ความเรียบง่ายและสุขุมด้านนอก คล้ายหลักการใช้ชีวิตของท่านพ่อ สะพานเล็กๆ และน้ำที่รินไหลในเรือน กลับแสดงถึงความอ่อนโยนของท่านแม่
ทิวทัศน์นี้ หากอยู่ในวันปกติ นางจะหยุดแล้วชื่นชมสักครู่หนึ่งแน่นอน
ทว่า วันนี้ไม่ได้ วันนี้นางมีศึกใหญ่ต้องสู้ นางจะรอสามคนนั้นมาหา แล้ววางอำนาจข่มทั้งสามคน
เรือนเสวี่ยหว่านที่นางอยู่ กว้างขวางอย่างมาก ท่านพ่อไม่มีอนุภรรยา และนางก็ย่อมไม่มีพี่น้อง ท่านพ่อจึงรักและตามใจนางมาก ส่วนท่านแม่ก็รักและทะนุถนอมนางอย่างดี เรือนเสวี่ยหว่านที่นางอยู่ คือเรือนที่ดีที่สุดในจวนกั๋วกง ว่ากันว่าหรูหรายิ่งกว่าเรือนหลักเสียอีก
ภายในห้องตกแต่งอย่างหรูหรา เพียงแต่ไม่มีคนอยู่มาหลายปีแล้ว จึงดูวังเวงเล็กน้อย เป็นไปตามที่มั่วเชียนเสวี่ยคาดคิด นางเพิ่งนั่งพักบนตั่งไม้ ด้านนอกก็มีผอจื่อเข้ามารายงานว่าคุณชายทั้งสามมาเยี่ยม
ผอจื่อสองสามคนที่อยู่นอกเรือนมั่วหมัวมัวเลือกเองกับมือ คือคนเก่าคนแก่ที่รับใช้อยู่ในเรือนเสวี่ยหว่านมาโดยตลอด เป็นคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ คุณชายทั้งสามแห่งตระกูลมั่ว คนหนึ่งชื่อมั่วจื่อถั่ง คือบุตรชายคนเล็กสุดของภรรยาเอกหัวหน้าตระกูลมั่ว อีกคนหนึ่งชื่อมั่วจื่อฮว่า เป็นหลานชายของผู้อาวุโสคนโตตระกูลมั่ว ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อมั่วจื่อเยี่ย เป็นหลานชายของผู้อาวุโสรองตระกูลมั่ว
เดิมที เมื่อรอจนถึงเดือนเก้า ตำแหน่งกั๋วกงนี้ พวกเขาจะได้ครอบครองอย่างแน่นอน แต่ทว่าเวลานี้ กลับมีมั่วเชียนเสวี่ยซึ่งเป็นเจ้าของตัวจริงโผล่ออกมา แล้วจะไม่ให้พวกเขาโมโหได้อย่างไร
ถึงแม้พวกเขาสามคนล้วนเป็นหนึ่งในตัวเลือกแต่ว่าพวกเขาทั้งสามคนล้วนคิดว่าตนคือผู้ที่ถูกเลือก คิดว่าจวนกั๋วกงเป็นสมบัติของพวกเขาไปแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งกลับเข้ามาในจวน ก็ทุบตีทำร้ายบ่าวในจวน ทั้งยังขายสาวใช้ที่มั่วจื่อฮว่าโปรดปรานอีกด้วย…นางต้องการที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่น
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเยือกเย็น นางรอพวกเขาบุกเข้ามาในเรือนด้วยความโมโหเช่นนี้นี่แหละ
นางกำลังกวนประสาทพวกเขา ความโมโหทำให้คนสูญเสียการวางตัวได้ เมื่อถึงเวลานางค่อยสังเกตความเจ้าเล่ห์ของพวกเขา แล้วค่อยกลับไปคิดแผนใหม่
ทว่า ทั้งสามคนกลับเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยคาดไม่ถึง
ทั้งสามคนเดินเข้ามา ยามมั่วจื่อถั่งยิ้มช่างอ่อนโยนและเป็นมิตรแลดูคล้ายคนดี ทางด้านมั่วจื่อฮว่ายกมุมปากขึ้นยิ้มโปรยเสน่ห์เกินจริง ส่วนมั่วจื่อเยี่ยแม้ใบหน้าของเขาจะยิ้ม ทว่าความหม่นหมองในแววตาหายไปอย่างรวดเร็ว หมัวมัวอยู่ที่นี่มานานครึ่งปีแล้ว พวกเขาสามคนไม่เคยโผล่หน้ามาที่เรือนเสวี่ยหว่านมาก่อน รับรู้นิสัยของพวกเขามาจากพ่อบ้าน
คุณชายถั่งเป็นคนซื่อตรง คุณชายฮว่าไม่จริงจังกับชีวิต ส่วนคุณชายเยี่ยเป็นคนเหี้ยมโหด อย่างน้อย วันนี้ที่มั่วเชียนเสวี่ยเห็นก็คือสิ่งเหล่านี้
คิดไม่ถึงว่าคนต่ำทรามอย่างหัวหน้าตระกูลมั่ว จะเลือกคนความเจ้าเล่ห์ลุ่มลึกเช่นนี้ได้
มั่วจื่อถั่งยิ้มอ่อนโยน ไม่รอมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามาหาก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “น้องเสวี่ย ไม่เจอกันห้าปี เจ้ายังจำพี่สิบเอ็ดได้หรือไม่”
ในบรรดาบุตรสายตรงของตระกูลมั่วจื่อถั่งอยู่ลำดับที่สิบเอ็ด เมื่อก่อนตอนหัวหน้าตระกูลมั่วมาที่จวน มักจะพาเขามาด้วย นับตั้งแต่นั้น หัวหน้าตระกูลมั่วก็ยิ่งตั้งใจมากกว่าเดิม อยากจะยกบุตรชายคนนี้ของตนให้จวนกั๋วกง แต่ว่าถูกกั๋วกงปฏิเสธไปในตอนนั้น
เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ ระหว่างทางมั่วหมัวมัวย่อมพูดถึง
“จะจำไม่ได้ได้อย่างไรเจ้าคะ ขอบคุณพี่สิบเอ็ดที่กตัญญูต่อท่านพ่อท่านแม่แทนเชียนเสวี่ยโปรดรับการคำนับของเชียนเสวี่ยด้วยเถอะเจ้าค่ะ” พวกเขาสามารถเสแสร้งได้เช่นนั้นนางก็ทำได้เหมือนกัน มั่วเชียนเสวี่ยแสร้งยิ้ม แล้วทำทีคำนับ
ดูสิว่าผู้ใดจะเสแสร้งได้เหนือกว่ากัน
เหล็กแข็งแกร่ง สุดท้ายก็จะกลายเป็นได้แค่หยกที่เผาไม้ คิดจะตายไปพร้อมกับนาง พวกเขาไม่คู่ควร
มั่วจื่อถั่งยกมือขึ้นพยุง ทางด้านมั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยเองก็เอนตัวหลบ
เมื่อนั่งลง จื่อฮว่ายิ้มสะกดวิญญาณให้นาง ทางด้านจื่อเยี่ยเองก็พูดจาแปลกๆ “จื่อถั่ง น้องสาวคนนี้เป็นตัวจริงหรือตัวปลอมยังไม่รู้เลย เจ้ากลับรื้อฟื้นความหลังแล้ว”
สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยไม่สบอารมณ์ “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความเยี่ยงไร”
“หมายความเยี่ยงไรงั้นรึ” จื่อเยี่ยจับจ้องไปที่มั่วเชียนเสวี่ยด้วยแววตาเยือกเย็นแล้วพูด “คนในเมืองหลวง มีผู้ใดไม่รู้ มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่า ตอนนี้น้องเชียนเสวี่ยนอนอยู่ข้างหลุมศพของท่านกั๋วกง ไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครโผล่มาจากที่ใด กล้าปลอมตัวเป็นบุตรีของภรรยาเอกท่านกั๋วกง ควรจะลงโทษเช่นไร”
คำพูดของเขาแฝงเจตนาเอาไว้ เขาต้องการเอามั่วเชียนเสวี่ยถึงตาย ปลอมตัวเป็นบุตรีของภรรยาเอกท่านกั๋วกงแล้วสืบทอดตำแหน่งกั๋วกง โทษเท่ากับหลอกลวงจักรพรรดิ “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่าตนคือบุตรีของภรรยาเอกท่านกั๋วกง”
มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ มองตอบกลับไป “แล้วเจ้ามีอะไรมาพิสูจน์ว่าข้าไม่ใช่บุตรีท่านกั๋วกง”
จื่อฮว่าพูดโพล่งออกมา “น้องเชียนเสวี่ยของข้า เป็นสตรีที่สง่างาม ใช่ว่าไก่ชนเช่นเจ้าจะเทียบได้ ดูจากสภาพของเจ้าที่เต็มไปความโสมม ไม่แน่ว่าอาจจะเคยอยู่ในโลกโลกีย์มานับครั้งไม่ถ้วนก็ได้…”
ไก่ชน? โสมม? โลกีย์? นี่มันหยาบคายอย่างมาก!
จื่อถั่งยืนนั่งยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอยู่ข้างๆ คล้ายไม่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
ทางด้านจื่อเยี่ยมองนางด้วยแววตาเย้ยหยัน
คล้ายเวลาหยุดนิ่ง
สิ่งที่พวกเขาพูดไม่มีหลักฐาน แค่ต้องการทำให้นางโมโหก็เท่านั้น นางอยากจะให้พวกเขาโมโหแล้วขาดสติ ทว่าที่แท้พวกเขาเองก็มีแผนการเดียวกับนาง
หากนางโมโหแล้วขับไล่พวกกเขาออกไป เช่นนั้นนางจะกลายเป็นคนอกตัญญู ผู้อื่นไม่รู้ว่าพวกเขาพูดสิ่งใด เห็นเพียงนางขับไล่ลูกพี่ลูกน้องที่ไว้อาลัยท่านพ่อท่านแม่ออกจากเรือน
ช่างเป็นแผนการที่ดีจริงๆ!
ภัยร้ายที่นางประสบและเวลาครึ่งปีใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านหวังจยา สุดท้ายจะถูกพวกเขาป่าวประกาศว่าไปเที่ยวเล่น
บิดามารดาทำคุณงามความดีเพื่อแคว้น แต่นางไม่กลับมาไว้อาลัย เอาแต่เที่ยวเล่นด้านนอกอยู่นาน ทันทีที่กลับมาสิ่งแรกที่ทำไม่ใช่กตัญญูต่อพ่อแม่ แต่กลับไล่ตะเพิดลูกพี่ลูกน้องที่ไว้อาลัยแทนนางออกจากจวน แค่คำว่าอกตัญญูก็สามารถขับไล่นางออกจากตระกูลมั่วได้แล้ว
ทุกแคว้นย่อมมีกฎเกณฑ์ของตระกูล ขอเพียงเป็นคนที่ถูกตระกูลขับไล่ ยศถาบรรดาศักดิ์และเงินทองล้วนตกอยู่ในการครอบครองของตระกูล
เช่นนั้น ตำแหน่งของนางก็จะตกเป็นของตระกูลมั่ว อย่างถูกต้อง
มั่วเชียนเสวี่ยอดกลั้นความคับแค้นใจเอาไว้ วันข้างหน้านางย่อมทำให้พวกเขาร่ำไห้
มั่วเชียนเสวี่ยไม่โมโหแต่กลับยิ้ม “เชียนเสวี่ยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าตนคือบุตรีของภรรยาเอกท่านกั๋วกงหรือไม่ ขอเพียงพิสูจน์ว่าศพในสุสานเป็นฝีมือของผู้ไม่หวังดี ต้องการใช้ศพนั้นมาแทนที่เชียนเสวี่ย แล้วหลอกลวงทุกคน…ก็พอแล้ว”
จื่อฮว่าพูด “หากคนในหลุมฝังศพไม่ใช่น้องสาวที่น่าสงสารของข้า แล้วจะเป็นผู้ใด” มั่วเชียนเสวี่ยไม่กระวนกระวายแม้แต่น้อย นางเป่าน้ำชาในถ้วยแล้วพูดด้วยความผ่อนคลาย “ศพนั้นคือเสี่ยวเหนียนสาวใช้คนสนิทของเชียนเสวี่ย”
ชูอีและสืออู่อายุไล่เลี่ยกับนาง แต่เพราะเพื่อความสะดวกในการดูแลนาง ในอดีตจึงให้สาวใช้ใหญ่สองคนมาดูแลซึ่งในตอนนั้นพวกนางอายุสิบห้าปีแล้ว เป็นช่วงอายุที่สามารถทำงานได้ดี ผ่านไปห้าปี แน่นอนว่าย่อมอายุยี่สิบปี เดิมทีอยากจะรอให้มั่วเชียนเสวี่ยแต่งงานออกเรือนก่อนค่อยให้สาวใช้ทั้งสองออกเรือน ทว่าผู้ใดจะไปคาดคิดกลับสิ้นใจตั้งแต่อายุยังน้อย
“เชียนเสวี่ยอายุครบสิบห้าเดือนหน้า แต่เสี่ยวเหนียนที่เป็นสาวใช้อายุครบยี่สิบตั้งแต่เมื่อปีกลาย กระดูกของคนอายุยี่สิบและกระดูกของคนอายุไม่ถึงสิบห้า ขอเพียงเป็นนักชันสูตรศพที่มีประสบการณ์ ย่อมสามารถแยกแยะได้ในปราดเดียว เช่นนั้น เราเชิญคนมาเปิดโรงแล้วชันสูตรศพกันเถอะ…”
มั่วเชียนเสวี่ยพูดอย่างมีเหตุมีผล คุณชายทั้งสามคนเงียบงันในทันที สีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เห็นทั้งสามคนเงียบ มั่วเชียนเสวี่ยกลอกตาไปมา หัวเราะเสียงเบาแล้วพูด “ทั้งที่เป็นสาวใช้ในจวนกั๋วกง แต่กลับถูกผู้อาวุโสในตระกูลบอกว่าเป็นคุณหนูใหญ่ ช่างน่าขันเสียจริง”
มั่วจื่อถั่งวางถ้วยน้ำชาลง เขาปรับสีหน้าเรียบร้อยแล้ว เป็นสีหน้าสุภาพอ่อนโยนที่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยใคร่อยากจะฉีกออกมา
“น้องเสวี่ย ในอดีตพวกเขาสองคนไม่เคยเจอเจ้ามาก่อน ตอนนี้พวกเขาสงสัยก็เป็นเรื่องปกติ สิ่งที่พวกเขาทำเป็นเพียงความเคารพที่มีต่อท่านกั๋วกง กลัวว่าจะมีคนจับปลาในน้ำขุ่น ยกประโยชน์ของตระกูลมั่วไปให้คนนอก”