“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” สีหน้าหัวหน้าขันทีเคร่งขรึม เขาพยักหน้าหนักแน่นแล้วถอยหลังสองสามก้าว จากนั้นหมุนตัวหันหลังเดินออกไป
เขาสูดลมหายใจเข้า ก้าวเดินแผ่วเบา ย่างก้าวรวดเร็วทว่าไม่กระวนกระวาย เพียงมองปราดหนึ่งก็รู้แล้วว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกทั้งพลังยุทธ์ของเขาไม่ธรรมดาแน่นอน
เห็นประตูวังหลวงตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จัดผ้าขาวบนตัว เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย เดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
ความแค้นในวันนี้ นางจะทวงคืนกลับมาให้ได้
ไม่เพียงแค่นี้ ความคิดที่จะใช้ชีวิตเรียบง่ายเมื่อตอนอยู่ในหมู่บ้านหวังจยา ถูกทิ้งไว้ด้านหลังไปนานแล้วเพราะความวุ่นวายตรงหน้า เป็นมนุษย์ต้องมีความทะเยอทะยาน ไม่อาจละทิ้งศักดิ์ศรี! มั่วเชียนเสวี่ยสูดลมหายใจเข้า ยื่นมือออกมา นางไม่เพียงจะเป็นผู้มีอำนาจ ทั้งยังจะสืบเรื่องการตายของท่านพ่อในสงครามเมื่อปีกลาย
เวลานี้ ลึกเข้าไปในกำแพงวังหลวงที่สูงใหญ่ มีคุณชายในชุดอาภรณ์สีม่วงยืนอยู่คนหนึ่ง ด้านหลังของเขามีผู้ติดตามหนึ่งคน
เขายืนอยู่บนที่สูง เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่คลุมผ้าขาวเดินออกมาจากตำหนักคุนหนิงของฮองเฮา ด้วยท่าทางที่งามสง่าของนาง เขาจึงให้ความสนใจในตัวนาง
เขาอยู่ในวังหลวง ฮองเฮาจะพบเจอผู้ใด มีฐานันดรศักดิ์เช่นไร ย่อมมีคนมารายงานเขา
ในวังหลวงไม่อาจสวมชุดขาวตามอำเภอใจ ยามพบเจอทหารตรวจตรา แม้นางจะพูดอย่างไพเราะว่านี่คือของพระราชทานจากฮองเฮาเพื่อให้นางได้แสดงความกตัญญู แต่เมื่อนึกถึงเรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยเคยหายสาบสูญไปนานกว่าครึ่งปี ผู้ใดบ้างจะไม่รู้ว่าผ้าขาวสามไม้บรรทัดมีความหมายใดแฝงไว้
อีกทั้งคนที่สามารถเดินเตร่ในลานชั้นในของวังหลวง ย่อมเป็นผู้ที่ชาญฉลาดอย่างมาก
คุณชายอาภรณ์สีม่วงยิ้มแล้วพูดแฝงความหมายลึกซึ้ง “คุณหนูแห่งจวนกั๋วกงคนนี้ มีรูปโฉมงดงาม ความหัวรั้นของนางช่างเหมาะสมกับน้องเจ็ดยิ่งนัก”
ผู้ติดตามด้านหลังตอบด้วยความเคารพ “คุณชายใหญ่ คุณชายอย่าเป็นห่วงเรื่องของคุณชายเจ็ดเลยขอรับ คุณชายร้อนใจอยู่ทางนี้ คุณชายเจ็ดไม่เห็นน้ำใจของคุณชายก็ไร้ประโยชน์”
คุณชายอาภรณ์สีม่วงทอดถอนหายใจ “ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน หลังเสี่ยวชีกลับมาจากเมืองเทียนเซียง เขาเปลี่ยนไปแล้ว ไม่แน่ว่าครั้งนี้อาจจะสนใจมากขึ้นก็เป็นไปได้”
มั่วเชียนเสวี่ยเดินออกจากกำแพงวังหลวง ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทว่าคิ้วที่ขมวดเป็นปมยังคงไม่คลาย
มั่วเหนียง ชูอีและสืออู่ยืนรออยู่นอกประตูวังหลวงมาโดยตลอด เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมา จึงรีบเดินเข้าไปหาแล้วพยุงตัวนาง ทว่ากลับเห็นมั่วเชียนเสวี่ยคลุมตัวด้วยผ้าขาวสามไม้บรรทัด พวกนางไม่สบายใจขึ้นมาทันที ถามด้วยความระมัดระวัง “คุณหนูเอาผ้าขาวมาคลุมตัวได้อย่างไรเจ้าคะ”
นางเป็นกังวล ในวังหลวงนั้นเข้มงวดยิ่งนัก ทั้งยังเต็มไปด้วยกฎระเบียบมากมาย คุณหนูสวมชุดคลุมสีขาวเช่นนั้นเกรงว่าจะพบเจอเคราะห์ร้ายเข้าแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยพูดเสียงเย็นยะเยือก “นี่เป็นผ้าขาวที่ฮองเฮาพระราชทาน รอกลางคืนกลับไปถึงจวน เจ้ากับชูอีรีบตัดผ้าขาวให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ก่อนรุ่งสางต้องตัดชุดไว้อาลัยให้เสร็จ”
หลังจากมั่วเหนียงชะงักครู่หนึ่งนางก็พยักหน้า พูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ฮองเฮายังคิดถึงความสัมพันธ์ในอดีต…”
มั่วเหนียงยังคงพูดต่อ มั่วเชียนเสวี่ยหยุดเดิน เดิมทีนางอยากจะพูดความจริงให้มั่วเหนียงรู้ แต่เมื่อมองดูรอบๆ เห็นคนในวังหลวงมองมา มั่วเชียนเสวี่ยจึงกลืนคำพูดลงคอ ก้าวเดินอย่างรวดเร็ว เดินถึงหน้ารถม้าด้วยเวลาเพียงครู่หนึ่ง ไม่สนใจคำทักทายของชูอีและสืออู่ มั่วเชียนเสวี่ยกระโดดขึ้นรถม้า
มั่วเหนียงบอกเพียงว่ามั่วเชียนเสวี่ยเหนื่อยมาก ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก วิ่งตามหลังมั่วเชียนเสวี่ยแล้วขึ้นรถม้า
หลังจากมั่วเหนียงวิ่งตามหลังมั่วเชียนเสวี่ย แล้วขึ้นไปบนรถม้า มั่วเชียนเสวี่ยจับจ้องไปที่ดวงหน้าของมั่วเหนียง พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ทว่าตอนฮองเฮาพระราชทานรางวัล พระนางบอกว่า นี่คือผ้าขาวสามไม้บรรทัด”
รอยยิ้มบนใบหน้ามั่วเหนียง นิ่งค้างทันที
ผ้าขาวสามไม้บรรทัด! นางย่อมรู้ว่าสิ่งนี้มีความหมายเช่นไร รอยยิ้มนิ่งค้างบนดวงหน้าแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธเคือง “ฮูหยินดีกับฮองเฮายิ่งนัก พระนางช่างเนรคุณ!”
มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเยือกเย็นในลำคอไม่ได้พูดอะไรอีก ในรั้วกำแพงวังหลวง สิ่งที่ไม่อาจเชื่อถือได้ที่สุดก็คือบุญคุณ
เพิ่งเข้าเมืองหลวง ยังไม่เจอสารถีที่เหมาะสม ดังนั้นคนที่ขับรถม้าจึงยังเป็นอาอู่
แม้มั่วเหนียงจะขุ่นเคืองใจ ทว่าไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าสิ่งใดเหมาะสมสิ่งใดไม่เหมาะสม นางเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเงียบ จึงออกคำสั่งแทนนาง “อาอู่ กลับจวน!”
รถม้าเคลื่อนไหว มั่วเหนียงห่มผ้าให้มั่วเชียนเสวี่ย พูดด้วยความเป็นห่วง “คุณหนูเหนื่อยแล้ว พักก่อนเถอะเจ้าค่ะ” แม้ฮองเฮาจะพระราชทานผ้าขาวสามไม้บรรทัด แต่คุณหนูเดินออกมาจากวังหลวงอย่างปลอดภัย คาดว่าต้องมีฮ่องเต้คอยปกป้องอย่างแน่นอน
เวลานี้คุณหนูตกใจ ควรจะพักก่อนเพื่อบรรเทาความตกใจ ประเดี๋ยวหลังจากกลับไป ค่อยถามความจริงกับคุณหนู วิเคราะห์แล้วค่อยคิดแผนรับมือ
เมื่อวานหนีและต่อสู้ตลอดทั้งวัน เคร่งเครียดยิ่งนัก เมื่อคืนยังถูกคนกลุ่มที่สี่ลอบทำร้าย อีกทั้งหนิงเซ่าชิงยังถูกน้ำซัดไป มั่วเชียนเสวี่ยตามหาหนิงเซ่าชิงตามทางน้ำไหลตลอดทั้งคืน ไม่ได้พักผ่อนแม้แต่น้อย
วันนี้รีบเดินทางเข้าเมืองหลวง เมื่อกลับถึงจวนกั๋วกงก็ทั้งต้องวางอำนาจ ทั้งต้องรับมือกับคุณชายเจ้าเล่ห์ทั้งสามคน ตอนเย็นยังต้องเข้าวังหลวง แสดงไหวพริบและความกล้าหาญเช่นนี้อีก
มั่วเชียนเสวี่ยเหนื่อยมากจริงๆ แต่เวลานี้ นางอยากจะอยู่เงียบๆ และจัดการกับความคิดของตนเอง
ในยามวิกฤตเช่นนี้ ทุกนาทีคือชีวิต!
แน่นอนว่าหน้าประตูวังหลวงย่อมไม่มีผู้ใด รถม้าขับผ่านโดยไร้อุปสรรคกีดขวาง
สิ่งที่ฮ่องเต้ต้องการคือป้ายไม้ดำ สิ่งที่ฮองเฮาต้องการคือชีวิตของนาง สิ่งที่ตระกูลมั่วต้องการคือตำแหน่งของนาง ทั้งยังมีคนร้ายที่จ้องพร้อมตะครุบดั่งพญาเสือ จะหาความสมดุลในเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร…
นางเพิ่งหลับตาลงไม่นาน เวลานี้รถม้ากลับหยุดลง
มั่วเชียนเสวี่ยเปิดม่าน ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ไม่รู้ว่ารถม้าขับมาถึงตลาดตั้งแต่เมื่อใด มีขอทานหลายคนอยู่ด้านนอก “ทำบุญทำทาน ให้อาหารหน่อยขอรับ”
ที่นี่คือเมืองหลวง คือเมืองของราชวงศ์ เมืองของโอรสแห่งสวรรค์ พูดหรือกระทำการใดย่อมต้องระมัดระวัง อาอู่กลัวจะชนขอทานเหล่านั้นแล้วสร้างปัญหาให้มั่วเชียนเสวี่ย จึงหยุดม้า รถม้าจึงจอดเป็นธรรมดา
จากการเดินเข้ามาใกล้ของขอทาน กลิ่นเหม็นและเสียงขอเงินจึงลอยมาพร้อมกัน มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม ที่นี่คือเมืองหลวง มีขอทานมากมายเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด ทั้งยังกล้าล้อมรถม้าของคุณหนูผู้สูงศักดิ์
เจ้าเมืองเขตเมืองหลวงทำงานอย่างไร!
เมื่อรถม้าจอดสนิท ด้านข้างมีขอทานนับสิบกรูกันเข้ามา ปิดล้อมรถม้าของนางเอาไว้ เพียงชั่วพริบตาขอทานบีบให้รถม้าหยุดนิ่งไม่อาจเคลื่อนไปด้านหน้าและไม่อาจถอยหลัง
“คุณหนูผู้สูงศักดิ์ ทำบุญทำทานด้วยขอรับ…” เสียงขอทานด้านนอกดังขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้วเป็นปม หันไปมองมั่วเหนียง “มีเงินหรือไม่?” เวลานี้ เอาเงินออกมาหนึ่งพวง โยนไปไกลเล็กน้อย ขอทานเหล่านี้ย่อมไปเก็บ ย่อมไปแย่ง วิกฤตตรงหน้าก็จะได้รับการคลี่คลาย
มั่วเหนียงเข้าใจความหมายของมั่วเชียนเสวี่ย หยิบถุงเงินออกมา “ด้านในมีเศษเงินเล็กน้อย คุณหนูเอานี่ไปใช่ก่อนเถอะเจ้าค่ะ”
มั่วเชียนเสวี่ยรับถุงเงิน มั่วเหนียงพูดในใจว่าโชคดียิ่งนัก ดีที่ตนมีไหวพริบ นึกถึงเรื่องที่จวน ล้วนต้องใช้เงินเพื่อเบิกทาง ทันทีที่กลับถึงจวน จึงบอกพ่อบ้านเตรียมเศษเงินให้ตนเล็กน้อย
ตอนนี้จะมีอารมณ์มาคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่นี้ได้อย่างไร มั่วเชียนเสวี่ยไม่แม้แต่จะดูจำนวนเงิน หยิบเศษเงินออกมาจากถุงเงิน แล้วสาดออกไปตรงทางเดินด้านนอก
เพียงแต่เมื่อเศษเงินเหล่านั้นร่วงหล่นลงบนพื้น มีคนไปแย่งไปเก็บจริงๆ
ทว่า คนที่เก็บเงินเหล่านั้น กลับเป็นชาวบ้านทั่วไปในตลาด ขอทานนับสิบที่ล้อมรถม้า ไม่ออกไปเก็บเงิน แต่กลับใช้ประโยชน์จากความชุลมุน
มั่วเชียนเสวี่ยบอกกับมั่วเหนียงด้วยความร้อนใจ “ออกไป สังหารขอทานเหล่านี้ให้หมด”