พอชูอีและสืออู่ถูกหมัวมัวเตือน ก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ทันที ทั้งสองคุกเข่าลงกล่าวสาบาน “ตามคำสั่งของหมัวมัว เพียงทำเพื่อคุณหนู ต่อให้ ชูอี สืออู่ ต้องบุกน้ำลุยไฟ ก็ไม่หวาดหวั่น”
“ข้าเลี้ยงดูพวกเจ้าจนเติบใหญ่มากับมือ ข้าย่อมจะรู้ดีถึงความจงรักภักดีของพวกเจ้า”
นึกถึงวันพรุ่งนี้ที่ต้องนำของขวัญวันแต่งงานไปให้เจี่ยนชิงโยวแล้ว มะรืนนี้ก็ต้องออกจากที่นี่ไป มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกไม่ค่อยจะเต็มใจ กำลังคิดถึงความผิดหวังที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต คิดซ้ำๆ จนนอนไม่หลับ
ในความมืด หนิงเซ่าชิงเหยียดแขนออกมาดวงตาเป็นประกาย “เชียนเสวี่ยดึกมากแล้วยังไม่หลับไม่นอน หรือว่า… ต้องการจะออกกำลังเล็กๆ น้อยๆหรือ”
มั่วเชียนเสวี่ยกัดริมฝีปาก พลางหันกลับไป นางหันหลังให้แก่เขา
พูดจริงๆ นะ นางเองก็ต้องการ
สถานที่กับช่วงเวลาที่พิเศษแบบนี้ อย่ามาเย้านางเล่นจะดีกว่า เกิดขัดแย้งกันจะไม่สนุก!
หนิงเซ่าชิงพลิกตัวนางกลับมา นิ้วสัมผัสไปที่แก้มของนาง ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็สัมผัสไปที่ริมฝีปากของนางเบาๆ นิ้วนั้นเปลี่ยนเป็นร้อนขึ้นมากในทันที
มั่วเชียนเสวี่ยต้องการจะเบือนหน้าหนี แต่ทันใดนั้น หนิงเซ่าชิงก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก็ประทับจูบลงไปในทันที
ความจริงแล้ว เมื่อจะต้องไปยังสถานที่อันเหน็บหนาวและโหดร้ายนั้นอีกครั้ง ใจของเขาก็ไม่เป็นสุขเช่นกัน เขาอยากอยู่กับนางไปนานๆ แม้ว่าที่นั่นจะมีเรือนชานอันวิจิตรงดงามล้ำค่าทอดยาว ความจริงแล้วกลับเป็นสถานที่ที่อันตราย ด้านในมีแต่เรื่องผลประโยชน์ การฆ่าฟัน ที่ล่อลวงใจ ขนาดระหว่างพ่อลูกแท้ๆ ยังมีความระแวงสงสัย ริษยาต่อกันเลย…
ความลังเลที่ริมฝีปากของนางและการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ในใจของมั่วเชียนเสวี่ยเหมือนจะเข้าใจแต่คล้ายจะสับสน ระหว่างที่ร่างกายกำลังจมดิ่ง จู่ๆ มันก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันหัน ทั้งบางเบาและอ่อนโยน ราวกับกำลังจะโบยบินขึ้นไป และคล้ายกับจะร่วงตกลงมา
ในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนว่างเปล่า มีเพียงริมฝีปากของเขาเท่านั้น มือของเขา ร่างกายของเขา แผดเผาดั่งไฟ มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ แผดเผาความไม่เต็มใจ และความผิดหวังของนางไปจนหมดสิ้นได้จริงๆ
นางต้องการความเร่าร้อนนี้…
ได้ยินเสียงลูกนกกาเหว่าร้องเบาๆ ดังมาจากข้างนอก ในขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกหนักหัวและร่างกายอ่อนระทวย จู่ๆ ก็สมองก็ปลอดโปร่งโล่งสบายขึ้นมาในทันที
ลืมตาที่กำลังเคลิบเคลิ้มขึ้นมา พลางมองดูท่าท่างของหนิงเซ่าชิงที่กำลังคลอเคลียพัวพันอยู่บนก้อนเมฆทั้งสองของนางอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่เต็มใจ แต่กลับไม่ได้ลังเล
เจ็ดวันผ่านไป พวกเขาสามารถอยู่กินฉันสามีภรรยาได้แล้ว
แต่ว่า กำลังจะไปเมืองหลวงในไม่ช้านี้ ถ้ามีสัมพันธ์ลึกซึ้ง จนตั้งท้องขึ้นมาจะทำอย่างไร
เท้าเนียนผ่องของนางเหยียดออกไปแล้วก็ดึงกลับมา ทำให้หนิงเซ่าชิงถูกถีบจนตกลงไป
หนิงเซ่าชิงร่วงลงไปที่พื้น แต่กลับไม่รีบร้อนลุกขึ้นมาทั้งยังนอนลงไปตรงนั้น เขารู้อยู่แล้วว่านางจะกระทำเช่นนี้เพียงแต่เขาเต็มใจจะให้นางถีบก็เท่านั้นเอง
เขาต้องการนาง ทว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา นอนลงไปที่พื้นให้สมองปลอดโปร่งหน่อยก็ดี
เขาไม่กลัวการอยู่กินฉันสามีภรรยา แต่เขากลัวเพียงว่า ถ้ามันเริ่มขึ้นแล้ว ก็จะไม่อาจหยุดได้ เขาจำเป็นต้องสะสมพละกำลังเอาไว้ เพื่อที่จะได้รับมือกับเหตุไม่คาดฝันที่อาจจะตามมาให้ได้
การปลดปล่อยเมื้อสักครู่นี้ ทำให้ใจของเขารู้สึกดีขึ้น ทั้งยังทำให้ใจมั่นคงอีกด้วย
หนิงเซ่าอวี๋รับจดหมายส่งข่าวมาจากนกพิราบ ก็มองท้องฟ้าพลางหัวเราะอย่างน่ากลัวสามครั้ง
หลังจากหัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมาแล้ว ก็พูดพึมพำอย่างอำมหิต “ดูซิว่าครานี้เจ้ายังจะหนีไปที่ไหนได้อีก”
“ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ให้รีบรวบรวมกองกำลังทั้งหมดที่ใช้การได้ที่อยู่ใกล้เมืองเทียนเซียง ให้ไปจับตัวหญิงบ้านนอกคนนั้น” ต้องลงมืออย่างรวดเร็วเขาคนนี้เป็นคนที่ฉลาดเฉียบแหลมมาก ดูทุกๆ ทางที่เป็นไปได้ให้แน่ชัด หากไม่รีบลงมือ ทำให้เขารู้ตัวแล้วจากไป ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะพบเบาะแสของเขาอีก
“รับทราบ” ลูกน้องในห้องโถงยังคงรอการกำหนดเวลาจากเจ้านาย
“จะยังอยู่ที่นี่ทำไม รีบไป เร็วได้เท่าไหร่ยิ่งดี”
เขาคนนี้ให้ความสำคัญกับความรัก เมื่อก่อนได้ให้เขากับท่านแม่ ตอนนี้ได้ให้แก่หญิงชาวบ้านผู้นั้นแล้ว
ผู้หญิงคนนั้นได้แต่งงานกับเขาเพื่อปัดเป่าความตาย มีบุญคุณต่อเขา เพียงแค่จับตัวผู้หญิงคนนั้นไว้ได้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะจับตัวเขาไม่ได้ เพราะเขาจะเดินเข้ามาในกับดักเอง
ใครจะคิดว่าคุณชายอันดับหนึ่งของตระกูลหนิงซึ่งเป็นตระกูลขุนนาง จะไปซ่อนตัวอยู่ในชนบท เป็นอาจารย์ในสำนักปฐมวัย ทุกๆ วันต้องไปมาหาสู่กับพวกเด็กๆ บ้านนอก ทั้งยังแต่งงานกับหญิงชาวบ้านที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้า น่าขายหน้าจริงๆ!
ผู้หญิงเช่นนั้น ถึงจะถูกส่งมาเป็นคนรับใช้ ล้วนก็ไม่เหมาะสม
ความเย่อหยิ่งของเขาหายไปไหน ท่าทางที่ไม่สนโลกนั้นเล่าหายไปไหนแล้ว
ดูท่า พิษที่เขาโดนนั้นไม่เพียงแต่ไปทำลายร่างกายแต่ยังไปทำร้ายสมองด้วย
ในช่วงเช้าตรู่ ระหว่างที่มั่วเชียนเสวี่ยนั่งอยู่ในรถม้าอย่างสะดวกสบาย ซึ่งกำลังมุ่งหน้าไปเมืองเทียนเซียง มีมั่วเหนียงและชูอีนั่งอยู่ข้างๆ ด้วย ส่วนคนบังคับม้าก็คืออาอู่
เดิมทีนางอยากจะพาแค่ชูอีกับสืออู่มา แต่ว่ามั่วเหนียงเพิ่งจะมาถึงเมื่อวานนี้ นางบอกว่าคิดถึงคุณหนูมากเพราะว่าไม่ได้พบเจอกันนานแล้ว ทั้งยังบอกว่ามีเรื่องมากมายที่อยากพูดกับนาง ก็ได้แต่ทำตามนาง มั่วเชียนเสวี่ยสลัดนางออกไปไม่ได้ ได้แต่ปล่อยนางไป
เดิมทีสืออู่ก็อยากจะตามมาด้วย แต่กลัวว่าถ้านางมานั่งในรถม้าจะทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอึดอัด ดังนั้นนางจึงขออยู่ที่เรือน
รถม้าโยกไปมา มั่วเชียนเสวี่ยจึงหลับตาพักผ่อน
“คุณหนู โปรดอย่าได้โทษที่หมัวมัวพูดมากเกินไปเลยนะ” มั่วเหนียงใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงก็ฟังดูนุ่มนวลมาก จังหวะการพูดเหมาะเจาะพอดี “กูเหยียก็ไม่เลวเลย ท่าทางสง่างามสูงส่ง รอยยิ้มเหมือนดั่งจันทราสว่างไสว สาดส่องลงไปที่กลางใจ เป็นบุรุษที่พบเห็นได้ยากบนโลกใบนี้ “
อันดับแรกกล่าวคำพูดดีๆ ก่อน จากนั้นพอเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา ใบหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นเศร้าหมอง “แต่เพราะภูมิหลังที่พิเศษของเขา คุณหนูยังต้องคิดถึงเรื่องในอนาคตให้ดีๆ…”
“ไม่มีอะไรต้องคิดอีก” มั่วเชียนเสวี่ยเฉียนเสวี่ยตอบอย่างชัดเจน ภาพด้านข้างของเขาที่กำลังอ่านตำราอยู่ใต้แสงไฟนั้นแสนอบอุ่น แผ่นหลังนั้นที่รอนางกลับเรือนนั้นช่างสง่างาม มุมปากนั้นที่ยกขึ้นนั้นแลดูสุขุมอยู่เสมอ…
นางไม่มีอะไรที่จะต้องคิดอีก! มั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนแน่วแน่และเด็ดขาด สิ่งที่ใจคิดถึงก็คือความรู้สึก แต่มั่วเหนียงกลับคิดนางกังวลเรื่องที่ตนเองเสียตัวไปแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยปลอบ “คุณหนูสถานะสูงส่ง ถึงแม้จะมีเรื่องอะไร ก็จะไม่ใครกล้าวิจารณ์”
วิจารณ์อะไร ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง? โชดดีที่นางคิดออก คำพูดของมั่วเหนียงคลุมเครือ มั่วเชียนเสวี่ยย่อมจะฟังออกอยู่แล้วว่านางหมายถึงอะไร ดวงตาของนางเบิกกว้าง สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ท่าทางก็ย่อมจะผิดปกติ
“บ่าวไม่ได้มีเจตนาที่ไม่ดีเลย” เมื่อมั่วเหนียงเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยมีสีหน้าที่ไม่ดี ก็รีบโน้มตัวเข้าไปหา “บ่าวก็แค่กังวลเกี่ยวกับสถานะของกูเหยีย หากคุณหนูติดตามกลับไปเช่นนี้ ก็จะต้องกลายเป็นอนุเป็นแน่ ดังนั้นบ่าวจึงอยากให้คุณหนูคิดอย่างรอบคอบ”
มั่วเชียนเสวี่ยฟังออกถึงเจตนาดีในคำพูดของนาง ใจนางจึงอ่อนลง นางเอนกายไปด้านหลัง หลับตาลง พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม“หมัวมัวกังวลเกินไปแล้ว รอกลับไปถึงเมืองหลวงก่อน ข้าก็จะกลับไปที่จวนกั๋วกงของข้า เขาก็กลับตระกูลหนิงของเขา จากนั้นเขาก็ค่อยให้เกี้ยวแปดคนหามมารับข้าไป “
มั่วเหนียงประหลาดใจ “นี่คือ…สิ่งที่กูเหยียต้องการหรือ”
“แน่นอนว่านั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ”
“เช่นนั้นก็ย่อมจะดีอยู่แล้ว…” มั่วเหนียงรู้สึกวางใจได้แล้ว ในที่สุดก็สมความปรารถนา แต่ยังไม่ทันที่นางจะหันกลับไปนั่งให้ดี ความคิดหนึ่งก็ได้ผุดขึ้นมา ทำให้นางต้องขมวดคิ้ว
ดังนั้น จึงกล่าวต่อ “เช่นนั้น…หาก…” หากว่ากูเหยียไม่ต้องการจะแต่งงานในอนาคตเล่า
มั่วเหนียงยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ถ้าระหว่างนี้คุณหนูตั้งท้องแล้วท้องโตขึ้นมา กูเหยียก็ยังไม่มาแต่งงานกับนาง เช่นนั้นนางก็จะไม่กลายเป็นตัวตลกในเมืองหลวงหรอกหรือ ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ด้วย
“หากอะไร” มั่วเชียนเสวี่ยหลับตาอยู่ ย่อมจะไม่เห็นสายตาที่มั่วเหนียงมองมา ซึ่งสายตานั้นจดจ้องไปที่ท้องของนาง