ความจริงแล้วทั้งสองคนไม่ได้พบหน้ากันเพียงแค่สองวัน แต่ล้วนรู้สึกว่าช่างยาวนาน
นัยน์ตาดำสนิทลึกล้ำของหนิงเซ่าชิง คล้ายกับโอบอุ้มทุกสิ่งบนโลกใบนี้เอาไว้ มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม แววตาลึกซึ้งราวกับน้ำในทะเลสาบดึงดูดความรู้สึกนึกคิดของมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้
เมื่อเผชิญกับสายตาเช่นนี้ ในหัวของมั่วเชียนเสวี่ยก็คิดจะเขยิบเข้าไปใกล้อย่างอดไม่อยู่…
สวรรค์! ที่นี่คือนอกท้องพระโรง แม้ว่าขุนนางหลายคนตรงหน้าจะเดินไปไกลแล้ว แต่ตลอดทางก็ยังมีองครักษ์อีกกลุ่มหนึ่ง
นางดึงสติกลับมา และรู้สึกว่าไม่สามารถสบตาเช่นนั้นตรงๆได้ นางอดก้มศีรษะลงต่ำไม่ได้ แต่กลับได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นสักพักใหญ่ กลิ่นอายจางๆ อันคุ้นเคยที่ลอยมาจากเสื้อตัวยาวของเขานั้นคล้ายกับมีพลังที่ทำให้จิตใจของผู้คนสงบ
เสื้อผ้าชุดนี้เป็นชุดสีน้ำเงินเข้มที่นางเลือกให้เขา แต่บริเวณแขนเสื้อและปกคอเสื้อที่ปักดิ้นทองคล้ายกับสัญลักษณ์นั้นให้ความรู้สึกสุภาพและสง่างาม เมื่อสะท้อนแสงออกมาลางๆ ก็คล้ายกับว่าทำให้ทั่วทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
พวกเขาล้วนไม่ได้พูดคุย แต่เงียบกันไปพักหนึ่ง
มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกปวดร้าวใจอย่างน่าประหลาด ตาแดงระเรื่อขึ้นมาทันที
จ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง หนิงเซ่าชิงถึงได้เอ่ยเสียงเบาว่า “ไปกันเถอะ ข้าจะไปส่งเจ้าที่จวน” จากนั้นก็หมุนตัวเป็นฝ่ายเดินนำออกจากตำหนักจินหลวนเป่า
มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามหลังเขาออกจากตำหนัก และลืมยกเท้าขึ้นไปชั่วครู่ จึงสะดุดคานประตูสูงของตำหนักเข้า ร่างจึงพุ่งตรงไปด้านหน้า…
ต้องรู้ว่า นางไม่ได้พักผ่อนมาหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ ทั้งยังใช้พลังทางจิตใจมาก บางครั้งนี่ก็ทรมานสภาพจิตใจและขีดจำกัดของคนได้มากกว่าการใช้พลังกาย จะยังมีแรงมายืนปักหลักร่างตนเองให้มั่นคงได้อย่างไร
ทว่า ร่างของนางไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นอย่างที่จินตนาการเอาไว้
หนิงเซ่าชิงเอียงกายเล็กน้อย ยกมือขึ้นมาประคองนางเอาไว้ได้ ราวกับว่ามีตาอยู่ด้านหลังอย่างไรอย่างนั้น
มั่วเชียนเสวี่ยเหลือบตาขึ้นสบนัยน์ตาเป็นประกายลึกล้ำคู่นั้นของหนิงเซ่าชิง มุมปากเขาหยักโค้งขึ้นน้อยๆ เผยรอยยิ้มที่ปิดไม่มิดออกมา
เขายังจะยิ้มออกอีก!
มั่วเชียนเสวี่ยยังคงรู้สึกอึดอัดใจ จึงอาศัยแรงนั้นในการยืดตัวตรง และผลักเขาออก
นิสัยของมั่วเชียนเสวี่ยนั้น มากน้อยอย่างไรหนิงเซ่าชิงก็พอเข้าใจอยู่บ้าง คาดเดาว่าสตรีผู้นี้น่าจะกำลังโมโหเรื่องที่ทูลขอสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้โดยไม่ได้ปรึกษานางก่อน
ดังนั้น หนิงเซ่าชิงที่ถูกผลักออกจึงไม่เก็บเอามาใส่ใจ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ ขณะเขยิบเข้าไปข้างหูมั่วเชียนเสวี่ย และเอ่ยเสียงเบา คล้ายกับขอร้อง คล้ายกับสงสารว่า “มีสิ่งใดจะกล่าว ขึ้นรถม้าก่อนค่อยว่ากัน ตอนนี้อย่าเพิ่งโวยวาย…”
หางตาเหลือบมองไปรอบๆ ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาแง่งอนจริงๆ
รถม้าของหนิงเซ่าชิงจอดอยู่นอกวัง คนบังคับรถม้าคือกุ่ยซา ส่วนผู้คุมกันแปดคนกลับเป็นคนไม่คุ้นหน้า
เมื่อเห็นสตรีที่ตามเจ้านายออกมาตรงขึ้นไปบนรถม้าของเจ้านาย ไม่เพียงแต่ไม่มีใครเผยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด แต่ละคนล้วนมีสีหน้าเคารพให้เกียรติ
ในใจทุกคนเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งว่า สตรีในชุดสีขาวเรียบง่ายผู้นี้คือผู้ที่ได้รับความสนใจทั้งหมดจากจดหมายฉบับนั้น เกรงว่าในภายภาคหน้าจะเป็นนายหญิงของพวกเขา
ทั้งสองคนขึ้นไปบนรถม้า หลังจากหนิงเซ่าชิงสั่งให้ไปที่จวนกั๋วกงก่อนแล้ว กุ่ยซาก็ค่อยๆ บังคับรถม้าให้ออกเดินทาง
หนิงเซ่าชิงขังมั่วเชียนเสวี่ยไว้ในอ้อมแขนตนเอง จ้องมองมั่วเชียนเสวี่ย ยามนี้ความคิดถึงค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตาที่ลึกซึ้งกระจ่างใส
มั่วเชียนเสวี่ยถอนหายใจอย่างอดไม่อยู่ ยื่นมือไปลูบใบหน้าเขา ลองลูบหางตาที่เจือความกังวลอย่างเลือนราง…ชีวิตนั้นแสนสั้น ใช้ไปกับความโกรธนั้นเป็นความผิดอย่างหนึ่งจริงๆ
หนิงเซ่าชิงจับมือนางขึ้นมาแนบกับริมฝีปากแผ่วเบา เสียงแหบพร่านั้นเอ่ยเบาๆ ว่า “เด็กโง่” แล้วโน้มตัวลงไปจุมพิตริมฝีปากนาง
องค์หญิงอวี้เหอออกมาจากท้องพระโรงแล้วก็หลบอยู่ในที่ลับตามาโดยตลอด คอยสังเกตความเคลื่อนไหวระหว่างหนิงเซ่าชิงและมั่วเชียนเสวี่ย ยามที่เห็นทั้งสองคนสื่อสารกันผ่านสายตา เล็บมือนางทั้งสองข้างก็จิกลงที่กลางฝ่ามือทั้งหมด
ความเจ็บปวดที่ส่งผ่านมาจากกลางฝ่ามือนั้นเทียบไม่ได้กับความริษยาและความโมโหในใจของนาง สงครามในครั้งนี้ มองผิวเผินแล้ว นางไม่ได้เสียสิ่งใด
แต่ว่าพ่ายแพ้ก็คือพ่ายแพ้!
สวนป่าท้อในครานี้ เสด็จแม่ทุ่มเทมาก ไปเชิญบัณฑิตจย่ามาร่วมงาน โดยไม่เสียดายศักดิ์ศรีและหน้าตา ก็เพื่อที่จะทำให้นางมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถ ให้ชื่อเสียงที่ดีงามของตนเองเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
ทว่าสุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่ได้มีชื่อเสียงและความสามารถ แต่ยังเกือบจะเสียชื่อเสียงอันดีงามนั้นไป ยิ่งกว่านั้นยังเกือบจะกลายเป็นตัวตลกของเทียนฉี
ผลประโยชน์ทั้งหมดล้วนตกเป็นของคนที่ควรจะถูกนางเล่นงานผู้นั้น และกลายเป็นตัวนางที่ถูกแผนการที่วางเอาไว้เล่นเอง…
ในฐานะที่นางเป็นองค์หญิงใหญ่ที่สูงศักดิ์ที่สุด ซึ่งประสูติจากฮองเฮาในรัชสมัยนี้ จึงสมควรได้รับการทำความเคารพจากสตรีชั้นสูง แต่เมื่อครู่นางกลับต้องกล่าวขอโทษด้วยท่าทีเคารพนบนอบต่อสตรีชั้นต่ำผู้หนึ่ง
ยังดีที่นางมาท้องพระโรงได้ทันเวลา ถ้าหากว่าพลาดช่วงเวลายอมรับผิดนี้ไป นางจะต้องอับอายขายขี้หน้าแล้วจริงๆ
แม้ว่าขุนนางทุกคนจะเอ่ยชื่นชมนาง แต่ก็ไม่แน่ว่าล้วนกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่ในใจ
สิ่งที่นางถูกใจ ในวังแห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดสามารถแย่งนางไปได้ คนที่นางถูกใจก็เช่นกัน!
มั่วเชียนเสวี่ย ตอนนี้เพียงแค่หมั้น ไม่ใช่แต่งงาน คอยดูเถอะ…
ขณะที่ยิ้มเย็นอย่างชั่วร้าย นางไม่เพียงแต่ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่บรรทมของตนเอง แต่ตรงไปยังตำหนักคุนหนิงของฮองเฮาแทน
บนรถม้า หนิงเซ่าชิงจับมือมั่วเชียนเสวี่ยเอาไว้ โน้มตัวลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากของนาง
จะรู้ได้เช่นไรว่า ริมฝีปากเพียงแค่แตะลงบนกลีบปากแดงนั้นเบาๆ ก็ถูกมือของมั่วเชียนเสวี่ยคั่นเอาไว้เสียแล้ว
“วันนี้ท่านเพิ่งจะได้ขึ้นสู่ตำแหน่งใหญ่ ก็ทูลของสมรสพระราชทานกับฮ่องเต้ในท้องพระโรง ไม่กลัวว่าจะชักนำเภทภัยมาสู่ตระกูลหนิงหรือ”
หนิงเซ่าชิงจุมพิตลงบนมือที่นางนำมาขวางเอาไว้ พลางยิ้มน้อยๆ “ข้าเพียงแค่ต้องการให้เจ้าอยู่เย็นเป็นสุข”
กล่าวถึงคำว่า ‘อยู่เย็นเป็นสุขแล้ว’ น้ำเสียงของหนิงเซ่าชิงก็สูงขึ้นเป็นพิเศษ ลมร้อนลอยไปทางฝั่งมั่วเชียนเสวี่ยแผ่วเบา
แม้ว่าในใจมั่วเชียนเสวี่ยจะหายโกรธนานแล้ว แต่มากน้อยอย่างไรก็ต้องเล่นตัวกันบ้าง นัยน์ตาหงส์มองหนิงเซ่าชิง เอ่ยตำหนิด้วยความโมโหเล็กน้อย “เรื่องที่ขอให้ฮ่องเต้มีพระราชโองการ ทำไมท่านถึงไม่ปรึกษากับข้าก่อน วันนี้ท่านบังคับให้ฮ่องเต้รับปากเช่นนี้ เกรงว่าวันหน้าฮ่องเต้จะหาเรื่องตระกูลหนิงเอาได้…” แววตาของฮ่องเต้มีจิตสังหารปรากฏขึ้นหลายต่อหลายครั้ง นางเห็นได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าน้ำเสียงตำหนิของมั่วเชียนเสวี่ยจะเจือไปด้วยความโมโหเล็กน้อย แต่หนิงเซ่าชิงก็ยังฟังออกว่าในนั้นเต็มไปด้วยความกังวลและความห่วงใย
เขานั่งตัวตรง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย นัยน์ตาเจือไปด้วยรอยยิ้ม แต่กลับมีประกายเย็นเยียบเล็กน้อย “ฮ่องเต้คิดจะจัดการกับตระกูลหนิงไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว ไม่ว่าข้าจะนอบน้อมถ่อมตน หรือเย่อหยิ่งอวดดี เขาล้วนต้องการที่จะจัดการตระกูลหนิง เช่นนั้น ข้ายังจะมีสิ่งใดที่ต้องกังวลอีก สนใจอีกเพียงทำตามเป้าหมายของตนเองก็พอ อีกอย่าง เจ้าไม่รู้สึกหรือว่านี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมครั้งหนึ่ง?”
นี่เป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมจริงๆ พลาดโอกาสนี้ไป ครั้งหน้าก็ยากที่จะหาข้ออ้างเช่นนี้มาปิดปากฮ่องเต้ ผู้ปกครองกับผู้อาวุโสตระกูลหนิง และหัวหน้าตระกูลหนิงรุ่นก่อน
ยกข้ออ้างเช่นนี้มาเป็นเหตุผลในการขอแต่งงาน เกรงว่าในใต้หล้าจะมีเพียงแค่คนเดียว
ไม่รู้ว่าฮองเฮา ตระกูลเซี่ย กับองค์หญิงอวี้เหอในตอนนี้จะโมโหจนมีสภาพแบบไหนแล้ว นึกถึงคนนิสัยเลวทรามสองคนนั้นแล้ว ตอนนี้ก็คงจะทำลายแจกันและของโบราณในตำหนักอยู่ มั่วเชียนเสวี่ยจึงอารมณ์ดีอย่างไม่มีเหตุผล มุมปากปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ ขึ้นมา
“น่าเสียดายที่คนที่อยู่เบื้องหลังการสร้างเรื่องโกหกคิดวางแผนอยู่นานสองคนกลายเป็นการเย็บชุดแต่งงาน[1]ให้กับหัวหน้าตระกูลหนิงคนใหม่เสียได้…” มั่วเชียนเสวี่ยหลุบตาลงเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาประโยคหนึ่ง คล้ายกับเอ่ยทอดถอนใจอย่างไรอย่างนั้น
[1] เย็บชุดแต่งงาน หมายถึง ตัวเองลำบากทำแทนคนอื่นเสียเปล่า