เอวบางโอนอ่อน หมุนตัวอย่างแผ่วเบา เสมือนห่านฟ้าโบยบิน ย่างก้าวบนปุยเมฆ ตัวเบาดั่งปักษา กระโปรงพริ้วไหวร่ายรำตามแรงลม คล้ายนางไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิม ลอยล่องเสมือนเทพเซียน หมุนตัวเก้าตลบกลางอากาศ ดั่งพายุหมุน
เดิมทีคิดว่าการร่ายรำของท่านหญิงซูซู งดงามมากแล้ว โดยไม่รู้เลยว่า การร่ายรำของคุณหนูตระกูลหลันทำให้คนที่ได้ชมยากจะลืมเลือน
มีการร่ายรำของหลันรั่วเมิ่งแล้ว ไม่มีผู้ใดการลงแข่งอีก โดยไม่ต้องตัดสินใจ ตราดอกท้อด้านการร่ายรำมีเจ้าของแล้ว
ท่านหญิงซินหรุ่ยมองมาด้วยแววตาท้าทายและลำพองใจ ทว่าท่านหญิงซูซูกลับแลบลิ้นปลิ้นตาให้นาง
สำหรับการกระทำของท่านหญิงทั้งสอง องค์หญิงอวี้เหอคล้ายมองไม่เห็นอย่างไรอย่างนั้น นางคลี่ยิ้ม เห็นชัดว่าพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้ “ตราดอกท้อสำหรับการแข่งขันร่ายรำมีเจ้าของแล้ว เมื่อครู่คุณหนูทุกท่านล้วนเดินผ่านป่าดอกท้อ แล้วยังได้ชมการร่ายรำแล้ว เวลานี้เมื่อได้ชมทิวทัศน์ที่งดงามย่อมเบิกบานใจ เช่นนั้นเรามาแข่งเขียนกลอนโดยมีดอกท้อเป็นหัวข้อดีหรือไม่ เลือกเจ้าของตราดอกท้อด้านการเขียนกลอน ดีหรือไม่”
สตรีทุกคนกล่าวชื่นชม “องค์หญิงความคิดดียิ่งนักเพคะ”
องค์หญิงอวี้เหอพูด “การร่ายรำเมื่อครู่ ท่านหญิงซูซูโยนกระเบื้องล่อหยก เช่นนั้นครั้งนี้ข้าจะเป็นคนโยนกระเบื้องล่อหยกเอง แต่ว่า ต้องบอกไว้ก่อน ข้าไม่ร่วมการแข่งขัน”
องค์หญิงกระเอมไอ บรรยากาศเงียบสงัด
องค์หญิงอ่านกลอน
“ดอกท้อใต้หุบเขาในเดือนสี่ร่วงโรย ทว่าดอกท้อบนหุบเขากำลังบานสะพรั่ง พร่ำเสียดายการจากลาของฤดูวสันต์ โดยไม่รู้เลยว่าบุปผาเปลี่ยนไปผลิบานบนหุบเขา”
หลังจากองค์หญิงอ่านกลอนจบ บรรยากาศเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิม สตรีชั้นสูงโดยมากล้วนได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี แม้จะแต่งกลอนไม่เป็น ทว่ากลอนไพเราะหรือไม่นั้น จะไม่รู้ได้อย่างไร
กลอนบทนี้ไพเราะยิ่งนัก คาดว่าคงจะเตรียมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขอเพียงไม่มีผู้ใดเอาชนะนางได้ กลอนบทนี้แพร่งพรายออกไป ผู้ที่ได้ครอบครองตราดอกท้อด้านการแต่งกลอน ย่อมไม่คู่ควรกับตำแหน่งที่ได้รับ
องค์หญิงได้ชื่อเสียงด้านความสามารถ ทั้งยังได้ชื่อเสียงด้านความดีงาม ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวจริงๆ ไม่แปลกที่ก่อนหน้านี้นางไม่อยากให้ซูซูเป็นคน ‘ยกตำแหน่ง’ ตราดอกท้อด้านการร่ายรำให้ผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่อาจได้หน้าแต่เพียงผู้เดียวแล้ว
ปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่า องค์หญิงอวี้เหอเจ้าเล่ห์และเจ้าแผนการยิ่งนัก
นานครู่หนึ่ง กว่าจะมีคนกล่าวชม “ไพเราะจริงๆ”
“องค์หญิงมากความสามารถยิ่งนักเพคะ”
“…”
นำโดยองค์หญิง แน่นอนว่าบรรยากาศย่อมครื้นเครง อ่านบทกลอนและวาดภาพ กิจกรรมวัฒนธรรม เป็นกิจกรรมที่บรรดาสตรีชั้นสูงไม่อาจขาดยามรวมตัวกัน
อันเอ่อร์เยียนลุกขึ้นพูด “กลีบดอกท้อสีสันแตกต่างกัน เฉกเช่นการแต่งหน้าของสตรี ไม่ว่าจะแต่งหน้าเข้มหรือแต่งหน้าอ่อนล้วนเป็นธรรมชาติ ลมในฤดูวสันต์พัดผ่านกลีบดอกขาวชมพู ร่วงโรยลงบนอาภรณ์ขาวของคนที่อยู่เบื้องล่าง”
ไป๋โย่วเวยขมวดคิ้วเล็กน้อยพูด “ไม่อยากกลับเรือน ปรารถนาที่จะนั่งเฝ้าอยู่ริมแม่น้ำ เฝ้าอุทยานแห่งราชวงศ์ที่ถูกสงครามทำลาย ใคร่จะนั่งอีกครู่หนึ่ง แม้วันเวลาหมุนผ่าน ทำให้พระตำหนักอันวิจิตรเสื่อมโทรม แต่ยังคงปรารถนาที่จะมอง ดอกท้อไล่ตามดอกหยางเช่นไร ดอกไม้ทั้งสองแย่งชิงกันทอดทิ้งโลกใบนี้เช่นไร นกขมิ้นและนกนางนวลขาว แข่งกันหลีกหนีเช่นไร”
ถานหลิงโหรว “…”
แม้ทำนองกลอนเหล่านี้จะคล้องจองกัน ทว่าขาดการบรรยายถึงสภาพแวดล้อม คิดอยากจะเอาชนะกลอนขององค์หญิงอวี้เหอนั้นเป็นไปไม่ได้
หลังจากย่วนอ้ายเวิงจู่อ่านหนึ่งบทกลอนที่ท่วงทำนองไม่คล้องจองทำให้ทุกคนหัวเราะเยาะ นางก็เหลือบมองไปที่มั่วเชียนเสวี่ย พูดเสียงดัง “องค์หญิงเพคะ คุณหนูมั่วเปิดหูเปิดตามามาก ในท้องมีบทกวีและตำราอยู่เต็ม คาดว่าต้องแต่งกลอนได้ดีอย่างแน่นอน เช่นนั้นเชิญคุณหนูมั่วมาแต่งหนึ่งบทกลอน เปิดโลกให้ทุกคนดีหรือไม่เพคะ”
นางจำฝังใจเรื่องที่มั่วเชียนเสวี่ยทำให้นางขายหน้า เห็นสตรีชั้นสูงที่แต่งกลอนเก่งครุ่นคิดอย่างหนัก แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับนั่งจิบชา ไม่แตกต่างอะไรกับบุตรีในตระกูลทหารที่แต่งกลอนไม่เป็น เห็นชัดว่านางต้องแต่งกลอนไม่เป็นอย่างแน่นอน จึงมีแผนการในใจ
นางแต่งกลอนไม่เป็น ถูกเรียกชื่อเช่นนี้ ต้องอับอายขายหน้าอย่างแน่นอน
องค์หญิงอวี้เหอหัวเราะเบาๆ ความเจ้าเล่ห์แล่นผ่านนัยน์ตาของนาง “เช่นนั้นเชิญคุณหนูมั่วมาแต่งกลอนให้พวกเราหนึ่งบท คุณหนูมั่วเป็นคนกล้าหาญ ตอนเล็กเข้าวังหลวงบ่อย ได้ยินเสด็จแม่บอกว่าคุณหนูฉลาดหลักแหลมและรักในการเรียนรู้ คาดว่าต้องแต่งกลอนได้ดีเป็นแน่ นางกำนัล นำหมึก พู่กัน กระดาษและแท่งหมึกมา…
ตอนตนเองแต่งบทกลอน องค์หญิงยังไม่ได้ให้คนเตรียมกระดาษและแท่งหมึก แต่กลับให้คนเตรียมให้นาง
มั่วเชียนเสวี่ยเหยียดกายลุกขึ้นช้าๆ ด้วยความประหลาดใจ สีหน้าย่วนอ้ายเวิงจู่ลำพองใจ องค์หญิงยิ้มบางๆ ให้กำลังใจ บรรดาสตรีชั้นสูงมองมา มีทั้งตั้งหน้าตั้งตารอ มีทั้งรอดูนางขายหน้า…
แม้แต่ย่วนอ้ายเวิงจู่ยังเห็นความแตกต่างของมั่วเชียนเสวี่ย แล้วองค์หญิงอวี้เหอจะไม่รู้ได้อย่างไร นางเพียงแค่รอ รอโอกาสที่เหมาะสม
มั่วเชียนเสวี่ยยิ้ม “หม่อมฉันโง่เขลา ไม่ถนัดบทกลอน การแข่งขันชิงตราดอกท้อด้านแต่งกลอน หม่อมฉันไม่เข้าร่วมดีกว่าเพคะ องค์หญิงอวี้เหอได้โปรดกรุณา ให้หม่อมฉันดื่มน้ำชา ฟังสตรีชั้นสูงทุกท่านอ่านกลอน เพียงได้นั่งเรียนรู้ก็พอแล้วเพคะ”
“พู่กันและหมึกล้วนเตรียมเอาไว้หมดแล้ว คุณหนูมั่วไม่ให้เกียรติอวี้เหอหรือ” องค์หญิงพูดถ่อมตนยิ่งนัก ทว่า คำพูดของนางกลับเป็นการตักเตือน
ทำให้องค์หญิงเสียหน้าในที่สาธารณะ บรรดาสตรีชั้นสูงต้องโจมตีเป็นแน่
แม้แต่พู่กันและหมึกก็เตรียมเอาไว้แล้ว แค่เพียงนางพูด ก็จะยกกระดาษมาให้ หากนางไม่แต่งกลอน ก็จะกลายเป็นคนไร้ความสามารถ คิดได้รอบคอบจริงๆ!
เป็นจริงตามคาด เยินยอนางให้สูง เพื่อจะได้ผลักนางลงมาตายในคราเดียว…
เมื่อเห็นว่าไม่อาจปฏิเสธได้ มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “คำเชิญขององค์หญิงเชียนเสวี่ยไม่อาจปฏิเสธได้…หม่อมฉันได้แต่แสดงความขายหน้าแล้ว”
พูดจบ นางก็อ่านกลอน
“ในท่าเรือดอกท้อมีอารามดอกท้อ ใต้อารามดอกท้อมีเซียนดอกท้อ
เซียนดอกท้อปลูกต้นท้อ แล้วเด็ดดอกท้อมาแลกค่าสุรา
หลังจากสร่างเมานั่งเหม่อมองตรงหน้าดอกท้อ
เมื่อดื่มจนเมามายนิทราใต้ต้นท้อ นั่งอยู่ข้างดอกท้อวันแล้ววันเล่า เมามายและสร่างเมาปีแล้วปีเล่า
ไม่ยอมก้มคำนับให้กับรถม้าอันวิจิตร หวังเพียงได้ชมดอกท้อและดื่มสุราจนมอดม้วย
หากเปรียบเทียบความมั่งคั่งและยากไร้ เช่นนั้นต่างกันราวฟ้าดิน
หากเปรียบการวิ่งของรถม้าคือความสุขของผู้มั่งมี
ทว่าสิ่งที่คนไร้ทรัพย์ตามหาคือถ้วยสุราและกิ่งดอกท้อ
หากเปรียบชีวิตยากไร้กับความเหนื่อยยากของรถม้า
พวกเขาเหนื่อยยากกับการวิ่งของรถม้า
ส่วนตนมีความสุขกับชีวิตที่มีเวลาว่าง
ผู้คนต่างหัวเราะข้าที่บ้าคลั่ง ข้าหัวเราะพวกเขาที่ฉาบฉวย
ยังจำหลุมฝังศพของผู้สร้างความดีงามได้ หน้าสุสานไร้ดอกไม้และไร้สุรา
เวลานี้ถูกเอามาทำเป็นทุ่งนาแล้ว”
ไม่มีผู้ใดคิดว่า มั่วเชียนเสวี่ยจะพูดเก่งเช่นนี้ และไม่มีใครคาดคิดว่า กลอน ‘บท’ นี้จะยาวและแฝงความหมายลึกซึ้งเช่นนี้…
เวลานี้นอกจากเสียงอ่านกลอนของมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ไม่มีเสียงอื่นใด พู่กันของนางกำนัลที่คอยจดบันทึกตวัดไปมาอย่างรวดเร็ว กลัวเหลือเกินว่าจะเขียนพลาดไปแม้เพียงตัวอักษรหนึ่ง บรรดาสตรีชั้นสูงก็กลัวเกินเหลือเกินว่าจะฟังคลาดไปหนึ่งตัวอักษร
กลอนไพเราะที่น่าตกตะลึงนี้ เป็นกลอนที่สตรีตรงหน้าแต่งขึ้นเองจริงๆ หรือ ทว่า ไม่ว่าพวกนางจะคิดจนหัวแทบระเบิดก็ไม่เคยได้ยินถ้อยคำใดในกลอนบทนี้มาก่อน หากไม่ใช่นางเขียน แล้วจะเป็นผู้ใดได้
คิดจะลอกเลียนแบบ เช่นนั้นก็ต้องลอกเลียนแบบกลอนที่ดีที่สุด กลอนดอกท้อบทนี้ ตอนที่องค์หญิงอ่านกลอนนางก็คิดขึ้นได้แล้ว
นางกับองค์หญิงไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ ความสัมพันธ์ย่อมไม่อาจซ่อมแซมได้
ในเมื่อเหมือนน้ำกับไฟ เช่นนั้นนางไม่ยอมให้องค์หญิงได้ชื่อเสียงด้านความดีงาม ได้ชื่อเสียงด้านความสามารถเด็ดขาด ต้องเอาชนะองค์หญิงให้ได้ ตอนแรกนางคิดอยู่พอดีว่า เมื่อใดจะได้แสดงกลอนที่ไพเราะยิ่งกว่าออกไป ทว่าคิดไม่ถึงย่วนอ้ายเวิงจู่ผู้โง่เขลากลับหยิบยื่นโอกาสมาให้นางถึงหน้าประตู
ทันทีที่อ่านกลอนบทนนี้ สีหน้าขององค์หญิงอวี้เหอก็เปลี่ยนผัน
บทกลอนนี้ไม่เพียงคำนึงถึงสภาพแวดล้อม ทั้งยังคำนึงถึงเอกลักษณ์ กลอนบทนี้ ไม่เพียงท่วงทำนองสอดคล้อง ไม่ว่าจะเป็นการบรรยายสภาพแวดล้อมในกลอน เอกลักษณ์ของกลอน กลอนก่อนหน้าของนางล้วนไม่อาจเทียบได้ นางแพ้ แพ้ราบคาบ
ตอนนั้นเสด็จแม่ก็บอกแล้วว่าสตรีคนนี้ยากจะรับมือ แต่นางกลับไม่เชื่อ นางยังสัญญากับท่านแม่ว่า นางจะต้องทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอับอายขายหน้าในงานเลี้ยงดอกท้อ ทำให้บรรดาสตรีชั้นสูงริษยาและเกลียดมั่วเชียนเสวี่ย
วางแผนทุกอย่าง บีบต้อนมั่วเชียนเสวี่ยทุกทาง แค่เพียงพลั้งเผลอ ไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยอับอาย แต่กลับทำให้นางโดดเด่น
รอยยิ้มบนใบหน้าองค์หญิงอวี้เหอที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลาจวบจนเวลานี้ ในที่สุดก็เริ่มยิ้มไม่ออกแล้ว