เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยได้ยินเสียงฝันที่แตกสลาย ทุกสิ่งทุกอย่างเบื้องหน้าสลายหายไป คนผู้หนึ่งที่เกี่ยวพันกับตนเองอย่างแยกไม่ออกก็หายไปกับสายลม นางอดไม่ได้ที่จะหดหู่ใจ เป็นเวลานานกว่าจะหลับตาลง
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งที่ดึงดูดสายตาก็คือใบหน้าที่แลดูอ่อนโยนของหนิงเซ่าชิง นางจ้องมองไปที่ตาแดงก่ำคู่นั้น
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจ นางนึกถึงฉากที่นางเห็นตอนที่นางลอยอยู่กลางอากาศ คำพูดเหล่านั้นของเสวี่ยเอ๋อร์ร์ต้องทำร้ายจิตใจเขาเป็นแน่ ทว่านางไม่อาจหาเหตุผลมาอธิบายได้
บางสิ่งยิ่งอธิบายก็จะยิ่งสับสน!
มั่วเชียนเสวี่ยจ้องมองไปที่หนิงเซ่าชิงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เซ่าชิง ชั่วชีวิตนี้พวกเราจะไม่มีทางแยกจากกันดีหรือไม่” นางไม่เคยพูดเช่นนี้กับเขามาก่อน แม้ในช่วงเวลาที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดก็ตาม
หนิงเซ่าชิงตะลึงงันไปชั่วขณะ เมื่อครู่นี้เขายังคงเป็นกังวล กังวลว่าพอนางตื่นขึ้นมาจะผลักเขาออกเหมือนก่อนหน้านี้ และมองหาท่านพี่อะไรนั่นของนางอีก
เดิมที เขาอยากจะพูดว่า ‘ข้าคิดว่าเจ้าลืมข้าไปเสียแล้ว’ เขายังอยากจะถามว่า ‘เจ้ากับท่านพี่ของเจ้าคนนั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่’ ในเวลานี้แค่ประโยคเดียว เหมือนดั่งยาปลุกความมั่นใจ ทำให้เรื่องที่เขาอยากพูดอยากถามถูกสกัดเอาไว้อยู่ในปาก
มีประโยคนี้แล้ว เขายังจะต้องพูดและถามอะไรอีก เขาเห็นเพียงตนเองในดวงตาของนางเท่านั้น แค่นี้ มันก็พอแล้ว!
ตอนที่รอปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาของนาง หนิงเซ่าชิงรู้สึกเพียงว่าจิตใจว้าวุ่นอารมณ์อ่อนไหวนัก ไม่ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดทะลุเข้าไปในกระดูกถึงเพียงใดก็ถูกปัดเป่าให้หายไปด้วยประโยคเดียวนี้ เขาถอนหายใจยาว พลางโอบกอดมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้แน่น ราวกับจะหลอมรวมเลือดเนื้อกัน ไม่มีวันจะพรากจากกันตลอดชีวิต
เสียงเสนาะไพเราะดั่งเสียงเครื่องสายดังขึ้นที่ข้างหูของมั่วเชียนเสวี่ย “ได้ ชั่วชีวิตนี้ของพวกเราจะไม่มีวันพรากจากกัน”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกเศร้าเกินจะทานทน คิดดีแล้วว่าจะไม่อธิบาย ทว่ากลับไม่อาจอดกลั้นคำพูดนั้นเอาไว้ได้จึงพูดโพล่งออกมา “ต่อไป จะไม่มีเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว”
คำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยไร้ซึ่งความคิดใดๆ ทว่าแขนของหนิงเซ่าชิงกลับรัดแน่นขึ้น
ทั้งสองกอดกันอย่างเงียบๆ แต่ไฉ่สยาที่ยกน้ำมายืนรออยู่กลับหน้าแดง เข้าไปก็ไม่ได้ จะออกไปก็ไม่ได้
เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหว ทั้งสองก็รีบแยกออกจากกัน หนิงเซ่าชิงกระแอมเล็กน้อยพลางชี้ไปที่อ่างล้างหน้าที่อยู่ด้านข้าง “วางน้ำไว้ตรง แล้วออกไปเสีย”
ไฉ่สยาตอบรับ “เจ้าค่ะ” แล้ววางน้ำไว้บนอ่างล้างหน้า เมื่อนางออกไปและกำลังจะปิดประตู ก็กลับนึกขึ้นได้ว่านางมีเรื่องจะมารายงาน
ดังนั้นนางจึงหันกลับไปและกล่าว “ฮูหยิน สตรีสองนางนั้นที่อ้างว่าเป็นสาวใช้ของท่านยังคงคุกเข่าอยู่ข้างนอกยังไม่จากไป ท่านต้องการให้องครักษ์ซานองครักษ์อู่ขับไล่พวกนางออกไปหรือไม่”
พอหนิงเซ่าชิงได้ยินไฉ่สยาพูดถึงสาวใช้สองคนนั้น สีหน้าก็แลดูเย็นชาขึ้นมาในทันที จะขับพวกนางออกไปหรือไม่ก็ให้มั่วเชียนเสวี่ยเป็นตัดสินใจ เพียงแต่ตอนนี้ร่างกายของนางยังคงอ่อนแอ จะพบกับพวกนางได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงออกคำสั่ง “ให้พวกนางคุกเข่าต่อไป”
“เจ้าค่ะ” ไฉ่สยา เพิ่งจะปิดประตูลง ใบหน้าแดงก่ำใจเต้นระรัว ถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
ไฉ่สยาออกจากประตูไปแล้ว หนิงเซ่าชิงก็ลุกขึ้นเดินไปที่อ่างล้างหน้า บิดผ้าเช็ดหน้า แล้วนำมาเช็ดใบหน้าให้มั่วเชียนเสวี่ย
เมื่อได้ยินไฉ่สยาพูดถึงชูอีและสืออู่ มั่วเชียนเสวี่ยก็นึกถึงเรื่องที่เสวี่ยเอ๋อร์พูดให้ฟังเกี่ยวกับคนในที่ลับที่จ้องจะจัดการนางนั้นได้ จึงเอ่ยถาม “เซ่าชิง หากข้าตายไปแล้ว ใครจะได้รับผลประโยชน์มากที่สุด และใครที่น่าจะเป็นคนที่ลงมือ”
หนิงเซ่าชิงเพิ่งเช็ดหน้าให้นางเสร็จและบิดผ้าเช็ดหน้าเล็กน้อย “แน่นอนว่าจะต้องเป็นตระกูลมั่วเพียงแค่เจ้าตายและเจ้าก็ยังไม่ได้ออกเรือน ฐานันดรของเจ้าก็ย่อมจะเป็นตระกูลมั่ว”
เขาวางผ้าเช็ดหน้าลง เข้ามาลูบใบหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยพลางกล่าว “ตายหรือไม่ตายอะไรกัน ต่อไปข้าไม่อนุญาตให้เจ้าพูดคำนี้อีก ตราบใดที่ข้าคนนี้ยังมีลมหายใจอยู่ จะไม่มีทางให้ใครมาแตะต้องตัวเจ้าได้แม้แต่น้อย”
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ทว่ายังคงถามต่อ “ท่านพ่อท่านแม่ของข้าจากไปแล้ว ใครจะได้รับประโยชน์สูงสุด” สิ่งที่เสวี่ยเอ๋อร์ต้องการสื่อก็คือ การตายของพ่อแม่นางยังมีเงื่อนงำอื่นๆ อยู่ ท่านแม่ตรอมใจได้นั้นไม่น่าสงสัย แต่ท่านพ่อมิน่าจะตายในสนามรบง่ายๆ เช่นนั้น
นางไม่รู้เกี่ยวกับโครงสร้างของเทียนฉีมากนัก หากต้องการหาศัตรูที่แฝงตัวอยู่ให้เจอ นางก็ต้องถามคนที่รู้สถานการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างดี
คำถามนี้ค่อนข้างใหญ่ หนิงเซ่าชิงชะงักงันไปชั่วขณะ เขาเงียบพลางกล่าวเบาๆ “ฮ่องเต้ ตระกูลซู ชนเผ่าชางที่อยู่ทางฝั่งตะวันตก … “
“ฮ่องเต้?” โมเชียนเสวี่ยรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับคำตอบของหนิงเซ่าชิง
ตระกูลซูมีอำนาจทางทหาร มันก็สมเหตุสมผลเพราะเป็นศัตรูทางการเมืองกัน ชนเผ่าชางทางฝั่งตะวันตกเป็นศัตรูที่ท่านพ่อต้องคอยป้องกันไว้ ถ้าเป็นทั้งสองฝ่ายนี้มันก็มีความเป็นไปได้ มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้น ที่นางไม่เข้าใจเลย หากท่านพ่อตาย เขาก็น่าจะถือว่าสูญเสียแม่ทัพที่เก่งกาจอาจหาญไปหนึ่งคน
“พ่อตามีอำนาจทางการททหารอยู่ในมือ หากเขาไม่อยู่แล้ว กองทัพจะมิอาจไร้แม่ทัพได้ และอำนาจทางการทหารก็ย่อมจะกลับคืนมาสู่ฝ่าบาท…” หนิงเซ่าชิงกล่าวพลางหรี่ตาลง เขาย่อมจะรู้อยู่แล้วว่ามั่วเชียนเสวี่ยอยากถามอะไร
มั่วเชียนเสวี่ยพูดไม่ออกไปชั่วขณะหลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด สวรรค์! ไม่ใช่ว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะให้นางไปต่อกรกับฝ่าบาท ต่อกรกับตระกูลซู นอกจากจากนี้ยังต้องต่อกรกับชนเผ่าชางจากแคว้นชางหรงทางฝั่งตะวันตกอีกกรอกนะ
ต่อกรกับฝ่าบาท ก็เท่ากับเป็นศัตรูของราชวงศ์! ต่อกรกับตระกูลซู จัดการกับตระกูลซูก็เป็นการท้าทายอำนาจทางทหาร! ต่อกรกับแคว้นทางฝั่งตะวันตก นั่นก็เท่ากับเป็นศัตรูกับแคว้นๆ หนึ่งเลย…
มั่วเชียนเสวี่ยตัวสั่นเทา ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน เพียงยื่นนิ้วออกมา ก็ล้วนสามารถบดขยี้นางให้ตายได้ราวกับฆ่ามด
ทว่า มันไม่ถูกต้อง! เสวี่ยเอ๋อร์พูดอย่างชัดเจนว่าป้ายไม้สีดำนั่นสามารถใช้ระดมกองกำลังทหารได้ถึงสองแสนนาย นางไม่น่าจะโกหกตนเอง ต้องมีเงื่อนงำอะไรเป็นแน่
มั่วเชียนเสวี่ยลูบแผ่นไม้แข็งๆ ที่อยู่ในอก ยังดี ที่แผ่นไม้นี้ติดตัวนางออกมาจากฉากฝัน
พอเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยใจลอย หนิงเซ่าชิงจึงตบไหล่นางด้วยความกังวล พลางกล่าว “สาเหตุการตายของพ่อตา ข้าจะไปตรวจสอบให้อีกครั้ง เจ้าอย่าได้คิดมากเกินไปเลย”
หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่นางต้องการ เขาจะต้องช่วยนางอย่างสุดความสามารถ มิอาจรอคอยอย่างนิ่งเฉยได้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย จะหนักหนาขนาดไหนก็ไม่เป็นอุปสรรค
เมื่อรู้สึกได้ถึงความกดดัน สติของมั่วเชียนเสวี่ยก็ได้กลับมา มือเล็กๆ ลูบไล้มือใหญ่ๆ ที่เรียวบางซึ่งวางอยู่บนไหล่ของนาง มองไปที่เขาพลางพูดอย่างจริงจัง “ไม่ต้อง! ข้าเพียงถามเฉยๆ ท่านพ่อเสียชีวิตในสนามรบ ไม่มีอะไรผิดพลาดเป็นแน่”
หากเรื่องนี้มีลับลมคมในจริงๆ หนิงเซ่าชิงจะรีบไปตรวจสอบ จะเป็นการนำหายนะมาสู่ตนเองอย่างแน่นอน นางไม่ต้องการทำให้เขาตกอยู่ในอันตราย
ช่างเถิด นางสนเพียงเรื่องเอาชีวิตรอดอย่างเดียวก็พอ ตราบเท่าที่สามารถอยู่กับเขาอย่างสงบสุขได้ก็พอ ใครก็ตามที่อยากจัดการนาง นางก็แต่แค่ต่อสู้กลับก็แค่นั้น ไม่เห็นว่ามันจะซับซ้อนตรงไหน!
หนิงเซ่าชิงถอนหายใจและไม่พูดอะไรมาก กลัวเพียงว่า ถึงแม้นพวกเขาทั้งสองจะต้องการความสงบสุข แต่คนอื่นกลับไม่ยินยอมให้อยู่ดี
มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหัวแล้วส่ายหัวอีกราวกับว่านางส่ายเพื่อขจัดความกังวลร้อยแปดพันก้าวทิ้งไป นางยิ้มปลอบโยนหนิงเซ่าชิงและสั่งไฉ่สยาที่อยู่นอกประตู “ไฉ่สยา ไปเรียกตัวชูอีและสืออู่เข้ามาได้”
เรื่องบางเรื่องถึงอย่างไรก็ต้องเผชิญหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องครั้งก่อน นางยังไม่ได้ถามให้กระจ่างเลย
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยนอนอยู่บนเตียงอย่างอ่อนแรง สืออู่ที่เพิ่งเข้ามาในห้องก็พุ่งเข้าไปหาทันที เพียงแต่ถูกหนิงเซ่าชิงยกแขนขวางเอาไว้ นางจึงคุกเข่าลงที่หน้าเตียงอีกครั้งพลางถามไถ่อย่างเป็นกังวล “คุณหนูเจ้าคะ ร่างกายของท่านดีขึ้นแล้วหรือยัง”
มั่วเชียนเสวี่ยพยักหน้า แม่นางคนนี้ไม่พูดอะไรมาก นิสัยตรงไปตรงมา ดูค่อนข้างจะเป็นคนที่หยาบกระด้าง แต่มิอาจปิดบังความจริงใจในดวงตาของนางได้เลย ทำให้คนรู้สึกสนิทสนม…