เขาหลีกทางให้แล้ว เหตุใดเซ่าชิงยังปล่อยให้นางทรมานอยู่ในน้ำเย็น
ซูชีนึกบางอย่างขึ้นมาได้กะทันหัน แขนของมั่วเชียนเสวี่ยที่ยื่นออกมาจากถังน้ำ ยังคงมีกิตติพิรุณ ตอนนั้น เขาคิดว่าเป็นเพียงไฝสีแดงเท่านั้น
หรือว่า
หนิงเซ่าชิงก้มหน้าลงไม่พูดสิ่งใด มั่วเชียนเสวี่ยพูด “ท่าน…ท่านอย่าตำหนิคุณชายซูชี หากไม่ใช่เขา…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว” หนิงเซ่าชิงเคลื่อนมือของเขาไปที่ริมฝีปาก ยื่นมือออกไปปิดริมฝีปากของนางด้วยความสะอื้น ตอนนี้ นางปลอดภัยแล้ว เขาก็วางใจ เขาไม่กล้าฟังนางพูดเรื่องเลวร้ายที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น และยิ่งไม่กล้าคิดถึงมัน
“ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า!”
ตอนนี้ เขาเกลียดสองแม่ลูกนั่น หากไม่ใช่เพราะมีพิษอยู่ในกาย เขาย่อมโอบกอดนางเอาไว้ ทะนุถนอมนางให้มาก รักนางให้มาก ไม่มีวันปล่อยให้นางแช่ตัวอยู่ในน้ำนานเช่นนี้
ทุกนาทีที่ผ่านไป ทุกการสั่นเทาของมั่วเชียนเสวี่ย ล้วนราวกับกำลังกรีดเลือดเนื้อของเขา
เวลาผ่านไปช้าๆ เช่นนี้ หนิงเซ่าชิงสัมผัสได้ว่าความร้อนในมือของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ร้อนจนน่าตกใจเช่นนั้นอีก จึงช้อนตัวนางขึ้นมาจากถังน้ำ
มั่วเชียนเสวี่ยสวมเพียงเสื้อตัวใน ทั้งยังแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานาน ลุกขึ้นมาจากน้ำ เสื้อตัวในแนบชิดเรือนร่าง เผยให้เห็นร่างอรชร ราวกับไม่ได้สวมใส่อาภรณ์
เผชิญหน้ากับสายตาของหนิงเซ่าชิงที่กำลังมองหน้าอก มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกประหม่าเล็กน้อย “ท่านหันหลังไป”
หนิงเซ่าชิงหน้าแดงระเรื่อ รู้สึกเคอะเขิน ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกกระอักกระอ่วน
หากเป็นปกติ เขาจะพูดหยอกล้อไปว่า ‘เป็นสามีภรรยากันมานานแล้ว มีเรื่องอะไรให้เขินอายกันอีก’ ประมาณนี้แล้วค่อยหันหลัง ทว่าวันนี้เขากลับหันหลังทันที
ตอนนี้ เขาไม่มีสิทธิ์พูดหยอกล้อแล้ว…เขาไม่เคยคลอเคลียจูบหอมร่างเปลือยเปล่าของนางในตอนกลางวันมาก่อน มั่วเชียนเสวี่ยเองก็ไม่เคยเปลี่ยนอาภรณ์ต่อหน้าเขา ดังนั้น เรือนร่างนี้ เขาเคยจับ เขาเคยจูบ ทว่าไม่เคยเห็นอย่างชัดเจนมาก่อน
มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้นมาจากในน้ำ เขากลืนน้ำลาย เพียงแต่วันนี้เขารู้สึกว่าตนไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการกลืนน้ำลาย
ซูชีออกไปจากห้องไม่นาน อาซานและอาอู่ก็มาถึง
ดังนั้น เสื้อผ้าที่มั่วเชียนเสวี่ยสวมจึงไม่ใช่เสื้อผ้าที่ซูชีให้อาลู่ซื้อกลับมา แต่เป็นเสื้อผ้าที่หนิงเซ่าชิงให้อาอู่ซื้อ
รอมั่วเชียนเสวี่ยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หนิงเซ่าชิงหันกลับมา หยิบเสื้อคลุมของตนคลุมบนตัวมั่วเชียนเสวี่ย
เสื้อคลุมนี้เป็นเสื้อคลุมต้าฉ่างที่มั่วเชียนเสวี่ยเห็นว่าฤดูเหมันต์มาถึงแล้ว กลัวว่าในร่างกายของเขาจะมีพิษลมหนาว จึงให้หนีจื่อเย็บให้เขา
ขนชั้นนอกของเสื้อคลุมต้าฉ่างเป็นขนกระรอก แม้ไม่ได้ล้ำค่าแต่กลับอบอุ่นยิ่งนัก
เมื่อหนิงเซ่าชิงคลุมตัวมั่วเชียนเสวี่ยเสร็จ เขาไม่อยากหยุดแม้แต่วินาทีหนึ่ง จึงช้อนตัวนางขึ้นแล้วเดินออกไปด้านนอก
ตอนที่พวกมั่วเชียนเสวี่ยมาถึงก็เป็นเวลาบ่ายแล้ว หลังจากเกิดเรื่องมากมายขึ้น ฟ้าก็มืดแล้ว
เมื่อเดินไปถึงลานหน้าเรือน กลับเห็นซูชียังคงสวมเสื้อตัวในยืนอยู่ใต้ต้นเขียวหมื่นปี
แม้จะสวมเพียงเสื้อตัวใน แม้อากาศจะหนาวเย็น ตอนที่หนิงเซ่าชิงอุ้มมั่วเชียนเสวี่ยออกมาพัดเล็กๆ ของเขายังคงคลี่ออกเหมือนเดิม ยังคงหล่อเหลายิ่งนัก คล้ายตรงหน้ามีทิวทัศน์ให้มองสุดลูกหูลูกตา
ความเจ็บปวดบางอย่างอยู่ในใจตลอดไป เขายังคงเป็นคุณชายเจ็ดที่ไม่สนใจสิ่งใด หัวเราะให้กับโลกไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
ทว่า แม้ท้องฟ้าจะมืดแล้ว แต่รอยฟันบอกคอของเขายังคงชัดเจน ทำเอาหนิงเซ่าชิงเกือบจะโมโหอีกครั้ง คำว่าขอบคุณที่มาถึงริมฝีปากถูกกลืนกลับลงไปอีกครั้ง ทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ แล้วอุ้มมั่วเชียนเสวี่ยออกไปจากไป๋อวิ๋นจีอย่างรวดเร็ว
เมื่อขึ้นไปบนรถม้า มั่วเชียนเสวี่ยจามไม่หยุดอย่างไม่อาจหักห้ามได้
หนิงเซ่าชิงรีบคลุมตัวนางด้วยเสื้อคลุมต้าฉ่าง กอดมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ ฝ่ามือของเขากดลงบนแผ่นหลังของนาง ความอบอุ่นแผ่ซ่านออกมาจากแผ่นหลัง
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกว่าความเย็นในร่างกายค่อยๆ ลดลง เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปนางก็รู้สึกอบอุ่นไม่น้อย
หนิงเซ่าชิงเหงื่อท่วมตัว พอเห็นมั่วเชียนเสวี่ยตัวไม่สั่นอีกแล้ว ดวงหน้าของเขาก็ไม่มีความหนาวเย็น จึงถอนมือกลับ เก็บพลังปราณ จากนั้นโอบกอดนางอีกครั้ง
มั่วเชียนเสวี่ยร่างกายกลับมาอบอุ่น นางไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่นางอยู่กับซูชีตามลำพัง หนิงเซ่าชิงก็ไม่ได้ถามเช่นเดียวกัน ทั้งสองเงียบอยู่เช่นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จึงออดอ้อนบอกให้หนิงเซ่าชิงเล่าเรื่องสนุกๆ ตอนเด็กให้นางฟัง ทว่าหนิงเซ่าชิงกลับเล่าเรื่องตระกูลหนิงให้นางฟัง
ครั้งแรกที่เอ่ยถึงตระกูลหนิง คือตอนเปิดใจคุยกันครั้งแรกหลังจากหนิงเซ่าชิงตื่นขึ้นมาจากการหมดสติได้ไม่นาน แม้เขาจะพูดถึงตระกูลหนิง แต่ก็พูดอย่างผิวเผินเท่านั้น บอกว่าเป็นตระกูลใหญ่ที่เหมือนตระกูลใหญ่ทั่วไปจนไม่รู้จะเหมือนตระกูลใหญ่ทั่วไปอย่างไรแล้ว
ตอนพูดถึงครั้งที่สอง คือวันเกิดของหนิงเซ่าชิง เรื่องดีๆ ที่ทั้งสองปรารถนาไม่อาจทำสำเร็จ นางโมโหใหญ่โต หนิงเซ่าชิงจึงคลายความสงสัยให้กับนาง แต่ว่า ก็เล่าถึงเพียงมารดาเลี้ยงของเขาและน้องชายที่ไม่ได้เรื่องนั่น
ครั้งนี้ หนิงเซ่าชิงกลับเล่าได้ละเอียดมาก
พูดถึงบิดาของเขา พูดถึงอำนาจของตระกูลหนิง พูดถึงความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในตระกูลหนิง พูดถึงหน้าที่ของตระกูล พูดถึงเกียรติยศความรุ่งโรจน์ของตระกูล…
สังคมในยุคปัจจุบันไม่มีการพูดถึงเกียรติยศของตระกูลแล้ว สำหรับมั่วเชียนเสวี่ยแล้วเรื่องราวของตระกูลโบราณเป็นเรื่องแปลกใหม่ เหตุใดจะลองฟังเป็นนิทานไม่ได้เล่า มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย
เกิดใหม่มาอยู่ในราชวงศ์เทียนฉี ฐานันดรศักดิ์ของมั่วเชียนเสวี่ยราวกับจอกแหนที่ลอยอยู่บนน้ำ สำหรับนางเรื่องเกียรติยศและชื่อเสียงของตระกูลเป็นเรื่องที่ห่างไกล หน้าที่ของตระกูลยิ่งไกลไปใหญ่
หนิงเซ่าชิงเล่าเรื่องในตระกูลใหญ่ เรื่องจิตใจที่ซับซ้อนที่หน้าปวดศีรษะ มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกโชคดีที่นางไม่มีชาติตระกูล ไม่ต้องทำเพื่อตระกูล และยิ่งไม่ต้องกลัดกลุ้มเพื่อตระกูล ในเวลาเดียวกันที่ปรารถนาจะได้การปกป้อง ก็ต้องแบกรับเกียรติยศและอำนาจของตระกูลด้วย
มั่วเชียนเสวี่ยเพียงฟัง ไม่ได้เอ่ยถามเรื่องของตระกูลหนิง ยิ่งรู้มากยิ่งตายเร็ว ทุกตระกูลล้วนมีความลับที่ไม่อาจให้คนนอกรู้
หนิงเซ่าชิงบอกกับนางโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เป็นเพราะเชื่อใจนาง นางไม่อยากรู้มาก เพราะไม่อยากแบกรับ ดังนั้น ยิ่งฟังมาก มั่วเชียนเสวี่ยก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้ง ยิ่งไม่อยากฟังต่อ
นางซบอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิงแล้วหลับตาลง เพื่อแสดงให้รู้ว่าตนไม่อยากฟังแล้ว หนิงเซ่าชิงเองก็ให้ความร่วมมือไม่ได้เล่าต่อ เพียงใช้มือกระชับผ้าห่มบนตัวนางเท่านั้น
อาอู่อาจจะขับเกวียนได้ไม่ดีนัก แต่ขับรถม้าได้ชำนาญมาก มั่วเชียนเสวี่ยซบอยู่ในอ้อมกอดของหนิงเซ่าชิง ไม่รู้สึกถึงการสั่นไหวแม้แต่น้อย
วันนี้มั่วเชียนเสวี่ยเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ตอนนี้ร่างกายก็อบอุ่น ตัวของนางก็รู้สึกสบายขึ้นมาก ไม่นาน นางก็หาว แล้วผล็อยหลับไป ทันใดนั้นเอง รถม้ากลับหยุดกะทันหัน
มั่วเชียนเสวี่ยและหนิงเซ่าชิงต่างไม่ทันได้ป้องกันตัวแม้แต่น้อย ทั้งสองล้มลงไปด้านหน้า ขณะเดียวกัน ด้านนอกรถม้าก็มีเสียงต่อสู้ดังขึ้น
“ระวัง” เดิมทีหนิงเซ่าชิงอยากจะชะลอร่างของตนที่จะล้มลง ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยนอนอยู่บนตัวเขา ไม่มีสิ่งใดยึดเหนี่ยว ร่างของนางชนประตูรถม้าที่อยู่ด้านหน้าอย่างจัง