เรื่องสนุกแห่งเมืองหลวงยังไม่จบเพียงเท่านี้
เช้าตรู่มาเหล่าฮูหยินแห่งจวนมหาองครักษ์ก็สั่งให้หลานสะใภ้และอี๋เหนียงทั้งหลายของจวนมหาองครักษ์ไปจุดธูปไหว้พระที่วัดฮู่กั๋วด้วยกัน
ทว่าไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องเดียว หลังจากอันฮูหยินแห่งจวนอัครเสนาบดีกินมื้อเย็นเสร็จก็ไปเดินเล่นที่สวนในจวนตนเอง แต่กลับไม่ทันระวังตกลงไปในสระบัวจนเปียกชุ่มไปทั้งตัว ตอนที่ถูกช่วยขึ้นมานั้นก็ลมหายใจรวยรินแล้ว ได้ยินมาว่าวันนี้ตอนเช้าก็เป็นหวัด นอนอยู่บนเตียงจะขยับตัวก็ขยับไม่ไหว
แต่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าตกตะลึงมากที่สุด
ได้ยินมาว่า ใต้เท้าจางผู้เป็นผู้บัญชาทหารองครักษ์สวนป่าท้อได้ไปเที่ยวหอโคมเขียวที่สวนชุ่ยเซียงเมื่อคืน ดื่มไปหลายจอกแล้วก็แข่งขันชิงสาวงามกับคนอื่น ขณะเมามายก็ไม่ทันระวังตกลงมาจากชั้นบน คาดไม่ถึงว่าจะตกมาตาย
ชาวบ้านต่างเอ่ยถึงเรื่องนี้ไม่หยุดไม่หย่อน
กุ่ยซาพยายามที่จะปฏิบัติหน้าที่เต็มความสามารถ เช้าตรู่ตื่นขึ้นมา ก็ส่งต่อคำพูดเหล่านี้ไปถึงหูของมั่วเชียนเสวี่ย
มั่วเชียนเสวี่ยที่รู้ข่าวนี้แล้วย่อมรู้ว่าบัณฑิตแซ่หนิงผู้นั้นกับจ้าวเอ้อร์ไม่ได้ทุบตีกันจนตายอย่างแน่นอน อาซ้อจ้าวเอ้อร์ สตรีดุร้ายที่ไร้ยางอายก็ไม่มีทางที่จะฆ่าตัวตายเพราะหวาดกลัวที่จะต้องโทษเด็ดขาด
โดยทั่วไปแล้วคนที่ไร้ยางอายล้วนมีข้อบกพร่องเหมือนกันข้อหนึ่ง นั่นก็คือกลัวตาย ขอเพียงแค่ไว้ชีวิตพวกเขา ให้พวกเขาทำอะไรก็ได้
ดังนั้นคนแบบนี้จะต้องไม่ตัดสินใจจบชีวิตตนเองแน่นอน และยิ่งไม่มีทางที่จะต่อยกันเองสองสามหมัดแล้วตายได้
ยังมี หัวหน้าองครักษ์ในวังหลวงของสวนป่าท้อ ดื่มจนเมาแล้วก็ไม่มีทางที่จะพลาดหกล้มตกจากชั้นบนลงมาตายเด็ดขาด
เรื่องนี้จะต้องเป็นฮ่องเต้ที่ยุยงให้ตระกูลเซี่ยใช้กลอุบายแน่นอน เรื่องดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เขาจะต้องตามเช็ดล้างเรื่องราวให้ฮองเฮาให้เรียบร้อย เขากลัวว่าหากปล่อยสองคนนี้กับผู้บัญชาการจางคนนั้นเอาไว้แล้ว จะเป็นการเปิดเผยเรื่องในสวนป่าท้อออกมา
ถ้าหากว่าถูกเปิดโปง เขาจะอธิบายกับเชื้อพระวงศ์ ขุนนางผู้มีอำนาจในระยะนี้ และตระกูลอื่นๆ ว่าอย่างไรเล่า
ส่วนที่ว่าฮูหยินมหาองครักษ์อยู่ดีๆ ทำไมถึงได้ฟั่นเฟือน ฮูหยินอัครเสนาบดีเดินเล่นแล้วตกลงไปในสระบัวของตนเองอย่างไม่มีสาเหตุในยามค่ำคืนนั้น มั่วเชียนเสวี่ยทำได้เพียงยิ้มบางๆ
เรื่องพวกนี้ย่อมเป็นมั่วเชียนเสวี่ยลงมือทำด้วยตนเอง
เมื่อวาน นางให้กุ่ยซาพานางไปเดินเล่นที่จวนมหาองครักษ์และจวนอัครเสนาบดีก็เพื่อไปพบฮูหยินทั้งสองท่านนี้โดยเฉพาะ เพื่อไปเก็บดอกเบี้ยบางส่วนก่อน
มหาองครักษ์และอัครมหาเสนาบดีล้วนเป็นขุนนางบุ๋น องครักษ์ในจวนจะเข้มงวดแค่ไหนเชียว อีกอย่างพวกเขาก็ไม่ได้ฆ่าคน เพียงแค่คิดจะไปทำให้คนชั่วสองคนนั้นตกใจเท่านั้นเอง
วิชาตัวเบาของกุ่ยซ่านั้นมหัศจรรย์มาก ไปมาไร้ร่องรอย ดังนั้น…คิกๆ
ถึงอย่างไรทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว กุ่ยซาก็มีสีหน้าอมทุกข์จนปัญญา ส่วนนาง เมื่อกลับมาก็นอนหลับสบายยิ่งกว่าใคร
เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จ ความจริงแล้วควรจะกล่าวว่าอาหารตอนบ่าย พ่อบ้านมั่วก็มา
“คุณหนูใหญ่ ด้านนอกมีคนสองคนขอเข้าพบขอรับ”
มั่วเชียนเสวี่ยขมวดคิ้ว เมื่อวานตอนกลับมาที่จวน นางได้สั่งเอาไว้ว่าปิดประตูจวน ไม่ต้อนรับแขก คราวนี้เป็นผู้ใดที่มาขอเข้าพบ ถึงทำให้พ่อบ้านที่ระมัดระวังเช่นนี้ ถึงกับขัดคำสั่งนาง และมาถ่ายทอดวาจาด้วยตนเองกัน
มั่วเหนียงเห็นคุณหนูของตนเองขมวดคิ้วแล้ว ก็ตำหนิพ่อบ้านชราว่า “คุณหนูใหญ่เคยพูดไปแล้วไม่ใช่หรือว่า จะพักผ่อนให้เต็มที่สักหลายวัน จึงปิดประตูจวนไม่พบแขก ทำไมถึงได้มาแจ้งอีกเล่า”
พ่อบ้านมั่วไม่ตอบคำถาม เพียงแค่กลอกตามองไปรอบๆ มั่วเชียนเสวี่ยตื่นตระหนก เดิมมั่วเหนียงก็เป็นคนฉลาด
สืออู่ถูกคุณหนูส่งไปรับคนจากหมู่บ้านหวังจยาที่เมืองอวิ๋นฉี่ตั้งแต่เช้าแล้ว
ชูอีก็พาจื่อจู้กับจื่อเหอไปเอาสำรับอาหารที่จะกินในตอนกลางวันจากห้องครัว คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายก็คือมั่วเหนียงและจื่อเฉี่ยวกับจื่อหลิง
ตอนนี้มั่วเหนียงเอ่ยว่า ชูอีไปเอาเครื่องปรุงตั้งนานแล้ว ทำไมยังไม่กลับมาอีก ดังนั้นจึงให้จื่อเฉี่ยวและจื่อโหรวไปเร่ง เพื่อให้ทั้งสองคนแยกตัวออกไป
พ่อบ้านมั่วเห็นว่าในห้องมีมั่วเชียนเสวี่ยแค่คนเดียว แต่ขณะที่เอ่ยก็ยังกดเสียงลงต่ำ “คุณหนูใหญ่ ผู้มาเยือนมีสองคน หนึ่งบุรุษหนึ่งสตรี บ่าวไม่รู้จัก แต่ทั้งสองคนนี้มีคำสั่งทางทหารของกองทัพตระกูลมั่วติดตัวมาขอรับ…
พ่อบ้านตระกูลมั่วติดตามมั่วกั๋วกงมานานหลายปี ย่อมไม่รู้สึกประหลาดกับคำสั่งทางทหารเหล่านี้
มั่วเชียนเสวี่ยคิ้วขมวดเป็นปม กำชับว่า “พาคนไปที่ห้องหนังสือ ข้าจะไปถึงในอีกครู่หนึ่ง” คนจากกองทัพ นางจะต้องไปพบแน่นอน
“ขอรับ”
พ่อบ้านรับคำสั่งแล้วถอยออกไป มั่วเหนียงเอ่ยว่า “คุณหนู ในนี้จะมีกลอุบายหรือไม่เจ้าคะ”
มีบางเรื่องที่มั่วเหนียงไม่รู้ นางสงสัยก็เป็นเรื่องปกติ มั่วเชียนเสวี่ยส่ายหน้า ให้หมัวมัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง
คนมาแล้ว นางจะต้องไปพบให้ได้ จะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก นางแยกแยะได้
ดูท่า นางจะไม่ถูกกับเมืองหลวงจริงๆ ไม่มีสักวันที่จะให้นางได้อยู่อย่างสบายใจและเป็นสุข
เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จ ยังคงแต่งกายตามรูปแบบเรียบง่ายของนาง
ความจริงแล้ว ไม่ว่านางจะชอบหรือไม่ แบบเสื้อผ้าที่นางสามารถสวมได้ในตอนนี้ก็มีเพียงแค่แบบเรียบง่ายเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นจะก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์แน่นอน
ครู่หนึ่ง ชูอีก็นำสาวใช้สี่คนยกอาหารที่จะกินในตอนกลางวันและตอนเย็นจากครัวหลักเดินเข้ามา
มั่วเชียนเสวี่ยสั่งให้นางเฝ้าเรือนเอาไว้ และพาจื่อจู้ จื่่อเหอ และหมัวมัวไป หญิงชราที่เฝ้าประตูทั้งสองคนจะตามไปด้วย แต่ถูกมั่วเหนียงห้ามเอาไว้
กุ่ยซาเห็นมั่วเชียนเสวี่ยออกมา ก็ตามไปเงียบๆ โดยไม่ถามอะไร
เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือ พ่อบ้านมั่วก็กำลังชงชาให้สองคนนี้ด้วยตนเอง
มั่วเชียนเสวี่ยก้าวเข้าไปด้านใน มั่วเหนียงก้าวเข้ามาประคอง กุ่ยซาเห็นคนในห้องแล้ว ก็ยืนตัวตรงกอดกระบี่อยู่หน้าประตู
มั่วเชียนเสวี่ยเดินเข้าไปด้านในภายใต้การประคองของมั่วเหนียงไป พลางสังเกตมองสองคนที่อยู่ด้านในไป
บุรุษผู้นั้นสวมชุดจิ้นฝู[1]สีม่วงเข้ม เครื่องหน้าทั้งห้าคมคายราวกับดาบ นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยพลังโจมตี
สตรีผู้นั้นสวมชุดกระโปรงสีฟ้าเข้ม ดวงตาโตมาก คิ้วเข้ม เต็มไปด้วยความกล้าหาญ
ทั้งสองคนเห็นมั่วเหนียงประคองมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามา ก็ยืนขึ้นพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกันกับที่มั่วเชียนเสวี่ยสังเกตพิจารณาพวกเขา พวกเขาก็สังเกตพิจารณามั่วเชียนเสวี่ยเช่นกัน
ผู้มาเยือนทั้งสองเห็นว่าสตรีรูปร่างสะโอดสะองผู้นั้นเดินเข้ามา ผิวพรรณนางขาวราวกับหยก เรือนร่างสูงโปร่ง คิ้วเหมือนภาพวาดน้ำหมึก นัยน์ตาราวกับดวงดาว เมื่อแยกกันดู เครื่องหน้าทั้งห้าไม่ได้งดงาม แต่แรงกดดันอันน่าตกตะลึงที่แผ่ออกมาจากภายในนั้น ทำให้นางดูสูงศักดิ์อย่างหาที่เปรียบมิได้
รอจนมั่วเชียนเสวี่ยเดินไปถึงตำแหน่งประธานในห้องหนังสือแล้วหันกลับมา ทั้งสองคนก็ทำความเคารพเหมือนในกองทัพ โดยการคุกเข่าลงข้างหนึ่ง และกำหมัด พร้อมกับเอ่ยพร้อมกันว่า “ข้าน้อยชังมู่/อวี่เสวียน คารวะคุณหนูใหญ่”
ในขณะที่ทั้งสองคนชื่นชมท่วงท่าอันสง่างามเหนือผู้คนของมั่วเชียนเสวี่ยในใจเงียบๆ มั่วเชียนเสวี่ยก็ชื่นชมความแข็งแกร่งของพวกเขาสองคนในใจเงียบๆ เช่นกัน แค่เห็นก็รู้สึกว่ามีความกล้าหาญจากการใช้ชีวิตอยู่ในกองทัพเป็นเวลายาวนาน
“ลุกขึ้นเถอะ” มั่วเชียนเสวี่ยยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้ทั้งสองคนลุกขึ้น “ท่านทั้งสอง เชิญนั่งก่อน ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาจากที่ใด และมาเพราะเหตุใด”
ทั้งสองคนก็ไม่กระมิดกระเมี้ยน ลุกขึ้นแล้วนั่งลง บุรุษที่เรียกตนเองว่าชังมู่กล่าวเสียงดังว่า “ข้าน้อยชังผิงแห่งตระกูลชุนอวี๋จากเผ่าเฮยมู่ขอรับ”
คนที่เรียกตนเองว่าอวี่เสวียนก็เอ่ยเสียงดังชัดเจนว่า “ข้าน้อยอวี่เสวียนแห่งตระกูลเล่อเจิ้งจากเผ่ารั่วสุ่ยเจ้าค่ะ”
เฮยมู่ รั่วสุ่ย?
เดิมนางยังคิดจะส่งคนไปตามหาคนจากทั้งสองเผ่านี้ ดูว่าจะเหมือนเช่นที่ซูชีพูดทั้งหมดหรือไม่ นางสามารถใช้อำนาจทางการทหารได้ ถ้าหากว่าเป็นดั่งเช่นที่ซูชีพูดจริงๆ เบื้องหลังนางมีทั้งสองกลุ่มนี้บวกกับมีกองทัพโจรอีกสองแสนกว่าคนที่ให้การสนับสนุนอย่างเปิดเผย ฮ่องเต้ยังคิดจะกล้าแตะต้องนางอีกหรือไม่
มองคนให้มองที่ตา นัยน์ตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ทั้งสองคนแววตาแน่วแน่ ขณะพูดจาเต็มไปด้วยความมั่นใจ มั่วเชียนเสวี่ยมองแค่แวบเดียวก็เชื่อพวกเขาแล้ว แต่นางยังคงเอ่ยราวกับสงสัยว่า “ทำไมข้าต้องเชื่อพวกเจ้าด้วยเล่า”
[1] ชุดจิ้นฝู หรือที่เรียกว่า ชุดจิ้นจวง เป็นชุดจีนโบราณที่ใส่แล้วเน้นความคล่องตัว เมื่อสวมแล้วชุดจะไม่ลากพื้น ชายแขนเสื้อจะถูกมัดรวบไว้กับข้อมือ