากล่าว “แดนตะวันตกอยู่ห่างไกลจากที่นี่เล็กน้อย พวกข้าก็มาเลยช้า ต้องขอโทษทุกท่านด้วย”
อินรั่วเฉินไม่ได้มาด้วย นี่เขาคิดจะหลบมุดหัวไปตลอดอย่างนั้นเหรอ?
.
.