เสียงของนางดังขึ้นเรื่อยๆ มีความกระหายอยู่ภายใน แตกต่างจากรูปลักษณ์ภายนอกของนางที่อ่อนโยนอย่างสิ้นเชิง
“ข้ามีพรสวรรค์มาตั้งแต่ยังเล็กๆ ดังนั้นจึงอ่อนแอและขี้โรค ท่านแม่ต้องการใช้กำลังภายในเพื่อช่วยเสริมสร้างให้ร่างกายของข้าแข็งแรง ใครจะรู้ว่าเพราะพรสวรรค์อันเล็กน้อยนี้ ทำร้ายข้าจนมิอาจฝึกยุทธ์ได้ ปีนั้นตอนที่ข้าอายุได้หกขวบ เพิ่งจะมีพลังปราณเข้าสู่ร่างกาย ก็ทำให้ข้าเกือบตาย สุดท้ายก็ต้องหาผู้เชี่ยวชาญ มาปิดผนึกพลังปราณที่อยู่ในกายข้าเพียงเล็กน้อยนั้น ข้าถึงได้รอดมาถึงตอนนี้…”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้สนใจพลังปราณอะไรนั่นแม้แต่น้อย ทว่าเกี่ยวกับพรสวรรค์นั้นนางรู้สึกสนใจมากๆ จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เช่นนั้นข้าที่รับร่างของเจ้ามาจะมีพรสวรรค์นั้นด้วยหรือไม่ พรสวรรค์ในการทะลุมิติเวลา”
“ไม่มี พรสวรรค์ของข้าอยู่ในวิญญาณ ข้าจากไปพรสวรรค์ก็จะสลายไปเอง จากนี้เป็นต้นไปร่างกายของเจ้าจะเป็นปกติดีแล้ว”
เสวี่ยเอ๋อร์ไขข้อสงสัยของมั่วเชียนเสวี่ย แล้วกล่าวต่อไป “เพราะว่าที่ก้นบึ้งของหัวใจยังมีความกังวลหลงเหลืออยู่เล็กน้อย ดังนั้นหลังจากปลดปล่อยพลังจิตออกไปในวินาทีสุดท้ายก็ได้สร้างฉากฝันนี้ขึ้นมา…”
เมื่อพูดถึงความกังวลนี้ ใบหน้าที่เหนียมอายของนางนั้นก็มีสีแดงระเรื่อผุดขึ้นมาเล็กน้อย “เพียงเพื่อจะได้พบเขาเป็นครั้งสุดท้าย ตอนนี้ได้พบแล้ว ฉากฝันนี้ก็จะสลายหายไป เมื่อฉากฝันนี้สลาย ข้าก็ต้องไป อาจจะกลับชาติมาเกิดใหม่ หรืออาจจะสูญสลายหายไปในระหว่างสวรรค์และโลก อย่างไรก็ตามก็จะไม่ปรากฎตัวออกมาอีกแล้ว”
เสียงนี้อ่อนโยนแผ่วเบาเสียจนทำให้มั่วเชียนเสวี่ยใจอ่อน
มั่วเชียนเสวี่ยย่อมจะรู้ว่าคนที่นางพูดถึงหมายถึงเฟิงอวี้เฉินความจริงแล้วนางอยากจะบอกว่า พวกเจ้าเป็นลูกพี่ลูกน้องกันมิอาจแต่งงานกันได้ แต่พอคิดดูใหม่ เดี๋ยวนางก็จากไปแล้ว ร่างนี้ตนเองจะตัดสินใจเอง จะแต่งหรือไม่แต่งแค่ตนเองพูดก็หมดเรื่องแล้ว เช่นนั้นก็หุบปากเงียบไว้ดีกว่า
พอนึกถึงเฟิงอวี้เฉิน มั่วเชียนเสวี่ยก็นึกถึงคำพูดที่นางไม่ยินยอมก่อนหน้านี้ได้ เกรงว่าเรื่องที่นางจะขอร้องตนเองนั้นจะเป็นการแก้แค้น ดังนั้นจึงกล่าว “ข้าจะไม่ไปกลับไปเมืองหลวงเพราะเรื่องของเจ้า ข้าไม่อยากแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นในตระกูลใหญ่ทั้งวี่ทั้งวัน” สังคมในยุคโบราณ ต้องพยายามอย่างหนักเพื่อไปให้ถึงในตำแหน่งที่นางอยู่ นางว้าวุ่นใจมากพออยู่แล้ว ไม่อยากไปเผชิญกับปัญหาอะไรอีกจริงๆ
เมื่อเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยคิดไปไกลมาก เสวี่ยเอ๋อร์จึงยิ้มเจ้าเล่ห์ “เจ้ากลับเมืองหลวงได้นะ เพียงแค่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ คนเหล่านั้นต้องไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ เจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ก็ต้องต่อสู้กลับ ต้องหาตัวการที่กระทำความผิดนั้นให้ได้”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยถาม “นี่คือเรื่องที่เจ้าอยากให้ข้าช่วยอย่างนั้นหรือ”
เสวี่ยเอ๋อร์ส่ายหัวพลางกล่าว “ไม่ใช่! เรื่องนี้แม้ข้าไม่ต้องขอให้เจ้าทำ เจ้าก็จะไปทำเอง”
เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างเบาใจ ทว่ามั่วเชียนเสวี่ยกลับอยากทักทายท่านพ่อท่านแม่ของนาง พอคิดว่าตอนนี้ใช้ร่างของนางอยู่ พ่อแม่ของนางก็เหมือนพ่อแม่ของตนเอง ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเรื่องทุกอย่างให้เสร็จสิ้น
แต่ว่า นางกลับรู้ว่าสิ่งที่เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริง
ถึงนางไม่ไปหาเรื่องคนอื่น คนอื่นก็ย่อมมาหาเรื่องถึงที่อยู่แล้ว หากไม่หาคนเหล่านั้นให้เจอ จากนี้ต่อไปก็อย่าหวังว่าจะมีชีวิตที่สงบสุข
สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยดูไม่ดี เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่มองไปที่นาง เพียงกล่าวเบาๆ “ข้าเพียงขอให้เจ้า ช่วยทำดีกับท่านพี่หน่อย เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง ดูแลข้ามาตั้งแต่ยังเล็กๆ”
เขาดูแลเจ้า ไม่ได้ดูแลข้าเสียหน่อย เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า ตอนนี้ข้าก็ขอบคุณเจ้า ยังจะต้องการอะไรอีก มั่วเชียนเสวี่ยยืนเคร่งขรึมอยู่ตรงนั้น
“ข้าขอร้องเจ้าเพียงเรื่องเดียว อย่าให้เขารู้เรื่องที่ข้าตายแล้ว ต่อไปภายภาคหน้า ไม่ว่าเขาจะทำเรื่องใด เจ้าก็อย่าได้เป็นปรปักษ์ต่อเขา เจ้ามีหนิงเซ่าชิงแล้ว มิอาจแต่งกับท่านพี่ได้ เช่นนั้นก็คิดเสียว่าเขาเป็นพี่ชายคนหนึ่งของเจ้าดีไหม”
มั่วเชียนเสวี่ยไม่เห็นด้วย “เหตุใดข้าถึงต้องรับปากเจ้าด้วย” พาตัวนางมาที่นี่โดยที่นางไม่ยินยอม ทิ้งความโกลาหลวุ่นวายเอาไว้ให้นาง ยังจะอยากให้นางนับคนที่น่ารำคาญผู้นั้นเป็นพี่ชายอีก บนโลกใบนี้จะมีเรื่องดีๆ ขนาดนี้ได้อย่างไร
“เจ้าจะรับปาก” เสวี่ยเอ๋อร์หยิบป้ายไม้สีดำออกมา “นี่คือตราอาญาสิทธิ์ทางทหารของท่านพ่อข้า สามารถใช้ระดมกองกำลังทหารของตระกูลมั่วจำนวนสองแสนนายได้ เป็นสัญลักษณ์ที่ระบุสถานะของเจ้าได้ในอนาคต ทั้งยังเป็นที่พึ่งพิงให้ชีวิตของเจ้าด้วย”
มั่วเชียนเสวี่ยจ้องมองไปที่ป้ายไม้นั้น รู้สึกลังเลเล็กน้อย ก็แค่มีพี่ชายเพิ่มมาอีกคน ก็มีป้ายไม้ที่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้เพิ่มมาอีกอัน?
บอกว่าเป็นยุคสมัยที่รุ่งเรือง ความจริงก็คือเป็นช่วงเวลาที่ลำบากในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง ในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว นางและหนิงเซ่าชิงก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องไปที่เมืองหลวง ถึงเวลานั้น สถานการณ์ที่เมืองหลวงจะเป็นเช่นไร มันก็พูดได้ยากจริงๆ
นอกจากนี้ ถึงแม้นป้ายไม้นี้จะไม่ได้อยู่ในมือนาง แต่ทุกคนก็ต้องคิดว่ามันอยู่กับนางอยู่แล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ลังเลอีกต่อไป ให้คำตอบ “ได้ ข้ารับปากเจ้า เพียงแค่เขาไม่ทำร้ายข้ากับหนิงเซ่าชิง ข้าจะไม่มีวันเป็นศัตรูกับเขาเด็ดขาด และจะต้องคิดว่าเขาเป็นพี่ชายคนหนึ่งของข้าอย่างแน่นอน”
เมื่อส่งป้ายไม้ให้แก่มั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ก็ยังได้อธิบายเกี่ยวกับวิธีการใช้ป้ายไม้ดำนี้ไปเล็กน้อย เสวี่ยเอ๋อร์ไม่กล่าวอะไรอีกต่อไป แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองไปยังความว่างเปล่า ราวกับมองเห็นเฟิงอวี้เฉินอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “เช่นนั้นข้าก็วางใจได้แล้ว”
พูดจบ ร่างที่เหนียมอายก็โบกมือพลางสลายหายไป มั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเสียงฝันที่แตกสลาย…
….
ควบม้ามาเป็นเวลานาน ใจของเฟิงอวี้เฉินก็ค่อยสงบลงบ้างแล้ว เขาหยุดม้า แล้วหันกลับไปมอง ที่นี่อยู่ห่างไกลจากหมู่บ้านหวังจยาแล้ว
พอองครักษ์ทั้งสองขี่ม้าตามมาถึง เขาก็ออกคำสั่งในทันที
ด้านล่างเชิงเขาเป็นป่าท้อซึ่งดอกของมันกำลังจะผลิบาน สายลมพัดผ่านมา ในอากาศก็มีกลิ่นหอมของดอกไม้อยู่
เฟิงอวี้เฉินชี้ไปทางด้านซ้าย รีบกล่าวให้ไปคุ้มกันในทันที “เฟิงล่วน เจ้ารีบลอบกลับไปที่หมู่บ้านหวังจยา สังเกตความเคลื่อนไหวของคุณหนู แล้วมารายงานข้าได้ตลอดเวลา”
“ขอรับ” พอเฟิงล่วนรับคำสั่งแล้วก็ควบม้าออกไปทันที
เฟิ่งอวี้เฉินก็มองไปที่องครักษ์อีกคน “เฟิงปัว เจ้ารีบนำเรื่องที่เจอตัวคุณหนูแล้วไปแจ้งให้กับเหล่าเหยียและเหล่าฮูหยินทราบ ระหว่างทางหากมีข่าวรั่วไหลแม้แต่น้อย ก็มารับโทษตายซะ”
“รับทราบ” หลังจากที่เฟิงปัวรับคำสั่งอย่างนอบน้อมแล้ว ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เจ้านายกระอักเลือดออกมา ดังนั้นจึงได้พูดเสริมขึ้นมาอีกหน่อย “คุณชาย ให้บ่าวพาองครักษ์ที่เหลืออีกสิบหกคนของเฟิงอวิ๋นย้ายมาที่นี่ด้วยหรือไม่”
“ไม่จำเป็น! พวกเขากำลังเดินทางมาแล้ว” ได้กลิ่นหอมของดอกไม้ เฟิงอวี้เฉินก็บังคับม้าให้หันกลับไปโดยไม่รู้ตัว
“บ่าวขออำลา คุณชายถนอมตัวด้วย” เฟิงปัวเห็นว่าเจ้านายไม่ได้สั่งการอะไรเพิ่ม จึงกล่าวลาแล้วควบม้าจากไป
เสียงกีบม้าจากด้านหลังหายไปแล้ว เฟิงอวี้เฉินกลับไม่หันไปมอง เพียงมองไปที่ป่าท้อที่อยู่ใต้เนินเขา
สิ่งที่ต้องตาก็คือป่าท้อนั่น และอิสระกลางสายลม
ที่เขาเห็นก็คือมีคนสองคนเดินไปมาอยู่กลางพุ่มไม้นั้น นึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาทั้งสองชมดอกไม้ด้วยกันพลางยิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข
เขาทำตามใจตนเอง กระโดดลงมา จากนั้นก็เข้าไปในป่าท้อ
นกกาเหว่าที่ยืนอยู่บนกิ่งต้นท้อตกใจ ส่งเสียงร้องไม่หยุดหย่อน ปู้คู ปู้คู[1]
กาลครั้งหนึ่ง เคยใช้ชีวิตอิสระอยู่คู่เคียงกัน มาวันนี้กลับอยู่คนเดียวเปล่าเปลี่ยวจิต เสียงร้องนี้ที่ดัง ปู้คู ปู้คู เพียงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดในหัวใจ จนน้ำตาไหลรินลงมา
นางในดวงใจหาได้อยู่ห่างไกลไม่ ทว่ากลับหมดหนทางที่จะอยู่เคียงคู่กัน…
เขากลัว…กลัวว่าคำว่าท่านพี่ที่เขาได้ยินนั้น เขาจะหูฝาดไป เมื่อวานนี้นางยังมองเขาราวกับเป็นแปลกหน้าอยู่เลย สายตาที่ห่างเหินเช่นนั้น เขาลืมไม่ลง…
เขาเกลียด…แต่ว่า เขาควรจะเกลียดใคร เกลียดสวรรค์? เกลียดชายคนนั้น? เกลียดตัวเอง? หรือจะไปเกลียดคนที่ก่อเหตุคนนั้น…มือหนึ่งตบไปที่ต้นไม้ หนามบนลำต้นแทงเข้าไปที่ฝ่ามือ ราวกับว่ามีเพียงความเจ็บปวดบนร่างกายเท่านั้น ถึงจะสามารถทำให้ลืมเลือนความตื่นตระหนกที่มีอยู่ในส่วนลึกของหัวใจได้บ้าง
หากไม่เคยมีความงดงามเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างแบบนั้น ความหวานซึ้งที่ซ่อนเร้นอยู่ในไขกระดูกแบบนั้น ก็คงจะไม่เจ็บปวดในทรวงเฉกเช่นวันนี้
ลูกผู้ชายไม่หลั่งน้ำตาให้ใครเห็นได้ง่ายๆ หากยังไม่ถึงจุดที่เสียใจอย่างสุดซึ้ง หากชีวิตไม่ลำบาก ก็อาจจะไม่ร้องไห้ ทว่า ตราบใดที่เป็นมนุษย์ก็ย่อมจะมีอารมณ์และความปรารถนาที่หลากหลาย สิ่งเหล่านี้คือความทุกข์ ทุกข์ในทุกข์คือรักที่มิอาจครอบครอง ความเกลียดชังนั้นไร้ค่า
[1] ปู้คู พ้องกับคำอ่านของคำว่า 不哭 ที่แปลว่าไม่ร้อง ราวกำลังบอกผู้ได้ยินว่า ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง