ดังนั้น เบาก็ไม่ได้ หนักก็ไม่ได้
ซูจิ่นอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวด้วยใบหน้าที่แลดูเคร่งขรึม “ถ้ากล่าวถึงท่าทีของฝ่าบาท ต้องเริ่มจากการวิเคราะห์อำนาจในแผ่นดินนี้ก่อน ตระกูลหนิงมั่งคั่งด้วยเงินทอง มีกองกำลังลับ หากมีอำนาจทางการทหารอีก ฝ่าบาทอยากจะกดหัวก็เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ตระกูลซูของข้าแม้นจะมีกองกำลังทางการทหาร แต่กลับยังต้องพึ่งพิงฝ่าบาท มิฉะนั้น อันดับแรกเลยเบี้ยหวัดทหารก็จะไม่ได้ ในเมื่อฝ่าบาทสามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของตระกูลซูของเราได้ ก็ไม่ต้องกลัวหากตระกูลของเราจะมีกองกำลังทหารเพิ่มขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น บรรพบุรุษของเราเคยสาบานไว้ว่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามลูกหลานตระกูลซูจะไม่มีวันก่อกบฏ หากผิดคำสาบานนี้จะต้องถูกขับไล่ออกจากแว่นแคว้น แม้นว่าคำสาบานนี้จะจำกัดตระกูลซูเอาไว้ แต่ก็รักษาตระกูลซูเอาไว้เช่นกัน…”
หัวหน้าตระกูลซูพยักหน้า ซูจิ่นอวี้เข้าใจเหตุผลดี จึงได้กล่าวอีกครั้ง “ตระกูลเซี่ยช่วยตะกูลกู่ของเขาควบคุมราชสำนัก ตระกูลซูก็ช่วยตระกูลกู่ของเขากุมอำนาจทางการทหารไว้ ตระกูลหนิงกลับบีบเส้นชีพจรของราชวงศ์ ดังนั้นตระกูลหนิงจึงกลายเป็นที่จับตามองของฝ่าบาท เป็นหนามยอกอก ตระกูลที่ฝ่าบาทอยากจะจัดการมากที่สุดก็คือตระกูลหนิง…”
หัวหน้าตระกูลซูเห็นว่าซูจิ่นอวี้พูดได้ชัดเจนและมีเหตุผล ใจก็สงบลง “พูดได้ดี เบี้ยหวัดทหารของฝ่าบาทมาจากไหน แน่นอนว่าส่วนมากล้วนมาจากตระกูลหนิง ต้องการเงินของผู้อื่น จะทำอะไรก็ย่อมจะต้องไว้หน้าพวกเขา ฝ่าบาทมีกลยุทธ์ทางการทหารอยู่ในใจ อยากจะจัดเตรียมมาโดยตลอด นอกจากตระกูลขุนนางของเราแล้ว ตระกูลหนิงก็จะเป็นฝ่ายแรกที่ได้รับผลกระทบ เรื่องเหล่านี้ทุกคนล้วนรู้ดี เพียงแต่เขาเก็บมันไว้ในใจไม่ต่างกับพาตัวเองเข้าไปอยู่ในกองไฟให้มันเผาไหม้”
ซูจิ่งอวี้กล่าว “ดูท่าฝ่าบาทคงอยากจะจัดการตระกูลหนิงเต็มทีแล้ว
หัวหน้าตระกูลซูพยักหน้า ซูจิ่นอวี้กล่าวต่อ “ตระกูลหนิงอยากหลุดพ้นจากภยันตราย ก็ต้องแยกจากอำนาจทางการทหารโดยสิ้นเชิง ตระกูลที่ไม่ควรเชื่อมสัมพันธ์กับจวนเจิ้นกั๋วกงมากที่สุดก็คือตระกูลหนิง และตระกูลที่อยากเชื่อมสัมพันธ์กับจวนเจิ้นกั๋วกงมากที่สุดก็คือตระกูลเซี่ยของเขา วิธีการนี้ของพวกเราเรียกได้ว่ายิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ได้ทั้งอำนาจทางการทหาร ทั้งยังสามารถกดตระกูลเซี่ยเอาไว้ได้อีก…”
ซูจิ่งอวี้กล่าวถึงตระกูลเซี่ย หัวหน้าตระกูลซูก็พ่นล้มหายใจออกมา “ตระกูลเซี่ยของเขา ยิ่งเสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ เดิมก็เกาะชายกระโปรงสตรี บัดนี้ก็ไม่มีบุตรชายมาหลายชั่วอายุคนแล้ว ค่อยๆ กลายเป็นสุนัขของฝ่าบาท หากยังไม่หาวิธีคว้าอำนาจที่แท้จริงมาไว้ในมือบ้าง ตระกูลเซี่ยก็จะมาถึงจุดจบจริงๆแล้ว ตระกูลหลัวก็คือตัวอย่างที่ยังมีชีวิต…”
“ตามความหมายของท่านพ่อก็คือ ตระกูลมั่วไม่ควรค่าแก่การพูดถึง แผ่นดินเทียนฉีแบ่งเป็นสามก๊กจริงๆ มีตระกูลซูของ ราชวงศ์ และตระกูลหนิง เพื่อความอยู่รอด จำเป็นต้องรักษาสมดุลของทั้งสามฝ่ายนี้…อันดับแรกก็คือไม่อาจให้ฝ่าบาทกำจัดตระกูลหนิงออกไป แต่ก็ไม่อาจให้ตระกูลหนิงได้อำนาจทางการทหารไปเช่นกัน…”
หัวหน้าตระกูลซูพึงพอใจกับการวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นของบุตรชายมาก แต่ก็ยังคงกล่าวเตือน “แต่ก็อย่าได้ดูแคลนตระกูลเซี่ยจนเกินไป แมลงร้อยขาตายก็ไม่ล้ม ตระกูลเซี่ยสามารถอยู่มาจนถึงทุกวันนี้เพราะความโดดเด่นของตัวเขาเอง…ตอนนี้ไส้ศึกในราชสำนักส่วนมากก็ยังอยู่ในการควบคุมของตระกูลเซี่ย…”
ค่ำคืนลึกดั่งน้ำ ลมเร็วดั่งควบม้า
คืนนี้ในเมืองหลวงถูกปกคลุมไปด้วยเสียงโห่ร้อง เสียงกีบม้า เสียงไล่จับ เสียงกรีดร้องปะปนกันไป กับนักรบที่ควบม้าเข้ามาพร้อมกับชัยชนะ สะท้อนแสงสีทองออกมา ฉีกโครงสร้างความสงบของเรื่องราวภายใน
หลังจากผ่านการครุ่นคิดและชั่งน้ำหนักมาทั้งวัน ในที่สุดฝ่าบาทก็เริ่มเคลื่อนไหว เขาต้องการอ้างถึงเรื่องของมั่วเชียนเสวี่ยที่มีกลุ่มกบฏซุ่มโจมตีหญิงสูงศักดิ์ ทำการสอบสวนอย่างเข้มงวด นำความปลอดภัยและอันตรายทั้งหมดมาไว้ในมือของตนเอง
ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ จัดระเบียบทุกหน้าที่ที่สำคัญในเมืองหลวงใหม่ ตำแหน่งที่สำคัญก็เปลี่ยนคนใหม่
ต้องการควบคุม ก็ต้องปฏิรูปใหม่
ปฏิรูปใหม่ แน่นอนว่าจะมีการขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น มีคนอยู่เหนือกว่า ก็ต้องมีบางคนถูกลงโทษอย่างเลี่ยงไม่ได้ ตกจากม้า แม้กระทั่งยึดทรัพย์สินของพวกเขา…
ตัวอย่างเช่น ผู้บัญชาการทหารเก้าประตู ตำแหน่งนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความปลอดภัยของเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของคุณชายอวี๋บุตรชายของจิ่งชินอ๋อง ครั้งนี้จะถูกแทนที่ด้วยหัวหน้าองครักษ์ที่ฮ่องเต้ทรงไว้วางพระทัย แม่ทัพคนนั้น
ทว่าตอนนี้หัวหน้าองครักษ์คือแม่ทัพฟู่คนเดิม…
แม้นว่าจิ่งชินอ๋องจะเป็นลุงของเขา แต่กลับคาดหวังอะไรไม่ได้ ฮ่องเต้อยากจะเปลี่ยนตั้งนานแล้ว เพียงแต่ตลอดมาหาเหตุผลที่เหมาะสมไม่ได้
ครั้งนี้มั่วเชียนเสวี่ยถูกโจมตี พอดีเลยก็ได้โทษคุณชายอวี้ว่าละเลยต่อหน้าที่จนทำให้เกิดการจลาจล
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเรื่องทุกอย่างขึ้นอยู่กับฝ่าบาทเพียงคนเดียว
เขาต้องใช้คน แต่คนผู้นั้นจะต้องไม่ใช่คนของเขา เรื่องของบุคลากรเป็นเรื่องที่ซับซ้อนที่สุดในโลกแล้ว
สามสุดยอดตระกูลขุนนาง สี่ตระกูลขุนนางขั้นหนึ่งยังมีตระขุนนางลึกลับที่ไม่ได้ศักดินาแต่อำนาจที่แน่นอนอยู่ คนเหล่านี้ล้วนทำงานให้ราชสำนักเทียนฉีมาช้านาน หยั่งรากลึกมาก คนที่จะใช้งานถ้าจะไม่ให้เกี่ยวข้องกับคนเหล่านี้เลยย่อมเป็นไปไม่ได้
เพียงแค่พยายามรักษาสมดุล ให้มีความคิดริเริ่มมากสักหน่อยก็เท่านั้น
แค่พลิกกระดานหมากรุก จัดการความปลอดภัยของเมืองหลวง แม้ว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่อยู่ในมือของฝ่าบาท แต่กองกำลังสำคัญส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไปอยู่ในมือของผู้ที่จงรักภักดีต่อราชวงศ์
ส่วนเจ้านายเหล่านี้ จะสามารถกดลูกน้องเอาไว้ได้หรือไม่ นั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ได้อย่างมั่นคงหรือเปล่า หรือว่าคนเหล่านี้เพียงแค่แสร้งจงรักภักดีต่อราชวงศ์ ผิวชั้นในคือตระกูลขุนนาง นี่ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่จะมาถึง
วันนี้ฝ่าบาทสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจได้แล้ว แต่คนจำนวนมากกลับนอนไม่หลับ
ตระกูลเซี่ย ตระกูลหนิง ตระกูลซูล้วนไม่ได้พักผ่อน พยายามสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเองให้ได้มากที่สุด
ดังนั้น พอคนของฝ่าบาทนิ่งเงียบ ทุกตระกูลก็เริ่มวางแผนกันอย่างคึกคัก
การเมืองคือการปล้นทุกรูปแบบหลังจากที่ประนีประนอมแล้ว ทุกครั้งที่มีการล้างไพ่ใหม่ ก็เป็นการเริ่มต้นของสถานการณ์ใหม่ๆ นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรืองของทุกตระกูลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าหรืออีกหลายสิบปีข้างหน้า
หลังจากคืนนี้ กลางคืนในเมืองหลวงจะยาวนานมาก จะไม่มีใครออกมาแม้นเพียงครึ่งก้าว
ตอนนี้ทั่วทั้งเมืองหลวงอยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ถูกจับได้ขึ้นมา ถ้าอธิบายเหตุผลไม่ชัดเจนก็จะกลายเป็นกบฏ ฝ่าบาทมีพระราชโองการลงมาแล้ว เพียงแค่เป็นกบฏ ก็ฆ่าได้ทันที
ความตึงเครียดและความไม่สงบภายในเมืองหลวงได้แผ่ขยายไปยังลานเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตา ซึ่งห่างไกลจากอำนาจทางการเมืองในเมืองหลวง ลานเรือนเล็กๆ ในคืนที่เกิดสถานการณ์ที่วุ่นวาย ก็ดูเหมือนจะไม่ปกติเช่นกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปด้านใน กลับพบว่าลานเล็กๆ นี้ไม่ธรรมดาเลย มีกำแพงโดยรอบด้านในยังมีลานเล็กๆ ที่มีรั้วไผ่อีก
ชายสองคนในชุดรัดรูปยืนตีวตรงอยู่ในลานที่ล้อมรอบด้วยรั้วไม้ไผ่ เข้ามาในลานเล็กๆในรั้วนี้ ตรงหน้าประตูของมีเรือนในมีคนยืนเรียงรายอยู่สามแถวแถวละหกคน รวมเป็นสิบแปดคน พวกเขาแต่คนล้วนผมเผ้ายุ่งเหยิง บนตัวมีเลือดไหลรินออกมาเบาบาง เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเพิ่งจะผ่านการต่อสู้ที่โหดร้ายมา
เป็นเช่นนี้แล้ว พวกเขายืนอยู่ตรงนั้น ทำให้คนกลัวได้ดั่งดาบแหลมคมที่ยังไม่ถูกชักออกจากฝัก ทำให้ภายในลานเล็กๆ เต็มไปด้วยแรงกดดันอันเยือกเย็นที่แผ่ซ่านออกไปโดยรอบ
ความหนาวเย็นที่กดทับจนหายใจได้อย่างลำบากนี้ แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความสงบภายในเรือน
ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง ภายใต้บรรยากาศแห่งความตึงเครียดนี้ มีชายสองคนกำลังนั่งจิบชาและเล่นหมากรุกภายในเรือนอยู่
ไอน้ำที่เพิ่มระดับขึ้นทีละน้อย ทำให้ใบหน้าของคนทั้งสองดูพร่ามัว
ชายคนหนึ่งหลังเหยียดตรงสวมใส่ขุดสีน้ำเงินสดใส ผมดำยาวมัดไว้ด้วยผ้าสีเดียวกันกับชุด หยกชั้นยอดประดับไว้ที่บนผ้านั้น ผมบนขมับทิ้งตัวลงมาอย่างเป็นธรรมชาติ สง่างามยิ่งงนัก
ส่วนชายอีกคนหนึ่งอ่อนโยนราวกับหยก สวมชุดดำ มัดผม ดูเอื่อยเฉื่อยสบายๆ แต่ท่าทางกลับดูสูงส่งราวจันทราที่คล้อยลงมาจากเขาเทียนซาน ทุกการเคลื่ิอนไหวล้วนสง่างามและสูงส่ง แม้ว่าเขาจะสวมใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทว่ากลับไม่ได้ดูด้อยกว่าชายอีกคนแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับดูสบายๆ ยิ่งกว่า