มั่วเชียนเสวี่ยเห็นทั้งสองคนมองมา แววตาของนางฉายความเย้ยหยัน แล้วหัวเราะในลำคอ คล้ายประชดประชันและคล้ายดูแคลน
สองคนนี้เป็นขยะอยู่แล้ว ไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อน ในท้องพระโรงเช่นนี้ ความกล้าของพวกเขาหายไปนานแล้ว เมื่อถูกมั่วเชียนเสวี่ยหัวเราะเยือกเย็น แล้วมีลมหนาวพัดผ่าน สีหน้าของพวกเขาซีดขาว บนหน้าผากมีเหงื่อผุดขึ้นมา
จ้าวเอ้อร์คุกเข่าลงบนพื้นอีกครั้งแล้ว แค่ว่าแม้จะคุกเข่าตัวสั่นอยู่บนพื้น แต่เขาชี้มาทางมั่วเชียนเสวี่ย พูดด้วยเสียงสั่นเทา “หนิงเหนียงจื่อ นาง…นางคือหนิง…เหนียงจื่อ” เพื่อทองคำถุงใหญ่ที่คนผู้นั้นให้คำมั่นสัญญา เพื่อชีวิตของเสี่ยวเฟย และเพื่อแก้แค้นที่ถูกขับไล่ออกมาจากหมู่บ้าน เขาทุ่มสุดตัวแล้ว มากไปกว่านั้นคำพูดนี้ของเขา ก็ไม่ได้เป็นคำโกหก
อาซ้อจ้าวเอ้อร์ได้ยินเช่นนี้ ฝืนอ้าปากที่สั่นเทา พยักหน้า แล้วพูดเสริม “ถูกต้อง นาง…นางคือหนิงเหนียงจื่อ…คือหนิงเหนียงจื่อคนที่แต่งงานแก้เคล็ดกับท่านอาจารย์หนิง…” แม้คนตรงหน้านี้จะไม่ใช่หนิงเหนียงจื่อ ก็ต้องเป็นหนิงเหนียงจื่อ เพื่อทองคำถุงนั้น นางไม่มีวันยอมเปลี่ยนคำพูดอย่างแน่นอน
คล้ายคำพูดยืนยันของสองคนนั้นมอบความกล้าให้กับบัณฑิตเล็กน้อย ร่างกายที่สั่นเทาของเขาหยุดลง คล้ายมีความมั่นใจ “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เหนียงจื่อยังคิดจะโต้เถียงอีกหรือ ฝ่าบาทได้โปรดคืนความยุติธรรมให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ไร้ยางอายจริงๆ แม้จะเป็นเรื่องจริง บุรุษคนหนึ่งถูกภรรยาของตนทอดทิ้งแล้วยังจะขอให้ผู้อื่นทวงคืนความยุติธรรมให้เขา ก็น่าขายหน้ายิ่งนัก ยื่นคำร้องเช่นนี้ เพราะว่าตนอยากจะปีนป่ายขึ้นสู่ความมั่งคั่งไม่ใช่หรือ เคยได้ยินแต่บุรุษชั่วช้า เคยได้ยินแต่หลังจากบุรุษประสบความสำเร็จแล้วทอดทิ้งภรรยา แต่ไม่เคยได้ยินสตรีคนใดท้องทิ้งสามีมาก่อน อับอายขายหน้าเสียจริง
สร้างความอับอายให้กับบุรุษ!
แววตาของขุนนางในท้องพระโรงเปี่ยมไปด้วยความเหยียดหยาม
ทว่า ขุนนางที่ยืนอยู่ทั้งสองข้าง ล้วนได้รับสัญญาณจากหัวหน้าตระกูลเซี่ย แม้จะดูแคลนบุรุษคนนี้ แต่พวกเขาก็เดินออกมาพูดสนับสนุนบุรุษคนนี้
“กราบทูลฝ่าบาท ท่านอาจารย์หนิงคนนี้เล่าที่มาที่ไปทุกอย่างแล้ว คุณหนูมั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพวกเขา เช่นนั้นโทษหลอกลวงจักรพรรดิก็เป็นที่ประจักษ์สู่สายตาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“กราบทูลฝ่าบาท มั่วเชียนเสวี่ยทำความผิดมหันต์ ไม่สนใจคุณธรรมของสตรี…”
“กราบทูลฝ่าบาท เรื่องนี้ส่งผลกระทบร้ายแรง…”
บัณฑิตจย่ายืนอยู่ท่ามกลางขุนนาง โมโหกับคำพูดเหล่านี้จนเบิกตากว้าง
บุรุษมากมายรังแกสตรีหนึ่งคน ช่างไร้ยางอายเสียจริง แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่ปฏิเสธว่าไม่รู้จักคนพวกนี้ แม้เขาคิดอยากจะช่วยพูดเข้าข้างนาง ก็ไม่อาจช่วยได้
ทั้งหมดทำได้เพียงพิสูจน์ความบริสุทธิ์แล้วค่อยตัดสิน…เขายังคงเชื่อว่าคุณหนูมั่วเป็นคนบริสุทธิ์ ทางด้านนั้นมีฮูหยินอยู่ คาดว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาด เมื่อคิดถึงข้อนี้ บัณฑิตจย่าหลับตาลง ไม่มองหน้าพวกคนไร้ยางอายเหล่านี้อีก
ฮ่องเต้นั่งมองเรื่องที่เกิดขึ้นบนบัลลังก์ แม้ชาวบ้านสองคนนั้นจะกระวนกระวายยิ่งนัก แต่แววตาคุ้นเคยของพวกเขาที่มีต่อมั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจรอดพ้นสายตาของเขาได้ เขากำลังรอ รอมั่วเชียนเสวี่ยว้าวุ่น แล้วอ้อนวอนเขา
หลังจากนั้น เขาค่อยไว้ชีวิตนาง แต่โทษตายเลี่ยงได้โทษเป็นไม่อาจเลี่ยง เขาจะจับนางเข้าคุกหลวง ครั้งนี้เป็นการเข้าคุกหลวงอย่างแท้จริง ผู้ใดมาอ้อนวอนก็เปล่าประโยชน์
หลังจากทำลายความฮึกเหิมของนาง เขาจะไปพูดเรื่องป้ายไม้ดำกับนางด้วยตนเอง หากนางยอมเอาป้ายไม้ดำออกมา เช่นนั้นทุกอย่างล้วนคุยกันได้ นางยังคงเป็นบุตรีท่านกั๋วกงและได้รับตำแหน่ง เพลิดเพลินกับความมั่งคั่ง แต่หากไม่ส่งป้ายไม้ดำให้เขา เช่นนั้นจะเอานางไปรวมกับนางบำเรอในวังหลวง…
เขาเชื่อว่า ขอเพียงเป็นสตรี ระหว่างนางบำเรอในวังหลวงและความมั่งคั่ง ย่อมต้องเลือกเส้นทางที่ควรเลือก
มั่วเชียนเสวี่ยไม่สนใจตัวตลกสามคนนั้น และไม่สนใจคำพูดของขุนนางเหล่านั้น ก่อนหน้านี้นางโน้มตัวไปด้านหลัง เวลานี้โน้มตัวกลับมาคุกเข่าและเหยียดหลังตรง “กราบทูลฝ่าบาท หม่อมฉันรู้จักทั้งสามคนนี้เพคะ”
ชัยชนะอยู่ในมือของฮ่องเต้ ความน่าเกรงขามเพิ่มมากขึ้น พูดเสียงเหี้ยม “เช่นนั้นเจ้ามีอะไรจะพูด” มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยความชอบธรรม “แม้หม่อมฉันจะรู้จักพวกเขา แต่หม่อมฉันไม่เห็นด้วยกับคำพูดของพวกเขา ฝ่าบาททรงพระปรีชา ในท้องพระโรงแห่งนี้พวกเขาทั้งสามคนต่างหากที่ทำความผิดฐานหลอกหลวงจักรพรรดิ หม่อมฉันขอให้ฝ่าบาทลงโทษพวกเขา โดยใช้กฎหมาย เพื่อแสดงถึงความน่าเกรงขามของราชวงศ์”
ลำแสงทอประกายฉายในสายพระเนตรของฮ่องเต้ เขาไม่อยากจะเชื่อ เวลานี้แล้ว มั่วเชียนเสวี่ยยังแว้งกัดเขาได้
ฟาดมือลงบนบัลลังก์มังกร เหยียดกายลุกขึ้น “สามหาว!”
ข้าราชบริพารในท้องพระโรงต่างคุกเข่า พูดพร้อมกัน “ฝ่าบาททรงเย็นพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้ชี้หน้ามั่วเชียนเสวี่ย “ดื้อดึงและโง่เขลา! หลักฐานอยู่ตรงหน้าแล้ว ไม่เพียงไม่ยอมรับความผิด แต่ยังคิดจะโต้เถียง หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความจงรักภักดีของเทียนฟ่างที่มีต่อข้า ข้าจะตัดหัวเจ้าตั้งแต่ตอนนี้ ทหาร นำตัวมั่วเชียนเสวี่ยไปขังในคุกหลวง” เขารู้สึกท่าไม่ดี ไม่อยากให้โอกาสมั่วเชียนเสวี่ยแล้ว ไม่อยากแสดงความปราดเปรื่องของตนแล้ว
สีหน้าของมั่วเชียนเสวี่ยนิ่งสงบ เหยียดตัวตรง พูดอย่างมีเหตุผล แววตาคมเฉียบ ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกไม่สบายใจ
การตัดสินใจของฮ่องเต้ เกิดขึ้นกะทันหัน ทำลายแผนการของทุกคนในทันที
โอรสแห่งสวรรค์พิโรธ ข้าราชบริพารคุกเข่าขอให้ฮ่องเต้ใจเย็น นี่คือกฎระเบียบ ทั้งยังเป็นแนวทางปฏิบัติ มากไปกว่านั้นคือปฏิกิริยาของเหล่าขุนนางที่ถูกฮ่องเต้บ่มเพาะมานาน
ทุกคนคุกเข่าอ้อนวอน ซูจิ่นอวี้ดึงซูชีให้คุกเข่าลงด้วย แน่นอนว่าเฟิงอวี้เฉินก็ต้องคุกเข่าเช่นเดียวกัน แค่เพราะผู้ที่ยืนอยู่ด้านบนคือโอรสแห่งสวรรค์ คือจักรพรรดิ อีกทั้ง ทุกคนต่างคุกเข่าแล้ว หากพวกเขาไม่คุกเข่า ก็คงดูไม่ดี
ชั่วขณะหนึ่งทุกคนในท้องพระโรงต่างคุกเข่า นอกจากท่านอ๋องและผู้อาวุโสแล้ว ขุนนางน้อยใหญ่ต่างคุกเข่าแล้วร้องขอให้ฮ่องเต้ใจเย็น
หลังจากทำตามข้อปฏิบัติ เฟิงอวี้เฉินเงยหน้าขึ้น ใบหน้าหล่อเหลามีความกังวลเล็กน้อย “ฝ่าบาทโปรดเย็นพระทัยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเฟิงอวี้เฉินยินดีเอาหัวเป็นประกัน ทุกอย่างที่มั่วเชียนเสวี่ยญาติผู้น้องของกระหม่อมพูดล้วนเป็นความจริง สามคนนี้พูดจาเหลวไหล ฝ่าบาทโปรดสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยพ่ะย่ะค่ะ วันที่ญาติผู้น้องหายตัวไป บิดาของกระหม่อมรู้สึกละอายยิ่งนัก สั่งให้กระหม่อมตามหาญาติผู้น้องทุกวันคืน ตอนที่กระหม่อมพาคนไปเจอน้องสาว…”
เฟิงอวี้เฉินลุกขึ้นปกป้องนางเวลานี้ แม้มั่วเชียนเสวี่ยไม่ต้องการ แต่นางก็ประทับใจยิ่งนัก ไม่ว่าเขาจะตัดใจจากความรู้สึกที่มีต่อนางแล้วหรือยัง ขอเพียงเขาไม่ดื้อดึง เช่นนั้นเขาก็จะเป็นพี่ชายของนาง ขอเพียงนางยังมีลมหายใจ นางจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเขารักษาตระกูลเฟิง
ฟังจากที่มั่วเหนียงเล่า เวลานี้ตระกูลเฟิงทำงานด้วยความถ่อมตน ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในตอนนั้นอย่างแน่นอน
ตอนนั้น ฮ่องเต้สู่ขอบุตรีของตระกูลเฟิงแต่กลับถูกปฏิเสธ คับแค้นใจมานาน ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ คอยข่มตระกูลเฟิงอยู่ร่ำไป
หากไม่ใช่เพราะเบื้องหน้ามีกั๋วกงคอยปกป้อง เกรงว่าเวลานี้ตำแหน่งของตระกูลเฟิงคงไม่ต่างจากตำแหน่งของตระกูลหลัน
ทว่าฮ่องเต้กลับไม่อยากให้เฟิงอวี้เฉินพูดจบ ท่ามกลางความพิโรธเปี่ยมไปด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าจะเอาหัวของเจ้าไปทำอะไร เจ้าไม่พูดข้าก็คิดไม่ถึง ในอดีตเจิ้นกั๋วกงไหว้วานให้ตระกูลเฟิงของพวกเจ้าดูแลบุตรี แต่ตระกูลเฟิงของพวกเจ้ากลับดูแลไม่ดี จึงทำให้นางสร้างเรื่องมากมายเช่นทุกวันนี้ เรื่องนี้ มั่วเชียนเสวี่ยมีความผิด แน่นอนว่าย่อมเกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิงของพวกเจ้าด้วย…”
ท่ามกลางความพิโรธของฮ่องเต้ ด้านนอกมีองครักษ์ถือดาบเดินเข้ามาในตำหนัก เตรียมที่จะลากตัวมั่วเชียนเสวี่ยออกไป