นี่ก็คือเหตุผลสำคัญที่เขาปล่อยให้นางกลับไปยังตระกูลมั่ว
คนตระกูลมั่ว บางทีอาจจะกล้าไล่ฆ่ามั่วเชียนเสวี่ยที่ด้านนอก แต่พอกลับเมืองหลวงแล้ว และเข้าไปอยู่ในจวนกั๋วกง อยู่ในเขตเมืองของฮ่องเต้ พวกเขาก็คงจะไม่ใจกล้าขนาดนั้น อย่างน้อยๆ ก็ไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้ง
จวนกั๋วกงคือที่พักอาศัยของกั๋วกง ไม่ใช่ที่พักของตระกูลมั่ว
ในปีนั้นที่กั๋วกงยังมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าจะเป็นในกองทัพหรือว่าในจวน ล้วนแต่ดูแลจัดการได้อย่างเหมาะสม เปรียบเหมือนถังเหล็กที่ตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่างที่น้ำไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้ ขนาดตระกูลหนิงของพวกเขายังไม่อยู่ในสายตาเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น
ได้ยินมาว่าขนาดหัวหน้าตระกูลมั่วมาหาที่หน้าประตู ก็จำเป็นต้องรายงานก่อน พอได้รับอนุญาตถึงจะปล่อยให้เข้ามาได้
ตอนนี้แม้ว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในเมื่อภายหลังที่มั่วเหนียงกลับมายังจวนกั๋วกง ตลอดมาก็ไม่ได้บุบสลายแต่อย่างใด เช่นนั้นก็พิสูจน์ได้แล้วว่า ในตอนนี้จวนกั๋วกงยังคงเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยอยู่
กลับไปที่จวนกั๋วกงแล้ว กล่าวได้ว่าเชียนเสวี่ยก็คือเจ้าของจวนที่แท้จริง
ทว่ากลับไปยังตระกูลหนิง จะต้องเผชิญกับภยันตรายอันหนักหนาสาหัส
ในเมื่อกลับตระกูลหนิงแล้ว ก็จะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะละทิ้งสิ่งที่ตนเองสมควรจะได้รับ
หากต้องการนำอำนาจที่แท้จริงกลับคืนมา ต้องการควบคุมดูแลตระกูลอีกครั้ง เช่นนั้นก็มิอาจอยู่แต่ในเรือนตลอดทั้งวัน ตอนนี้ข้างในจวนเป็นโลกของเซี่ยซื่อไปแล้ว ไม่รู้ว่าในนั้นจะมีอันตรายอะไรบ้าง การต่อสู้ข้างในจวนใหญ่บางครั้งก็อันตรายและโหดร้ายกว่าการต่อสู้ข้างนอกมากนัก
เขามิอาจให้นางตกอยู่ในอันตราย และยิ่งไม่อยากให้นางต้องรู้สึกเสียใจ รอให้เขาจัดการเรือนส่วนหน้าก่อน เวลาที่ต้องตัดสินใจทุกด้านครั้งใหญ่ จะต้องไปรับมั่วเชียนเสวี่ยกลับมายังจวนอย่างแน่นอน นั่งบนเกี้ยวแปดคนหาม ผ่านประตูเข้ามาอย่างสง่างาม
หัวข้อการสนทนาที่หนักหน่วงทำให้ทั้งสองคนเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยเงียบ พลางกล่าวเสียงค่อย “พรุ่งนี้ให้หมัวมัวนั่งเป็นเพื่อนข้าในรถม้าเถิด” นางอยากจะรู้เรื่องของจวนกั๋วกงให้มากหน่อย ทั้งยังอยากรู้เรื่องของ…ตระกูลมั่วด้วย
เมื่อยิงลูกธนูอออกไปแล้ว ไม่มีทางที่จะดึงมันกลับคืนมาได้อีก
นางต้องการช่วยเขา แน่นอนว่าตนเองก็ต้องยืนให้มั่นคงก่อน ต้องรู้ทุกรายละเอียดของจวนกั๋วกง รู้ทุกรายละเอียดความวุ่นวายยุ่งเหยิงที่มีในจวนตระกูลมั่ว
เมื่อความโกลาหลสงบลง ไม่ต้องมามัวห่วงหน้าพะวงหลัง ถึงจะสามารถสลับสถานที่ไปช่วยเขาอย่างสุดความสามารถได้
แน่นอนว่า นางยังอยากจะสอบถามถึงวิธีใช้ป้ายไม้สีดำนั่นเสียหน่อย กองกำลังทหารสองแสนนาย หากใช้การได้ดี ใครจะกล้ามาแตะต้องพวกเขาได้อีก
หนิงเซ่าชิงกุมมือของมั่วเชียนเสวี่ยไว้แน่น พยักหน้าพลางกล่าว “ก็ดี” หนิงเซ่าชิงเฉลียวฉลาด ทั้งสองคนมีความคิดที่เหมือนๆ กัน ไม่ต้องพูดอะไรสักคำก็รู้ว่าในใจนางคิดสิ่งใดอยู่
ในใจรู้สึกซาบซึ้ง แต่ที่มากกว่าก็คือรู้สึกวางใจ
กลางคืน เงียบสงัดมาก นอกจากเสียงลมภูเขาที่พัดผ่านมาเป็นครั้งคราว กับเสียงเสียงแมลงและเสียงนกไม่กี่ตัว ก็ไม่มีเสียงอื่นอีก
ทั้งสองคนนอนกอดกันจนผล็อยหลับไป ไม่นานฟ้าก็สาง
มั่วเหนียงได้ยินมั่วเชียนเสวี่ยอ้อนให้นางไปนั่งเป็นเพื่อนบนรถม้า ใจนางมิได้ไขว้เขว แต่กลับรู้เอ็นดูแทน
ความพ่ายแพ้ การสูญเสียความทรงจำ ทำให้นิสัยของคุณหนูเปลี่ยนไปเป็นเข้มแข็ง เรียนรู้การวางแผน วิญญาณฮูหยินที่อยู่บนสวรรค์ก็น่าจะสงบสุขได้แล้ว
“หมัวมัว ช่วยเล่าเรื่องของจวนกั๋วกง เรื่องของท่านพ่อ และเรื่องของตระกูลมั่วให้ข้าฟังหน่อย” พอหมัวมัวขึ้นมาบนรถม้า มั่วเชียนเสวี่ยก็เอ่ยถามทันที
ความจริงมั่วเชียนเสวี่ยนก็แอบคาดเดาด้วยตัวเองมาบ้างแล้ว ความสัมพันธ์ของท่านพ่อกับตระกูลมั่วไม่ดี ไม่แน่ว่ายังมีข้อขัดแย้งกัน หากความรู้สึกนั้นลึกซึ้ง หากมีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่ต้องรับผิดชอบต่อตระกูลเฉกเช่นเดียวกับหนิงเซ่าชิง ก็อย่าได้เอาตำแหน่งนั้นให้นางโดยเด็ดขาด
ที่ว่ากันว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ขอเท็จจริงที่ซ่อนอยู่ภายใน ก็ได้แต่ถามหมัวมัวแล้ว
“เรื่องมันยาว…” ใบหน้าของหมัวมัวแลดูนิ่งสงบ ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นางก็เงยหน้าขึ้น “เดิมทีตระกูลมั่วเป็นหนึ่งในตระกูลขุนนางขั้นสองขั้นสามที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญอะไรในเทียนฉี ภูมิหลังของครอบครัวกั๋วกงก็ไม่ได้วิเศษอะไร และมันก็ไม่ใช่ความลับ…แม้ว่าหัวหน้าตระกูลมั่วจะอายุมากกว่ากั๋วกงสิบกว่าปี ความจริงก็เป็นพี่ชายของกั๋วกง หัวหน้าตระกูลมั่วคนเก่าสุภาพเรียบร้อยดูเป็นธรรมชาติ กั๋วกงถูกเลี้ยงดูโดยอนุของหัวหน้าตระกูลคนเก่าของตระกูลมั่ว เพียงแต่ในเวลานั้นหัวหน้าตระกูลคนเก่ามีลูกหลานมากมาย อีกทั้งฮูหยินของหัวหน้าตระกูลก็เป็นคนที่ร้ายกาจมาก เอาแต่พูดว่าท่านแม่ของกั่วกงมีภูมิหลังที่น่าสงสัย ไม่ให้เข้าเรือน ดังนั้นตลอดมาท่านแม่ของกั๋วกงก็ไม่มีสถานะ ดังนั้นสถานะของกั๋วกงในตอนนั้นก็ไม่เป็นที่รู้จักในตระกูลมั่ว ในตอนที่กั๋วกงอายุได้แปดเก้าขวบ หัวหน้าตระกูลคนเก่าของตระกูลก็ถึงแก่กรรม เมื่อหัวหน้าตระกูลคนปัจจุบันมีอำนาจอยู่ในมือ เขาก็หยุดส่งของกินของใช้ให้กับพวกเขาสองแม่ลูก เดิมทีภูมิหลังของมารดากั๋วกงก็ไม่ได้สูงส่งอะไร ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีการสนับสนุนทางการเงิน ไม่นานก็ล้มป่วย แม้ว่ากั๋วกงจะกตัญญูแต่จะทำอะไรได้ในเมื่อเขายังเด็กอยู่ไม่มีอำนาจอะไร เขาไม่อาจทนเห็นแม่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บเช่นนี้ได้ หาทางออกไม่เจอ ทำได้แต่ไปขอร้องที่ตระกูลมั่ว แต่ผลที่ได้คือความอัปยศอดสู”
มั่วเชียนเสวี่ยลองจินตนาการดู เด็กน้อยดื้อรั้นคนหนึ่ง ที่พบเจอกับทางตัน จำต้องไปขอความช่วยเหลืออย่างช่วยไม่ได้ แต่กลับถูกขับไล่ออกมาอย่างโหดร้ายเช่นนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางก็ไม่จำเป็นต้องไปจริงจังเรื่องของคนตระกูลมั่วมากเกินไป
“ต่อมา ท่านแม่ของกั๋วกงก็ป่วยตาย พอเขาฝังศพแม่แล้ว ก็เข้าร่วมกองทัพอย่างไม่ลังเล เข้าร่วมกองทัพตอนอายุสิบขวบ ขยันขันแข็ง ฆ่าแม่ทัพตลอดทาง เสี่ยงชีวิตต่อสู้เพื่ออนาคต หลังจากความโกลาหลคลี่คลาย ศัตรูล่าถอย สร้างผลงานนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ถูกแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพ สุดท้ายก็ได้ช่วยชีวิตฮ่องเต้ซึ่งขณะนั้นยังเป็นองค์ชายอยู่ เขาช่วยฮ่องเต้ให้ได้ขึ้นครองราชย์ ตำแหน่งจึงขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็ได้ตำแหน่งกั๋วกงนี้”
มั่วเหนียงสรุปเรื่องราวเหล่านี้ให้นางฟังอย่างคร่าวๆ แม้จะพูดอย่างสบายๆ ทว่า พอพูดถึงเรื่องเหล่านี้ดวงตากลับเหมือนมีหมอกปกคลุม คนที่ไม่มีความสำคัญไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลยคนหนึ่ง เริ่มจากเป็นทหารที่สังหารแม่ทัพไปตลอดทาง ความทุกข์ยากและหยาดน้ำตาที่อยู่ในนั้น ไม่มีใครรับรู้ได้เลยจริงๆ
“ต่อมากั๋วกงก็กลับมาอย่างสง่างาม ได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ อยู่ใต้คนๆ เดียวแต่อยู่เหนือคนนับหมื่น ตระกูลมั่วย่อมจะเข้ามาหา ให้กั๋วกงกลับภูมิลำเนา เดิมทีกั๋วกงไม่อยากจะสนใจ แต่ความปรารถนาสุดท้ายก่อนที่แม่จะตายก็คือกลับไปยังสุสานของตระกูลมั่ว และเข้าไปอยู่ในหอบรรพบุรุษของตระกูลมั่ว หากเขาไม่กลับภูมิลำเนา ไม่มีการยอมรับจากตระกูล ท่านแม่ของเขาก็จะกลายเป็นวิญญาณที่โดดเดี่ยวตลอดไป”
เรื่องต่อมา ก็ไม่ต้องพูดถึง กั๋วกงกลับภูมิลำเนา ทั้งเกียรติยศและความมั่งคั่งตระกูลมั่วย่อมไม่ปล่อยไปอยู่แล้ว อาศัยบารมีกั๋วกงขึ้นสู่ความรุ่งโรจน์ กลายเป็นตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งที่มีอำนาจมากที่สุด
เรื่องของตระกูลมั่วเพียงได้ฟังเรื่องเหล่านี้ มันก็เพียงพอแล้ว นางเพียงจำเป็นต้องรู้หน้าตาและพฤติกรรมของคนเหล่านี้เอาไว้ จะได้รู้ว่าจะต้องเผชิญหน้าด้วยท่าทีเช่นไร
จากนั้นมั่วเชียนเสวี่ยก็ถามถึงเรื่องจวนกั๋วกง
พอพูดถึงเรื่องนี้ มั่วเหนียงก็รู้สึกเคืองขึ้นมา เมื่อก่อนจวนกั๋วกงนั้นเป็นเหมือนถังเหล็กจริงๆ แต่พอหลังจากที่กั๋วกงตาย ฮูหยินก็ตรอมใจตาย มั่วเชียนเสวี่ยก็ถูกลอบสังหารและหายสาบสูญไป ในจวนกั๋วกงมีเพียงคนรับใช้ ไม่มีเจ้านาย
คนจากตระกูลมั่วรีบฝังศพของเสี่ยวเหนียนสาวใช้ที่ใส่ชุดและเครื่องประดับของมั่วเชียนเสวี่ย ให้คิดว่าศพนั้นเป็นมั่วเชียนเสวี่ยแล้วรีบฝังไปด้วยกันกับท่านกั๋วกง และฮูหยิน
โชคไม่ดีที่เจ้านายทุกคนล้วนจากไป จวนกั๋วกงจึงเป็นเรือนที่ไร้เจ้าของ แน่นอนว่าย่อมจะกลับไปเป็นของตระกูลมั่ว
ความอกตัญญูมีอยู่สามประการ แต่ที่เป็นที่สุดของความอกตัญญูก็คือ การไร้ทายาทสืบสกุล
ตอนนั้นตระกูลมั่วจะเข้ามาในจวนกั๋วกง เพื่อคัดเลือกบุตรบุญธรรมจากญาติพี่น้องให้กั๋วกง จะได้สืบทอดตำแหน่ง และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในจวนต่อไป หลักการเหล่านั้นแน่นอนว่าพ่อบ้านก็ไม่อาจคัดค้านได้ องครักษ์ก็หยุดไม่ได้และถึงแม้ฝ่าบาทจะออกหน้าให้ มันก็ไม่สมเหตุสมผล
ยังดีที่ในตอนนั้น มั่วเหนียงสมองยังใช้การได้ดีอยู่ นางไม่คำนึงถึงอาการบาดเจ็บของร่างกาย รีบมุ่งไปยังจวนกั๋วกงกับคนตระกูลเฟิงเพื่อยืนยันว่าคนที่อยู่ในโลงนั้นไม่ใช่มั่วเชียนเสวี่ย แต่เป็นตัวปลอมที่พวกเขาใช้หลอกศัตรู
ตระกูลมั่วย่อมจะไม่เชื่อ พวกเขาเห็นมั่วเขียนเสวี่ยตกหน้าผาตายด้วยตาของตนเอง แล้วกู้ร่างขึ้นมา ในตอนนั้นมั่วเหนียงกังวลว่าพวกเขาจะส่งนักฆ่ามาไล่ฆ่าอีก ระหว่างที่พูดคุยก็ไม่ได้บอกรายละเอียดไปทั้งหมด แสร้งทำเป็นว่าสายตาไม่ดี คำพูดกำกวมเล็กน้อย ดูเหมือนจะใช่แต่ก็ไม่ใช่
นางเป็นหญิงรับใช้ของฮูหยินท่านกั๋วกง ตระกูลมั่วย่อมจะมั่นใจว่ามั่วเชียนเสวี่ยตายแล้ว แต่เป็นตระกูลเฟิงที่ไม่ยอมเห็นด้วยกับความคิดของพวกเขา