“เวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไปแล้ว มู่เฉียนซี เจ้ายังมีความกล้าที่จะประลองกับข้าหรือไม่?” ไป๋เหยียนเอ๋อร์เดินไปข้างหน้าพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงถือดี
“แต่หากว่าเจ้าจะยอมแพ้ตอนนี้ก็ย่อมได้ เจ้าฆ่าตัวตายซะตั้งแต่ตอนนี้สิ!” ในตอนนี้ไป๋เหยียนเอ๋อร์หยิ่งผยองยิ่งนัก
มู่เฉียนซียิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวว่า “ไป๋เหยียนเอ๋อร์ เจ้าเสียงดังน่ารำคาญนัก!”
หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าว “ในเมื่อการประลองสองสนามแรกเสมอกัน สนามสุดท้ายนี้ก็ถือว่าเป็นสนามตัดสินแพ้ชนะก็แล้วกัน ประมุขน้อยมู่เฉียนซีแห่งตำหนักเป่ยหานกับธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋ไป๋เหยียนเอ๋อร์ ผู้ใดมีความเห็นต่างหรือไม่?”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กล่าว “ไม่มีเจ้าค่ะ!”
มู่เฉียนซีก็ขานรับ “ไม่มี!”
“เช่นนั้นก็เริ่มประลองสนามสุดท้ายได้!”
ทันทีที่หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินกล่าวจบ ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็พุ่งตัวไปที่แท่นประลองด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
ต่างจากมู่เฉียนซีที่เดินไปที่แท่นประลองด้วยท่าทางผ่อนคลายสบาย ๆ โดยที่ไม่เก็บคู่ต่อสู้อย่างไป๋เหยียนเอ๋อร์มาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย
ไป๋เหยียนเอ๋อร์รู้สึกโกรธจนสีหน้าดำคล้ำขึ้น มุมปากของเหล่าผู้ชมการประลองก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
ผู้นำตระกูลมู่ นี่เป็นสนามตัดสินชะตาชีวิตของสองตำหนักแล้ว แต่ท่านกลับทำท่าทางผ่อนคลายสบายใจเช่นนี้มันจะดีจริง ๆ เหรอ
มู่เฉียนซีมองหน้าไป๋เหยียนเอ๋อร์พลางกล่าว “ไป๋เหยียเอ๋อร์ วันนี้เจ้าเป็นคนหาเรื่องใส่ตัวเองนะ เช่นนั้นเจ้าก็ลงนรกไปพร้อมกับหมิงจีเลยก็แล้วกัน!”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตะคอกกลับ “มู่เฉียนซี เจ้ามันคุยโวโอ้อวดไร้ยางอายเกินไปแล้ว! พลังแค่ขั้นจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้อย่างนั้นเหรอ?”
แววตาของไป๋เหยียนเอ๋อร์เผยความเกลียดชังออกมา พร้อมกันนั้นพลังวิญญาณก็พรั่งพรูออกมาจากร่างของนางอย่างบ้าคลั่ง
“มหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าขั้นสูงสุด นี่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักตงจี๋ผู้นี้ฝึกฝนวิชาอะไรกันแน่เนี่ย?”
“ความเร็วในการฝึกฝนช่างน่าทึ่งเกินไปแล้ว!”
“……”
เมื่อทุกคนเห็นพลังความแข็งแกร่งของไป๋เหยียนเอ๋อร์ ต่างก็พากันประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ในตอนนี้เอง หัวหน้าแคว้นเทพฟ้านอินก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า “การประลองสนามที่สาม เริ่มได้!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของหัวหน้าแค้วนเทพฟ้านอิน ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ลงมือทันที
นางคิดว่าความเร็วของตนเองรวดเร็วที่สุดแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ามู่เฉียนซีจะเร็วกว่าก้าวหนึ่ง
“การตอบสนองของเจ้ายังช้ามากนะ!”
กระบี่มังกรเพลิงพ่นเปลวไฟอันน่าสะพรึงกลัวออกมา อุณหภูมิทั่วทั้งลานประลองพุ่งสูงขึ้นอย่างฉับพลัน
ทุกคนจ้องมองไปที่กระบี่ยาวสีแดงฉานอันสุกสกาวเล่มนั้นจนดวงตาแทบจะถลนออกมาแล้ว
คนชุดขาวของตำหนักตงจี๋เหล่านั้นกล่าวว่า “นั่นคือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์!”
“เปลวไฟนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ต้องใช่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์แน่นอน”
“พวกเราต้องเอากระบี่ศักดิ์สิทธิ์นิรันดร์ไปให้องค์หญิงให้ได้ ธิดาศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
“มังกรเพลิงสังหาร!” จู่ ๆ มังกรเพลิงสีแดงฉานตัวหนึ่งก็พุ่งออกมา ไป๋เหยียนเอ๋อร์รีบเรียกพลังแห่งนรกสีดำมืดออกมาเป็นโล่กำบัง
ปัง!
การโจมตีถูกขวางเอาไว้ได้ มู่เฉียนซีพุ่งเข้าใกล้ตัวไป๋เหยียนเอ๋อร์อย่างรวดเร็วอีกครั้งทันทีราวกับภูตผีที่ตามหลอกหลอน
“ทักษะโยวหลัว!”
ทักษะวิญญาณที่ผนึกไปด้วยพลังธาตุวารีอันแข็งแกร่งพุ่งไปที่ไป๋เหยียนเอ๋อร์
สีหน้าไป๋เหยียนเอ๋อร์เคร่งขรึมขึ้น พลังแห่งนรกสีดำมืดพลันเปลี่ยนเป็นกรงสีดำกรงหนึ่ง
“คิดว่ากรงกระจอก ๆ นี่จะขังข้าได้อย่างนั้นเหรอ?” มู่เฉียนซียิ้มมุมปากเล็กน้อย
“มังกรน้ำแข็งท้าสวรรค์!”
มังกรน้ำแข็งอันทรงพลังอย่างไร้ขอบเขตตัวหนึ่งพุ่งทะลวงกรงขังสีดำนี้ และชะล้างพลังสกปรกนั้นออกไป
ทันใดนั้นเอง บัวอัคคีอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ พลังอันน่าเกรงขามนั้นทำให้ไป๋เหยียนเอ๋อร์ตัวสั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน และรีบผันตัวหลบหลีกการโจมตีนี้ทันที
ตูม! บัวอัคคีโจมตีลงมาเกิดเป็นระเบิดเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน!
ภายในชั่วพริบตาเดียว พวกนางทั้งสองก็ต่อสู้ประมือกันไปหลายต่อหลายกระบวนท่าแล้ว
เหล่าบรรดายอดฝีมือที่มาชมการประลองนี้ก็ใช่ว่าเป็นคนที่ไม่มีสายตากว้างไกล เมื่อเห็นเช่นนี้พวกเขาต่างอุทานขึ้นว่า “ประมุขน้อยเฉียนซีผู้นี้ แม้ว่าพลังของนางจะเป็นแค่ขั้นจักรพรรดิ แต่การโจมตีของนางแต่ละกระบวนท่ามันช่างสมบูรณ์แบบยิ่งนัก!”
“มีประสบการณ์การต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก ผิดกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ไป๋ผู้นั้น! แม้ว่าระดับพลังวิญญาณจะสูง แต่ประสบการณ์ในการต่อสู้ก็ยังอ่อนด้อยมาก ถูกประมุขน้อยเฉียนซีควบคุมเข้าแล้ว”
“……”
ตั้งแต่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างกู้ไป๋อีกับเฟิงอวิ๋นซิวแล้ว พวกเขาก็รู้สึกว่าผลลัพธ์ไม่อาจคาดเดาได้จนกว่าการประลองจะสิ้นสุด
แม้ว่าพลังวิญญาณของมู่เฉียนซีกับไป๋เหยียนเอ๋อร์จะห่างชั้นกันถึงหนึ่งขั้นใหญ่ ๆ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าด่วนสรุปว่าผู้ใดจะเป็นฝ่ายชนะ
มู่เฉียนซีรู้ว่าพื้นฐานการฝึกฝนของไป๋เหยียนเอ๋อร์นั้นเต็มไปด้วยรูพรุนมากมายราวกับรังผึ้ง ไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ไม่ต่างอะไรกับเสือกระดาษแผ่นหนึ่ง ดูภายนอกน่าเกรงขาม แต่ภายในไร้ซึ่งอำนาจ
สีหน้าของไป๋เหยียนเอ๋อร์เคร่งขรึมขึ้น พลังแห่งนรกนับไม่ถ้วนพลันเปลี่ยนเป็นผ้าไหมสีดำ ทันทีที่ไป๋เหยียนเอ๋อร์ง้างมือขึ้น ผ้าไหมนั้นก็ได้ก่อตัวเป็นฝ่ามือหนึ่งที่มีความกว้างถึงสิบจั้ง
เงามืดอันน่ากลัวพุ่งไปปกคลุมมู่เฉียนซี ไป๋เหยียนเอ๋อร์ยิ้มพลางกล่าวว่า “มู่เฉียนซี เจ้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้อย่างไรกันเล่า”
“ฝ่ามือทมิฬ!”
ใช้พลังของหมิงจีแล้ว ใช้อุบายของหมิงจีแล้ว มู่เฉียนซีไม่มีทางประเมินศัตรูต่ำแน่นอน
พลังจิตของมู่เฉียนซีแผ่ซ่านออกมา เผชิญหน้ากับฝ่ามือทมิฬนั้น นางไม่หลบหลีกแต่อย่างใด อีกทั้งยังออกไปรับมืออีกด้วย
“มังกรเพลิง!”
มู่เฉียนซีเหวี่ยงกระบี่มังกรเพลิงไปที่มุมมุมหนึ่ง กระบี่ยาวกวัดแกว่งฟันไปที่ฝ่ามือนั้น!
เปลวไฟอันแดงฉานปรากฏอยู่บนท้องฟ้างดงามราวกับดอกไม้ไฟ ในขณะเดียวกันนั้นเองไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ตกใจจนนิ่งอึ้งไปแล้ว
“เป็นไปได้ยังไง?”
“มังกรน้ำแข็ง ทำลาย!”
ในขณะที่ไป๋เหยียนเอ๋อร์กำลังตกตะลึงอยู่นั้น บรรยากาศโดยรอบก็เย็นยะเยือกขึ้น มังกรน้ำแข็งพุ่งออกไปทำให้นางร่นตัวถอยหลังไปจนติดขอบแท่นประลอง
มู่เฉียนซีกำกระบี่มังกรเพลิงแน่น และกล่าวว่า “ไป๋เหยียนเอ๋อร์ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด พลังวิญญาณจะสูงมากเพียงใด แต่มันก็ไม่ใช่พลังของเจ้าอยู่ดี จุดอ่อนเจ้าโผล่ออกมามากมาย! เจ้าไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเลยแม้แต่น้อย!”
“ให้หมิงจีโผล่หัวออกมาได้แล้ว! ข้าจะคิดบัญชีกับนาง”
ไป๋เหยียนเอ๋อร์กัดฟันกรอดด้วยความโกรธ “มู่เฉียนซี นี่เจ้าว่าข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าอย่างนั้นเหรอ! ข้าเป็นถึงธิดาศักดิ์สิทธิ์แห่งตำหนักตงจี๋ อายุยี่สิบปีก็ฝึกฝนพลังวิญญาณถึงขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้าได้แล้ว จะไม่คู่ควรเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้อย่างไร”
การประลองในสนามนี้ ทุกคนก็ได้เห็นเป็นประจักษ์กันอยู่แล้ว
ฝึกฝนพลังวิญญาณได้ถึงขั้นนี้ได้ในขณะที่อายุยังน้อย พวกเขาย่อมชื่นชมอยู่แล้ว แต่ฝึกฝนด้วยทางที่ผิด พื้นฐานไม่มั่นคงเช่นนี้ ไม่มีอะไรให้น่าชื่นชมเลยสักนิด อีกทั้งยังถูกดูถูกเหยียดหยามอีกด้วย!
“ข้าไม่มีทางแพ้เจ้า ข้ามีกำลังพอที่จะเอาชนะคนอย่างเจ้าได้”
สีหน้าของไป๋เหยียนเอ๋อร์โหดเหี้ยมขึ้น หมอกควันสีดำย้อมร่างของนางไปทั้งร่าง และโจมตีมู่เฉียนซีไม่ยั้ง
“พิรุณทมิฬสังหาร!”
การโจมตีนี้รุนแรงมาก แต่ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของมู่เฉียนซีแล้วสามารถมองช่องโหว่มากมายนี้ออกได้
มู่เฉียนซีเคลื่อนไหวหลบหลีกได้อย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด คมศรสีดำเหล่านั้นพุ่งผ่านร่างของนางไป แต่กลับทำร้ายนางไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ทักษะร่างรวดเร็วมาก!”
“ต่อให้ข้ามีพลังขั้นมหาจักรพรรดิแห่งภูตระดับเก้า เกรงว่าความเร็วก็คงจะสู้ประมุขน้อยเฉียนซีไม่ได้แน่!”
“ประมุขน้อยเฉียนซีต่างหากล่ะที่เป็นอัจฉริยะที่แท้จริง!”
กระบี่มังกรเพลิงระเบิดเปลวไฟอันเร่าร้อนแผดเผาออกมาอีกครั้ง บัวอัคคีสีแดงฉานบานสะพรั่งขึ้นกลางอากาศ บัวอัคคีดอกนี้ ยิ่งบานสะพรั่งมากเท่าไรก็ยิ่งใหญ่ขึ้นมากเท่านั้น
ใหญ่มากจนสามารถครอบคลุมสองส่วนสามของแท่นประลองได้เลย!
ไป๋เหยียนเอ๋อร์เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น นางจึงโจมตีมู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่ง
“มู่เฉียนซี เจ้าไปตายซะเถอะ! ตายไปซะ!”
การโจมตีอย่างส่ง ๆ เช่นนี้ไม่สามารถทำอะไรมู่เฉียนซีได้เลย
มู่เหล่าที่ถูกจื่อโยวตบลงทะเลไปในเมื่อครู่ ตอนนี้ได้เปลี่ยนอาภรณ์และรีบมาที่นี่แล้ว เมื่อเขาเห็นการต่อสู้ของไป๋เหยียนเอ๋อร์ก็ถลึงตาจ้องมองไป๋อู๋ห่ายและกล่าวว่า “ไป๋อู๋ห่าย บุตรสาวของเจ้าช่างโง่เขลายิ่งนัก!”
“นี่เจ้าสั่งสอนบุตรสาวให้ฝึกฝนอย่างไรกัน เป็นเช่นนี้ยังคิดว่าจะเอาชนะได้เหรอ เจ้าฝันไปเถอะ!”
“หากทำภารกิจใหญ่นี้พลาดไป เจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือไม่?”
ไป๋อู๋ห่ายถูกดุด่าว่ากล่าวต่อหน้าผู้คนมากมายไปยกใหญ่ เขาฝืนยิ้มพลางกล่าวว่า “มู่เหล่าไม่ต้องกังวลไป บุตรสาวของข้าไม่มีทางพ่ายแพ้แน่นอน! ตำหนักตงจี๋ของเราเอาชนะได้แน่!”
.