พอเจี่ยนชิงหวาวันนี้ได้ยินว่ามั่วเชียนเสวี่ยมาที่เรือน นางจึงใคร่อยากจะเสวนากับมั่วเชียนเสวี่ย คุยเหตุและผลกับนางให้เข้าใจ เรือนของเจี่ยนชิงหวาไม่ได้อยู่ห่างจากเรือนของเจี่ยนชิงโยวมากนัก ครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็มาถึงเรือนของเจี่ยนชิงหวา
“หนิงเหนียงจื่อ สบายดีหรือไม่”
“เชียนเสวี่ยนสบายดี คุณหนูห้าไม่ต้องเป็นกังวล”
เจี่ยนชิงหวายิ้มเสแสร้ง ทว่าสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยนิ่งเฉย
“ได้ยินว่าท่านอาจารย์ของหนิงเหนียงจื่อสุขภาพร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก”
“เซียนเซิงสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรงมาโดยตลอด”
“ในเมื่อท่านอาจารย์สุขภาพไม่ดี เหตุใดท่านจึงไม่อยู่ปรนนิบัติดูแลเล่า” เจี่ยนชิงหวาวางตัวทระนงสูงส่ง คล้ายกับนายกำลังดุด่าบ่าวรับใช้อย่างไรอย่างนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเย็นยะเยือก สามีของนางสุขภาพร่างกายแข็งแรงหรือไม่ เกี่ยวข้องอันใดกับคุณหนูห้า นางสงสัยอย่างยิ่ง สมองของสตรีคนนี้เคยถูกประตูหนีบมาก่อนหรือไม่
“เรื่องในเรือนของเชียนเสวี่ย เชียนเสวี่ยย่อมมีวิธีของตนเอง สามีของเชียนเสวี่ย ย่อมมีเชียนเสวี่ยคอยดูแล คุณหนูห้าเป็นห่วงเกินไปหรือไม่” น้ำเสียงของมั่วเชียนเสวี่ยไม่สบอารมณ์
เจี่ยนชิงหวาเห็นนางพูดเช่นนี้ สีหน้าย่ำแย่ในทันที คิดไม่ถึงว่าสตรีบ้านนอกจะกล้าพูดกับนางเช่นนี้ ไม่ให้เกียรตินางอยู่เสมอ ทั้งยังพูดเสียดสีประชดประชัน
แต่ตอนนี้นางยังมีเรืองอ้อนวอนมั่วเชียนเสวี่ย ยังไม่อาจผิดใจกับนางได้ ด้วยเหตุนี้จึงยกน้ำชาตรงหน้าขึ้นมา ดับความคุกรุ่นในใจ
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นใบหน้าซีดเผือดของนาง เม้มกัดริมฝีปากจนขาว ทั้งโมโหและรู้สึกน่าขันไปพร้อมกัน
คุณหนูห้าแห่งตระกูลเจี่ยนช่างกล้าถามถึงสามีของผู้อื่นอย่างเปิดเผยไม่ละอายแก่ใจเช่นนี้
เห็นนางเป็นก้อนแป้งนุ่มนิ่มหรืออย่างไร ที่คิดอยากจะทำอะไรกับนางก็ได้
เจี่ยนชิงหวาดื่มน้ำชา ความโมโหบรรเทาลง ด้วยเหตุนี้จึงแสร้งยิ้มพร้อมกับพูด “หนิงเหนียงจื่อคิดมากไปแล้ว ในเมื่อตัวท่านเองไม่อาจดูแลท่านอาจารย์ได้ เช่นนั้นเหตุใดไม่หาภรรยาเอกจากตระกูลชั้นสูงตบแต่งเข้าเรือนเล่า เช่นนี้ตัวท่านเองจะได้มีเวลาว่าง และท่านอาจารย์จะได้มีตระกูลชั้นสูงคอยปกป้อง ในเวลาเดียวกันที่หนิงเหนียงจื่อได้สร้างชื่อ ท่านอาจารย์ก็จะได้มีคนดูแลเพิ่มอีกหนึ่งคนเช่นกัน”
นี่…นางรู้ตัวหรือไม่ว่ากำลังพูดอะไร ให้ตนต้อนรับสตรีอื่นเข้าเรือนเพื่อสามีตนเอง ทั้งยังเข้ามาในฐานะภรรยาเอก? นี่ควรจะจัดการเช่นไร
นางป่วยเป็นโรคอะไร ถึงได้มีความคิดต่ำช้าเช่นนี้ เสนอความคิดเช่นนี้ออกมาได้
พรวดดด มั่วเชียนเสวี่ยพ่นชาในปากออกมา น้ำชาพ่นไปตรงหน้าเจี่ยนชิงหวา
สมกับเป็นคนบ้านนอก หยาบคายเสียจริง คุณหนูห้าเจี่ยนชิงหวาเอียงศีรษะ หลบน้ำชาที่พุ่งมา ทว่าก็ยังคงถูกน้ำชากระเด็นโดนหน้า เวลานี้ไม่อาจระเบิดอารมณ์ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดด้วยความรังเกียจ
มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจ และไม่กล่าวขอโทษ เพียงแค่วางแก้วน้ำชาลง พูดด้วยความสงสัย “หาภรรยาเอกตบแต่งเข้าเรือน? เชียนเสวี่ยโง่เขลา คุณหนูโปรดอธิบายให้เข้าใจ”
เช็ดหน้าเสร็จ วางผ้าเช็ดหน้าลง เจี่ยนชิงหวาพูดขึ้น “ท่านอาจารย์สง่าผ่าเผย เจ้าสาวแต่งแก้เคล็ดไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นเจ้าแน่นอนว่าไม่อาจะเป็นภรรยาเอกได้ หากเจ้าหาภรรยาเอกจากตระกูลชั้นสูงมาแต่งเข้าเรือน เช่นนั้น มีการช่วยเหลือจากภรรยาเอก มีภรรยาเอกคอยสนับสนุน ท่านอาจารย์ย่อมขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรง ฐานะของเจ้าก็ย่อมสูงไปด้วย”
“ไม่รู้ว่าภรรยาเอกจากตระกูลชั้นสูงที่กล่าวถึงคือสตรีคนใด เชียนเสวี่ยโง่เขลาไม่อาจคิดได้”
“ตระกูลเจี่ยนคือตระกูลขุนนางอันดับหนึ่งของเมืองเทียนเซียงแห่งราชวงศ์เทียนฉี ทั้งยังเป็นตระกูลชั้นสูงกว่าร้อยปีที่มีน้อยนักในราชวงศ์เทียนฉี แน่นอนว่าตระกูลเจี่ยนคือตระกูลใหญ่ สำหรับภรรยาเอกนั้น…เจ้าคิดว่าชิงหวาเป็นอย่างไร”
เคยพบเจอคนไร้ยางอาย แต่ว่า ไม่เคยพบเจอคนไร้ยางอายมากขนาดนี้
ถ้อยคำนี้พูดอย่างชัดเจน นางไม่มีความจำเป็นต้องทนอีกต่อไป ผู้อื่นไร้ยางอายมาแย่งสามีถึงที่ หากนางยังเกรงใจ เช่นนั้นก็กลายเป็นดินโคลนให้ผู้อื่นเหยียบย่ำได้ตามอำเภอใจน่ะสิ
มั่วเชียนเสวี่ยพูดประชดประชัน “คุณหนูห้าเจี่ยนต้องการเสนอตัวเองหรือ ทว่า…เรื่องนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่เห็นด้วยอย่างมาก ขอเรียนถามคุณหนูห้าเจี่ยน เจ้าเคยเรียนตำราเตือนหญิงหรือไม่ เหตุใดจึงไร้ยางอายเช่นนี้ ยังไม่ได้ออกเรือนก็คิดอยากจะได้สามีของผู้อื่นแล้ว”
เจี่ยนชิงหวาเคยคิดถึงปฏิกิริยานับพันของมั่วเชียนเสวี่ยเมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางจะดีใจ? ประจบสอพลอ? ลังเล? หรือจะโศกเศร้า แต่ไม่เคยคิดว่านางจะโมโหเช่นนี้ เพราะถึงอย่างไร สตรีคนใดบ้างจะไม่อยากให้สามีของตนขึ้นสู่ตำแหน่งสูงได้โดยไม่เปลืองแรงบ้าง สตรีคนใดบ้างไม่อยากให้ฐานะของตนสูงศักดิ์ขึ้น บุรุษมีภรรยาและอนุมากมายไม่ใช่เรื่องแปลก!
เจี่ยนชิงหวาคิดไม่ถึงว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะพูดแทงใจดำนางเช่นนี้ ดวงหน้าซีดขาวในทันที ไม่อาจแสร้งเป็นคนดีได้อีก “เจ้าต่างหากที่ต้องร่ำเรียนตำราเตือนหญิง เจ้า…เจ้ามันภรรยาจอมริษยา”
“ข้าเป็นภรรยาจอมริษยาแล้วอย่างไร น่าเสียดาย บางคนอยากเป็นภรรยาจอมริษยา แต่ก็ไม่คู่ควร”
เจี่ยนชิงหวาสำลักกับถ้อยคำนี้จนเกือบหายใจไม่ทัน นางเป็นถึงคุณหนูตระกูลใหญ่ เหตุใดจะไม่คู่ควรกับปัญญาชนยากไร้คนหนึ่ง ริมฝีปากสั่นนานพักใหญ่ กว่านางจะเค้นคำพูดออกมาได้ “เจ้า…เจ้าต่างหากที่ไม่คู่ควรกับท่านอาจารย์หนิง!”
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้มเยือกเย็น “คุณหนูห้า คุณหนูพูดในฐานะใด ข้าคู่ควรหรือไม่คู่ควรก็ได้ตบแต่งเข้าเรือนแล้ว แต่คุณหนูเล่า เป็นคุณหนูในจวนใหญ่แต่กลับไร้ยางอายเช่นนี้ หรือว่าเจ้าคิดว่าตนเป็นหญิงที่รู้ใจสามีของข้า หากเป็นเช่นนี้ คุณหนูต้องถ่อมตน ร้องขอให้ข้าที่เป็นภรรยาเอกรับคุณหนูเข้าเรือน หากไม่ใช่ ก็อย่ามาทำตัวขายหน้าที่นี่ คุณหนูตระกูลผู้ดี หาผู้ชายให้ตนเอง นี่ไม่ใช่เรื่องดีงาม คุณหนูไร้ยางอาย แต่จวนเจี่ยนยังต้องรักษาเกียรติ”
“ภรรยาเอก? เจ้าเป็นเพียงเจ้าสาวแต่งแก้เคล็ด เรียนว่าภรรยาเอกได้อย่างไร”
“ข้าไม่อาจเป็นภรรยาเอก เช่นนั้นคุณหนูที่ไร้ยางอายก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์ สตรีเยี่ยงคุณหนู คุกเข่าขอร้องข้าข้ายังรู้สึกรังเกียจ”
เจี่ยนชิงหวาโมโหจนตัวสั่น แต่ยังคงฝืนตัวเองพูด “เจ้า หญิงหยาบคาย เจ้ามีความรู้ด้านกลอนกวี เข้าใจการเขียนพู่กัน ดีดพิณ เข้าใจการเดินหมากหรือไม่ ผู้มีความสามารถเช่นอาจารย์หนิง แต่งงานกับสตรีเช่นเจ้า ช่างน่า…”
มั่วเชียนเสวี่ยมองท่าทีของนาง ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือควรจะโมโห ไม่รู้จริงๆ นางมองจากตรงไหนถึงดูออกว่าหนิงเซ่าชิงเป็นผู้มีความสามารถ
“ช่างน่าอะไรหรือ” ไม่รอให้นางพูดจบ มั่วเชียนเสวี่ยรำคาญมานานแล้วจึงพูดแทรกขึ้นมา “กลอนกวีเอามากินแทนข้าวได้หรือไม่” กลอนที่นางรู้ บทกวีที่นางเข้าใจ เจี่ยนชิงหวาไม่แม้แต่จะเคยได้ยินด้วยซ้ำ ถามออกมาได้ ช่างไร้ยางอายเสียจริง
“เจ้า เจ้า…ต่ำช้าจนผู้อื่นไม่อาจทนได้” เจี่ยนชิงหวาถูกนางตอกกลับเช่นนี้ รู้สึกว่าไม่อาจเสวนากับหญิงหยาบคายเช่นนี้ได้ ยกแก้วน้ำชาขึ้น ร้องตะโกน “ชุ่ยจู๋ ส่งแขก!”
มีสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร ไม่สนใจอนาคตของสามีตนเองแม้แต่น้อย เมื่อตนตบแต่งเข้าไป จะให้ท่านอาจารย์ เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง แล้วให้เขาไล่ตะเพิดนางออกไปเสีย
มั่วเชียนเสวี่ยนับถือสติปัญญาของนางเล็กน้อย บอกว่าตนต่ำช้าจนผู้อื่นไม่อาจทนได้ หากมั่วเชียนเสวี่ยต่ำช้า เช่นนั้นเจี่ยนชิงหวาก็เลวทรามอย่างยิ่ง!
“ไม่ต้องส่ง เรือนเน่าๆ นี้ ข้าก็ไม่อยากอยู่” มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่หายโมโห จึงพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “หากคุณหนูยังไร้ยางอาย เช่นนั้นก็ไปขอร้องสามีข้าที่เรือน! ไม่แน่สามีข้าอาจจะเห็นแก่ความรักของคุณหนู ช่วยให้คุณหนูสมปรารถนา รับคุณหนูเข้าเรือนก็ได้”
“ส่งแขก!” เจี่ยนชิงหวาทนจนไม่อาจทนได้อีกต่อไปแล้ว ตระกูลหนิงนางย่อมไป นางจะไปบอกถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นหากเกี่ยวดองกับนางให้อาจารย์หนิงฟังด้วยตนเอง ทั้งยังจะให้อาจารย์หนิงเห็นถึงความเป็นกุลสตรีของนางด้วย! นางไม่เชื่อว่าเขาจะไม่หวั่นไหว สตรีที่อยู่ข้างกายเขาเป็นหญิงหยาบคายเช่นนี้ เป็นหญิงจอมริษยา นางไม่เชื่อว่าอาจารย์หนิงจะไม่ชอบนาง