น้ำเสียงของนางเปี่ยมไปด้วยความสุภาพ ทว่าเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง ฟังแล้วทำให้คนอดไม่ได้ที่จะหนาวสั่น
องครักษ์ครุ่นคิดในใจ ฉุดกระชากลากถูในท้องพระโรงก็ไม่ดีเท่าใดนัก หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่แน่อาจจะมีความผิดฐานล่วงเกินสตรีชั้นสูง ด้วยเหตุนี้ มือขององครักษ์จึงหยุดนิ่งแล้วเปลี่ยนเป็นผายมือให้มั่วเชียนเสวี่ยแทน “คุณหนูมั่ว เชิญ…”
พูดจบ หมุนตัวหันหลังเดินนำทาง ในท้องพระโรง ภายในวังหลวง ภายใต้สายพระเนตรของฮ่องเต้ ยังต้องกลัวว่านางจะคิดหนีเช่นนั้นหรือ
องครักษ์สองคนเดินนำทางอยู่ด้านหน้า องครักษ์อีกสองคนเดินตามหลัง สีเหน้าเยือกเย็น แผ่ซ่านด้วยไอสังหาร ในท้องพระโรง ข้าราชบริพารที่คุกเข่าร้องขอให้ฮ่องเต้ใจเย็น ฮ่องเต้รับสั่งให้พวกเขาลุกขึ้นนานแล้ว
ทว่า ก่อนหน้านี้สีหน้าของเขาตกใจแทบตาย เมื่อเหยียดกายลุกขึ้น สายตาของพวกเขาที่มองมั่วเชียนเสวี่ยเปี่ยมไปด้วยความทะนง
มั่วเชียนเสวี่ยเย้ยหยันพวกเขาในใจ หัวเราะเยือกเย็น แต่สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยน เมื่อชาติก่อนเพื่อให้งานออกมาดี นอกจากทำหน้าที่ของตนให้ดีแล้ว ในทุกวันนางยังคอยพัฒนาด้านต่างๆ แน่นอนว่าสมบัติผู้ดีย่อมเป็นหนึ่งในสิ่งที่สำคัญ ทำความเข้าใจและรู้จักสร้างสมบัติผู้ดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างมาก
เมื่อเราไม่ว้าวุ่น ศัตรูก็จะเป็นฝ่ายว้าวุ่นเอง!
แม้นางจะติดอยู่ตรงกลาง ทว่า ก้าวเดินด้วยความมั่นคง เชิดหน้าอกผายไหล่ผึ่ง เดินอย่างมั่นใจ
สะบัดแขนเสื้อวางมือทั้งสองไว้ตรงท้องน้อย ชั่วขณะหนึ่งมั่วเชียนเสวี่ยสง่าผ่าเผยยิ่งนัก คล้ายสถานที่ที่นางไปไม่ใช่สถานที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง แต่เป็นหนทางสู่บัลลังก์
ดวงตาของนางกวาดมองเหล่าข้าราชบริพารเป็นครั้งคราว คล้ายกำลังอ่านความคิดของพวกเขา และคล้ายไม่ได้มองพวกเขา
ชั่วขณะหนึ่ง ภายในใจของเหล่าข้าราชบริพารเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมากมาย
บัณฑิตจย่าลูบหนวดเคราของตนเอง ลอบพยักหน้า ดูเหมือนว่าการมาในวันนี้ของเขาถูกแล้ว วางตัวกล้าหาญและมากประสบการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ หากเป็นบุรุษ ต้องเป็นวีรุบุรุษผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ทางด้านตำหนักข้าง แน่นอนว่าคือตำหนักเล็กที่อยู่ติดกับตำหนักจินหลวนเป่า
มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามองครักษ์ทั้งสองคนออกไปจากท้องพระโรง เพียงครู่หนึ่งก็ไปถึงตำหนักข้าง
ด้านในตำหนักข้างมีสตรีชั้นสูงนั่งอยู่หกคน นอกจากนี้ยังมีนางกำนัลและหมัวมัวคอยรินน้ำชาอีกสี่ห้าคน เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้ามา นางกำนัลและหมัวมัวถอยไปยืนอยู่ด้านข้าง
หมัวมัวสองคนเดินไปปิดประตู ส่วนนางกำนัลที่คอยรินน้ำชาก็เดินไปเฝ้าหน้าประตูอย่างรู้งาน
มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้หยุดเดิน นางก้าวไปด้านหน้า ใบหน้าของนางเปื้อนยิ้ม “น้อมทำความเคารพพระชายาจิ่งชินอ๋อง น้อมทำความเคารพฮูหยินทุกท่านเจ้าค่ะ”
ฐานันดรศักดิ์ของพระชายาจิ่งชินอ๋องเทียบเท่ากุ้ยเฟยในวังหลวง ชุดพิธีการของนางมั่วเชียนเสวี่ยย่อมรู้ หากมั่วเชียนเสวี่ยเดาไม่ผิด สตรีคนนี้คือพระชายาจิ่งชินอ๋อง มารดาของท่านหญิงซูซู
เวลานี้พระชายาจิ่งชินอ๋องปรากฏตัวที่นี่ ท่านหญิงซูซูเป็นคนร้องขอให้มาอย่างแน่นอน น้ำใจของซูซูในครั้งนี้ นางจะตอบแทนแน่นอน
พระชายาจิ่งชินอ๋องเห็นมั่วเชียนเสวี่ยเดินมาด้วยความอ่อนช้อย ไม่ได้สูญเสียความเป็นผู้ดีเพราะอยู่ในคุกหลวงหนึ่งคืน นอกจากนั้นไม่ได้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะสงครามในท้องพระโรงเมื่อครู่ ดวงหน้าของนางแม้มองดูแล้วจะอิดโรยเล็กน้อย ทว่าทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากทะนุถนอม
มีความสามารถระดับหนึ่ง
ด้วยความสงบเยือกเย็นและไม่สะทกสะท้านนี้ มั่วเชียนเสวี่ยคนนี้ นางจะปกป้องให้ได้!
เมื่อตัดสินใจแล้ว พระชายาจิ่งชินอ๋องยกมือขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่าไม่ต้องมีพิธีรีตอง ยิ้มแล้วพูด “ทันทีที่ซูซูกลับมาก็พูดกับข้าว่า คุณหนูตระกูลมั่วเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงามทั้งยังสง่างามและสุภาพอ่อนโยน วันนี้เมื่อได้พบเจอ เป็นสตรีที่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
คำพูดของนาง ไม่เห็นมั่วเชียนเสวี่ยเป็นคนนอกแม้แต่น้อย
ทว่า ฮูหยินสวมชุดพิธีการสีแดงนั่งอยู่ทางด้านขวาสุดกลับพูดขึ้น “จริงที่ว่าเป็นคนงดงาม แต่น่าเสียดายพฤติกรรมต่ำทราม มิเช่นนั้นด้วยการแข่งขันในงานเลี้ยงดอกท้อ วันนี้นางควรจะเป็นสตรีอันดับหนึ่งของราชวงศ์เทียนฉี”
พูดจบ ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นป้องปากแล้วหัวเราะเบาๆ
ฮูหยินอีกคนหนึ่งพูด “เซี่ยฮูหยินพูดถูก สตรีแม้ไร้ความสามารถก็ควรมีคุณธรรม ข้าคิดว่า สตรีอย่างเราจะมีความสามารถมากมายไปเพื่อการใด ศึกษาเพียงคุณธรรมสตรีและคำสอนสตรีก็พอแล้ว”
ฮูหยินคนนี้คิดจะเอาคุณธรรมสตรีและคำสอนสตรีมาถากถางนาง เวลานี้หัวเราะด้วยความเย้ยหยัน ยิ้มอย่างสดใส คอยดูเถอะ ประเดี๋ยวพวกเจ้าจะต้องยอมรับความพ่ายแพ้
ต้องการให้เสแสร้งแกล้งทำ นางก็ทำได้ รอยยิ้มของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ลดลง “ฮูหยินทั้งสองกล่าวชมเกินไปแล้วเจ้าค่ะ เชียนเสวี่ยไม่กล้ารับตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งผู้มีความรู้และความสามารถ แต่ว่าคำพูดของฮูหยินทั้งสอง เชียนเสวี่ยไม่เห็นด้วย โบราณกล่าวไว้ เป็นสตรีเหมือนกัน อย่าดูถูกสตรี เหตุใดฮูหยินจึงดูถูกดูแคลน…” ตน!
คำพูดสุดท้ายแม้ไม่ได้พูด แต่สีหน้าของฮูหยินทั้งสองคนเปลี่ยนไปทันที
……
โถงบรรพบุรุษตระกูลหนิง
บุตรสายตรงทั้งหมดของตระกูลหนิงต่างมารวมตัวกันในโถงบรรพบุรุษ ขอเพียงเป็นคนตระกูลหนิงที่สร้างคุณงามความดีล้วนยืนอยู่ด้านนอกโถงบรรพบุรุษ วันนี้เป็นจุดเปลี่ยนของตระกูลหนิง คือวันสำคัญที่หัวหน้าตระกูลเก่ามอบตำแหน่งให้หัวหน้าตระกูลใหม่
ด้านหน้าป้ายบรรพบุรุษภายในโถงบรรพบุรุษ ผู้ทำพิธีกำลังทำพิธียกตำแหน่งหัวหน้าตระกูล
“หัวหน้าตระกูลคนใหม่จุดธูปเคารพบรรพบุรุษ…”
“น้อมคำนับสามครั้ง…”
“จบพิธี”
เสียงของผู้ทำพิธีเคร่งขรึมยิ่งนัก ทุกถ้อยคำล้วนลากยาว หลังจากกล่าวคำว่าจบพิธี หัวหน้าตระกูลหนิงคนเก่ามอบตำแหน่งให้หัวหน้าตระกูลหนิงคนใหม่เรียบร้อยแล้ว
หนิงเซ่าชิงเหยียดตัวตรง หันหน้าไปเผชิญกับลูกหลานตระกูลหนิง
ชุดสีน้ำเงินเข้มยาวถึงพื้น นั่นคือความน่าเกรงขามที่นิ่งสงบและลึกล้ำ เขาดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามขึ้นมาในชั่วพริบตาอย่างแปลกพิกล ทำให้ทุกคนรู้สึกนับถือ
ในโถงบรรพบุรุษเงียบงัน สีหน้าของลูกหลานตระกูลหนิงเคร่งขรึมยิ่งนัก
“ลูกหลานตระกูลหนิงทำความเคารพหัวหน้าตระกูลคนใหม่…”
“น้อมคำนับครั้งที่หนึ่ง…”
“น้อมคำนับครั้งที่สอง…”
“น้อมคำนับครั้งที่สาม…”
……
มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยดวงหน้าเปื้อนยิ้ม ดวงตาหงส์ทอประกาย คล้ายมีแสงแดดอยู่ด้านใน มองดูแล้วใสซื่อยิ่งนัก ชั่วขณะหนึ่งฮูหยินถึงกับพูดไม่ออก สีหน้าของเซี่ยฮูหยินที่นางพูดถึงไม่สู้ดีเท่าใดนัก
คำพูดเพียงไม่กี่คำ แม้จะทำให้ฮูหยินทั้งสองที่เจตนายั่วยุพูดไม่ออก แต่ก็ทำให้ภายในตำหนักเย็นยะเยือกทันที
พระชายาจิ่งชินอ๋องยกถ้วยน้ำชาตรงหน้าขึ้น จิบน้ำชาเล็กน้อย ตอนที่มุมปากของนางสัมผัสกับถ้วยน้ำชา ยกมุมปากขึ้น คล้ายกำลังจิบน้ำชา แต่ที่เหมือนกว่านั้นคือกำลังเย้ยหยันบางคน
จุดประสงค์ในการมาของแต่ละคนชัดเจนตั้งแต่แรก ในเมื่อพวกนางไม่พูด มั่วเชียนเสวี่ยก็ทำเหมือนไม่มีผู้ใด นางมีความอดทนสูงยิ่งนัก
พระชายาจิ่งชินอ๋องเมตตานางมาก นางยืนอยู่ข้างพระชายาจิ่งชินอ๋องด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม กล่าวชื่นชมท่านหญิงซูซูด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน พระชายาจิ่งชินอ๋องวางถ้วยน้ำชาลง ดวงหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของมั่วเชียนเสวี่ยเล็กน้อยแล้วพูดถึงเรื่องความสนใจของท่านหญิงซูซู
เซี่ยฮูหยินคนนั้นส่งสายตาพิจารณามาทางมั่วเชียนเสวี่ย สตรีคนนี้สวมชุดกระโปรงสีฟ้าคราม ชายกระโปรงปักลายดอกท้อเล็กน้อย ม้วนผมขึ้นเป็นกรวยตามแบบฉบับที่หญิงสาวในเวลานี้นิยม ทว่าผมของนางประดับด้วยปิ่นหยกผีเสื้อสีทองหนึ่งอันเท่านั้น
การแต่งกายเช่นนี้เรียบง่าย แต่ดวงตาของนางสูงสง่าราวกับปีกหงส์ คล้ายมรกตย้อมด้วยน้ำหมึก ได้ยินว่านางนอนในคุกหลวงหนึ่งคืน เวลานี้กลับไม่มอมแมม…ไม่เพียงเท่านี้ ชุดสีฟ้าครามที่ไม่มีลวดลายมากเท่าใดนี้ กลับขับให้นางดูอ่อนโยนและสง่างาม ทำให้บุคลิกของนางสูงสง่าและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
ท่าทางสงบเสงี่ยมนั้นแม้มองดูแล้วนิ่งสงบและเชื่อฟัง ทว่า ยามพูดจากลับโต้กลับโดยไม่เปลืองแรง วางตัวเป็นธรรมชาติเช่นนี้ เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก เป็นไปตามที่ฮองเฮากล่าว…เป็นหญิงสาวที่รับมือยากอย่างยิ่ง
ไม่ว่าจะรับมือยากเพียงใด ประเดี๋ยวนางก็ต้องร้องไห้แล้ว!