สามคนนี้คือใคร มั่วเชียนเสวี่ยพอจะคาดเดาได้แล้ว คนที่คุกเข่าอยู่ข้างๆ รูปร่างผอมบางเขาคือบัณฑิตเมื่อวานอย่างแน่นอน ส่วนอีกสองคนที่อยู่ข้างๆ ย่อมเป็นพยานที่พวกนางหาไว้
เกรงว่าครั้งนี้ ใส่สีตีไข่ให้กับนิทานที่แต่งขึ้นเมื่อวานอีกรอบหนึ่งแล้ว
ดูท่าฮองเฮาอยากจะใช้กลยุทธ์สร้างอคติให้ผู้อื่นยอมรับในสิ่งที่เห็นและได้ยินก่อนกระมัง เข้ามาในท้องพระโรงแล้วป้ายสีนางก่อน ทำให้เหล่าขุนนางมองนางด้วยความดูแคลน ย่อมไม่พูดเข้าข้างนางเป็นธรรมดา
หางตาของนางมองไปรอบๆ ไม่มีหนิงเซ่าชิง! นางอดไม่ได้ที่จะผิดหวังเล็กน้อย โชคดีที่นางไม่เคยคิดจะพึ่งพิงเขาอยู่แล้ว
ท่ามกลางความผิดหวังสิ่งที่มากไปกว่านั้นคือความกังวล เขาไม่มีวันทอดทิ้งและไม่สนใจตน เขาต้องไม่ได้รับข่าวที่นางส่งไปอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ด้วยนิสัยของหนิงเซ่าชิง ไม่ว่าอย่างไรเมื่อวานเขาย่อมไม่มีวันปล่อยให้ตนอยู่ในคุกหลวง แม้นางจะมีแผนสำรองแต่เขาก็ไม่มีวันยอม เขากำลังเผชิญกับเรื่องบางอย่าง?
ความผิดหวังและกังวลแล่นเข้ามาในใจเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น มั่วเชียนเสวี่ยเก็บความคิดของตนอย่างรวดเร็ว เวลานี้ หากยังคิดใจลอย คงเสียสติไปแล้ว
ตั้งสติ มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปด้านหน้า คุกเข่าตรงหน้าทั้งสาม เหยียดตัวตรงทำความเคารพ “ฝ่าบาทหมื่นปี…”
ฮ่องเต้ไม่ได้ให้นางลุกขึ้น แต่พูดพึมพำเบาๆ “ไร้ยางอาย”
ทว่าคำพูดพึมพำนี้ ไม่เพียงไม่ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยตกใจ แต่กลับทำให้คนที่อยู่ด้านหลังนางตกใจจนตัวสั่น
ฮ่องเต้ไม่รับสั่งให้มั่วเชียนเสวี่ยลุกขึ้น นางจึงทำได้เพียงคุกเข่าอยู่บนพื้นแล้วตอบ “ฝ่าบาทโปรดเย็นพระทัยก่อนเพคะ”
“เจ้าจะให้ข้าใจเย็นได้อย่างไร”
เมื่อโอรสแห่งสวรรค์ขุ่นเคือง ทำให้ผู้คนล้มตายนับพัน ในท้องพระโรง นอกจากเสียงหายใจหืดหอบแล้ว ก็คือเสียงหัวใจเต้น ทั้งสามคนที่คุกเข่าอยู่ด้านหลังไม่ไกลจากนางเท่าใดนัก แม้กระทั่งฟันของพวกเขาก็สั่นเทา
แม้มั่วเชียนเสวี่ยจะคุกเข่าบนพื้น แต่เสียงของนางกลับหนักแน่น “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันถูกใส่ร้ายเพคะ…”
ฮ่องเต้เหยียดตัวตรง พูดด้วยถ้อยคำบีบเค้น “เจ้าถูกใส่ร้าย? มีทั้งพยานบุคคลและหลักฐาน เจ้าจะถูกใส่ร้ายได้อย่างไร”
มั่วเชียนเสวี่ยชาญฉลาดนางไม่ได้ตอบ ในช่วงเวลาที่เหมาะสมต้องรู้จักหลีกเลี่ยงการปะทะ ภายใต้ความพิโรธของฮ่องเต้ ไม่ว่าจะตอบหรือไม่ตอบล้วนผิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สู้เก็บแรงไว้ยังจะดีเสียกว่า
ฮ่องเต้ปล่อยกำปั้นฟาดลงบนฝ้าย ท่ามกลางการเสแสร้งแกล้งทำเป็นขุ่นเคืองของฝ่าบาทมีความรู้สึกที่แท้จริงปะปนเล็กน้อย “เจ้าเพิ่งกลับเมืองหลวงเพียงไม่กี่วัน สร้างปัญหามากมาย เจ้ายังกล้าพูดหรือว่าตนถูกใส่ร้าย เจ้าเห็นว่าข้าว่างมากใช่หรือไม่ เงยหน้าขึ้นให้ข้าดูสิ เจ้าเอาความกล้านี้มาจากที่ใด!”
เวลานี้มั่วเชียนเสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้น ทว่านางที่เพิ่งเงยหน้าขึ้น ลำแสงสีแดงทะยานมาตรงหน้านาง
สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยไม่เปลี่ยนแปลง แววตาของนางกลับทอประกายด้วยลำแสงอันเยือกเย็น หัวเราะในใจ เมื่อคราวก่อนฮ่องเต้โยนฎีกาใส่นางจนหัวแตก เวลานี้โยนของใส่นางจนติดใจแล้ว
ฮ่องเต้ยังคงเป็นฮ่องเต้คนเดิม แต่นางไม่ใช่มั่วเชียนเสวี่ยที่เพิ่งเข้าเมืองหลวง ไม่มีสิ่งใดให้พึ่งพิงอีกแล้ว
นางฝึกวรยุทธ์ การเคลื่อนไหวของนางจึงเร็วขึ้นมาก เมื่อคราวก่อนนางเข้าท้องพระโรงเป็นครั้งแรก เพราะสังหารอันธพาลนับสิบ แม้จะพูดด้วยความมั่นใจและมีเหตุผล แต่เมื่อลงมือ ก็สังหารคนนับสิบ ไม่มีผู้รอดชีวิต เป็นการท้าทายอำนาจของราชวงศ์ อีกทั้งฮ่องเต้ก็คิดจะสังหารนางอยู่แล้ว
ครั้งนี้มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้คุกเข่าเฉยๆ นางขยับศีรษะเล็กน้อย คล้ายไม่กล้าสบตาฮ่องเต้อย่างไรอย่างนั้น หน้าที่เงยก้มลงเล็กน้อย หลังก็งอเล็กน้อย เมื่อนางงอตัวลง ลำแสงนั้นก็ทะยานผ่านศีรษะของนางไป
ซูชีรวบรวมกำลังภายในแล้ว เขาเก็บจุดตันเถียนหลังจากได้ยินเสียงฎีกาหล่นลงบนพื้น หัวใจที่บีบรัดผ่อนคลายลง แต่ว่ามือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้น ยิ่งบีบยิ่งแน่น เขาเคยบอกว่าจะปกป้องนาง!
แม้มองดูแล้วสีหน้าของนางยังคงสดใส แต่เส้นเลือดฝอยในดวงตาของนางแดงอย่างชัดเจน เห็นชัดว่าเมื่อคืนนางไม่ได้นอน
เหตุใดนางจึงดื้อเช่นนี้ ดื้อจนทำให้เขาปวดใจ แต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้…
ฮ่องเต้ไม่ใช่คนฝึกวรยุทธ์จนเชี่ยวชาญ เมื่อเห็นสีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยไม่แข็งกระด้างเหมือนเมื่อคราวก่อน ทั้งยังไม่คุกเข่าหลังตรงเท่าเมื่อคราวก่อน เขาจึงลำพองใจเล็กน้อย คิดว่าตนไม่แม่นยำเท่านั้น
เมื่อรู้สึกลำพองใจ น้ำเสียงของฮ่องเต้จึงอ่อนโยนลงเล็กน้อย “เดิมทีเรื่องความบริสุทธิ์ของหญิงสาว ควรจะให้ฮองเฮาเป็นคนจัดการ แต่เจ้าคือบุตรีเพียงคนเดียวของเทียนฟ่าง สงสารบิดาของเจ้าที่จากไปไว…”
ขณะพูดฝ่าบาทคล้ายเศร้าสลดยิ่งนัก เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่อันลึกล้ำ ทว่า ฮ่องเต้เปลี่ยนบทสนทนาอย่างรวดเร็ว “แม้ข้าจะมีเจตนาปกป้องเจ้าเพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต แต่ถึงอย่างไรบ้านเมืองก็มีกฎหมาย มีคนร้องเรียนว่าเจ้าทำความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิ ข้าจำเป็นต้อเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้” ฮ่องเต้เชี่ยวชาญด้านการพลิกผันระหว่างความสัมพันธ์กับกฎระเบียบมานานแล้ว
มั่วเชียนเสวี่ยไม่รับน้ำใจของเขา เก็บแล้วปล่อย เป็นกลอุบายที่จักรพรรดิใช้ในการควบคุมการเมือง
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง!” สรรเสริญเยินยอก่อน
แม้นางจะคุกเข่า แต่เวลานี้เหยียดหลังตรง มีความน่าเกรงขาม “พระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท หม่อมฉันย่อมไม่กล้าทำผิดต่อพระองค์ ขอทูลถามฝ่าบาท ไม่ทราบว่าผู้ใดร้องเรียนว่าข้าทำความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิ พยานบุคคลและหลักฐานอยู่ที่ใด หม่อมฉันยินดีจะหักล้างข้อกล่าวหานั้นในท้องพระโรงเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร กวาดมองสามคนที่คุกเข่าด้านหลังมั่วเชียนเสวี่ย แสร้งทำเป็นโมโห “สามคนในท้องพระโรง เจ้ารู้จักหรือไม่”
มั่วเชียนเสวี่ยหันไปมอง สามคนด้านหลัง ผู้ที่สวมชุดสีน้ำเงินรูปร่างผอมบางคือบัณฑิตที่เจอเมื่อวาน อีกสองคน กลับเป็นคนที่นางคิดไม่ถึง
พวกเขาคือจ้าวเอ้อร์และอาซ้อจ้าวเอ้อร์ คิดไม่ถึงว่าตระกูลเซี่ยจะมากความสามารถเช่นนี้ ไม่เจอพยานในหมู่บ้านหวังจยา แต่กลับเจอตัวสองคนนี้
ดูเหมือนว่า ตอนนั้นการไล่พวกเขาทั้งครอบครัวออกจากหมู่บ้านหวังจยาคงจะเบาไปหน่อย
สามคนนี้นางเห็นอย่างชัดเจนแล้ว หันกลับมา แต่กลับตอบว่า “กราบทูบฝ่าบาท พวกเขาทั้งสามคนล้วนก้มหน้า ชั่วขณะหนึ่งหม่อมฉันเห็นไม่ชัด เกรงว่าจะจำคนผิด ฝ่าบาทโปรดกรุณา อนุญาตให้พวกเขาเงยหน้าขึ้นเพื่อที่หม่อมฉันจะได้มองอย่างชัดเจนเพคะ”
หากไม่ทรมานพวกเขา จะคลายความแค้นในใจนางได้อย่างไร
สายพระเนตรของฝ่าบาทมองไปที่พวกเขา แววตาแฝงความหมายลุ่มลึก ทว่าไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ทอดสายพระเนตรไปยังทั้งสามคนที่คุกเข่าด้านหลังไม่ไกลจากมั่วเชียนเสวี่ย พูดขึ้น “พวกเจ้าทั้งสามคนเงยหน้าขึ้น จะได้ดูให้ดีว่าเหนียงจื่อที่พวกเจ้าพูดเมื่อครู่ หนิงเหนียงจื่อใช่คนที่คุกเข่าอยู่ในท้องพระโรงหรือไม่”
ความน่าเกรงขามของโอรสสวรรค์ คนทั่วไปไม่อาจต้านทานได้!
สิ้นเสียงของฮ่องเต้ ทั้งสามคนตัวสั่นเทา ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะในลำคอ คิดจะเอาพวกคนโง่เขลาเหล่านี้มาล้มนาง พวกนางดูถูกตนเพียงใด เห็นว่านางโง่เขลาเพียงนั้นเชียวหรือ!
ไม่รอทั้งสามคนพูด มั่วเชียนเสวี่ยโน้มตัวไปด้านหลัง พูดเสียงเยือกเย็น “เบิกตาของพวกเจ้าแล้วมองให้ชัด ข้าเป็นผู้ใดกันแน่ หากมีประโยคใดเป็นเท็จ ข้าไม่ถือสา ทว่าฝ่าบาทคือจักรพรรดิผู้ปราดเปรื่อง ย่อมไม่มีวันปล่อยพวกเจ้าที่ล่วงเกินข้าอย่างแน่นอน”
ให้สรรเสริญคน? นางก็ทำได้! ใช้คำพูดเหล่านั้นหยุดฮ่องเต้เอาไว้ก่อน ประเดี๋ยวการแสดงถึงฉากสำคัญ จะได้ทำให้ฮ่องเต้ขึ้นหลังเสือแล้วไม่อาจลงง่ายๆ ต้องอดกลั้นเอาไว้
จ้าวเอ้อร์และอาซ้อจ้าวเอ้อร์เงยหน้าขึ้นด้วยความสั่นเทาเป็นทุนเดิม เมื่อถูกมั่วเชียนเสวี่ยตะคอกเช่นนี้ ทั้งสองหัวใจเต้นแรงราวกับกลองที่ถูกตี
ฝืนตั้งสติ มองมั่วเชียนเสวี่ยครู่หนึ่ง ตะลึงงัน สตรีตรงหน้าคือหนิงเหนียงจื่อไม่ผิดแน่ แม้หน้าตาจะเหมือนกัน แต่บุคลิกและการแต่งตัวกลับแตกต่างกัน ชั่วขณะหนึ่งพวกเขาก็ไม่กล้ายอมรับแล้ว