มั่วเชียนเสวี่ยไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนอ่อนโยนอย่างหนิงเซ่าชิง จะบ้าคลั่งเช่นนี้ คิดไม่ถึงว่าเนื้อแท้ของเขาจะแผ่ซ่านด้วยความคลั่งไคล้ นางตอบอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง “มั่วเชียนเสวี่ย ก็รักหนิงเซ่าชิงเพียงผู้เดียว…”
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า แม้จะเหนื่อยยากเพียงใด ทุกอย่างล้วนคุ้มค่า
ซูชีขี่ม้าอยู่ข้างรถม้าของท่านหญิงซูซู
เดิมทีอยากจะรีบส่งท่านหญิงซูซูกลับจวน ทว่า สารถีของท่านหญิงซูซูขี่ม้าช้าเหลือเกิน
เขากลับมาแล้ว! กลับมานานเช่นนี้แล้ว แต่กลับไม่เคยมาหานาง เกรงว่าเขาคงลืมเรื่องตอนเด็กๆ ไปหมดแล้ว ท่านหญิงซูซูอยู่ในรถม้า สัมผัสถึงความนิ่งสงบของร่างกำยำสูงโปร่ง ที่อยู่ด้านนอกรถม้า ความคิดของนางลอยล่องไปเมื่อเจ็ดปีก่อน
เมื่อเจ็ดปีก่อน คือวันที่ซูชีก่อความวุ่นวายแล้วออกไปจากเมืองหลวง
ปีนั้น นางเพิ่งอายุครบสิบขวบ ซูชีก็อายุสิบขวบเช่นเดียวกัน
วันนั้น ในจวนจิ่งชินอ๋องเต็มไปด้วยผู้คน เลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดอายุครบสิบปีของนาง
ภายในห้องน่าเบื่อและอุดอู้ยิ่งนัก คนมากมายยืนล้อมและพูดคุยกับพระชายาจิ่งชินอ๋อง จางหมัวมัวและบรรดาสาวใช้ที่คอยดูแลต่างยุ่งอยู่กับการรับของขวัญ ต้อนรับแขกเรื่อ ต้อนรับไปต้อนรับมา ชั่วขณะหนึ่งนางมัวแต่ห่วงเล่น ฉวยโอกาสนี้วิ่งออกไปจากเรือนใน
วันนั้นเป็นวันที่หิมะตกหนัก บรรดาผู้ใหญ่ต่างผิงไฟอยู่ในห้อง นอกเรือนมีคนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น อีกทั้งบวกกับนางพยายามซ่อนตัว ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดเห็นนาง
นางเล่นหิมะไปตลอดทาง เล่นจนเข้าใกล้สระบัว เมื่อได้ยินเสียงเด็กผู้ชายทะเลาะกัน นางมองหาเสียงด้วยความสงสัยใคร่รู้ อยากจะไปดูเรื่องสนุก
เมื่อเข้าไปใกล้ นางซ่อนตัวอยู่ด้านหลังต้นไม้ริมสระบัว แอบมองดูพวกเขา
นางเห็นซื่อจื่อแห่งจวนฉีกั๋วกง พาสมุนห้าหกคนล้อมเด็กผู้ชายชุดสีม่วงเอาไว้
แม้เด็กผู้ชายคนนั้นถูกคนอื่นๆ ล้อมเอาไว้ ทว่า หางตาของเขากลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย ยกมุมปากขึ้น เคล้าไปด้วยความเย้ยหยัน
ซื่อจื่อแห่งตระกูลฉีกั๋วกง นางเคยพบเจอ เป็นคนอ่อนหัดและไร้ความสามารถ แต่นางไม่เคยเห็นเด็กชายจอมทระนงชุดสีม่วงคนนั้นมาก่อน
ทว่านางไม่คิดว่าเด็กชายชุดสีม่วงจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ในทางตรงกันข้ามนางคิดว่าซื่อจื่อแห่งตระกูลฉีกั๋วกงต่างหากที่ต้องพ่ายแพ้อย่างอนาถมาก…
ความเย้ยหยันในแววตาของเด็กชายชุดสีม่วงทำให้ฉีซื่อจื่อเคืองขุ่น เขายื่นมือออกไปแล้วพูดกับสมุนของตนเอง “เจ้านี่แหละ เขาคือซูชี เมื่อปีกลายทำร้ายข้า จัดการเขาซะ…”
เวลานี้ นางเพิ่งรู้ว่าเด็กชายชุดสีม่วง คืออันธพาลน้อยผู้เลื่องชื่อของเมืองหลวง
นางเคยได้ยินวีรกรรมของเขามาก่อน นางอยากจะพบเจอตัวจริงของเขามาโดยตลอด ขณะมองดูการต่อสู้ นางก็ครุ่นคิดในใจ อันธพาลน้อยคนนี้ไม่ได้โดดเด่นเหนือคนทั่วไป ทั้งยังไม่ดูเหี้ยมโหด เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับต้นหยกเผชิญลม สง่าผ่าเผยกว่าฉีซื่อจื่อคนนั้นมาก เหตุใดจึง ‘ทำตัวเหลวไหล’ เช่นนี้
เมื่อสมุนห้าหกคนที่ตัวสูงกว่าซูชีได้รับคำสั่งจากฉีซื่อจื่อ พวกเขาพุ่งตัวไปหาซูชีพร้อมกัน ซูชีไม่ได้เปลืองแรงเท่าใดนัก ระหว่างที่เขายกมือและเท้าขึ้น ใช้เวลาไม่นานก็จัดการเด็กผู้ชายห้าหกคนเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเหยียบฉีซื่อจื่อไว้ใต้ฝ่าเท้า
ซูชีน้อยหัวเราะและมองคนที่อยู่เบื้องล่าง มือทั้งสองข้างวางไว้บนหัวเข่า เพิ่มน้ำหนักลงเท้า พูดเยาะเย้ย “วันนี้ข้ายังคงตีเจ้าจนบิดามารดาของเจ้าจำเจ้าไม่ได้เช่นเคย”
เสียงนั้นดังก้อง คล้ายการทำร้ายฉีซื่อจื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่ น้ำเสียงเหิมเกริมนั้น บวกกับเสียงหัวเราะดังก้องที่ไม่ยี่หระกับเรื่องใดๆ ความทระนงนี้ สลักลึกอยู่ในความทรงจำของนาง กระทั่งเวลานี้นางยังจำน้ำเสียงตอนพูดของเขาในตอนนั้นได้เป็นอย่างดี
ฉีซื่อจื่อหวาดกลัวยิ่งนัก ตัวของเขาสั่นเทา “เจ้า…เจ้ากล้า…”
“เจ้าคิดว่าข้ากล้าหรือไม่” พูดยังไม่ทันจบ ปล่อยหมัดรัวไปตรงหน้าของฉีซื่อจื่อราวกับฝนตก
เด็กผู้ชายห้าหกคนเมื่อเห็นฉีซื่อจื่อถูกทำร้าย พวกเขามองหน้ากัน แล้วพุ่งตัวไปหาซูชีน้อยอีกครั้ง คล้ายว่าบิดาของเด็กผู้ชายทั้งห้าหกคนล้วนเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ เคยได้ยินเสด็จพ่อบอกว่า คล้ายจะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านฉีกั๋วกง
พวกเขาพุ่งตัวไปพร้อมกัน ฉีซื่อจื่อฉวยโอกาสนี้ลุกขึ้น ทว่าคิดไม่ถึงกลับถูกซูชีเตะจนตัวปลิว พุ่งตัวมาทางต้นไม้ริมสระบัวที่นางซ่อนตัวอยู่
ฉีซื่อจื่อชนต้นไม้ นางหลบไม่ทัน เท้าลื่น ตกลงไปในสระบัว
พวกเขาต่อสู้กันจนหน้าบวมเป่ง ทั้งยังเห็นคนตกลงไปในน้ำ แน่นอนว่าฉีซื่อจื่อย่อมรู้จักท่านหญิงซูซู
เขาตกตะลึงครู่หนึ่ง ชี้ไปที่ซูชีแล้วพูด “เป็นเพราะเจ้า เจ้าทำให้ท่านหญิงตกใจลื่นตกน้ำ ทุกคนล้วนเห็นกับตา เจ้าเป็นคนผลักข้า ข้าชนเพียงต้นไม้ ดังนั้นเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
นางกระเสือกกระสนอยู่ในน้ำ ร้องขอความช่วยเหลือ เห็นชัดว่าฉีซื่อจื่ออยู่ห่างจากสระบัวเพียงก้าวเดียว ทว่า เขาไม่เพียงแต่ไม่ช่วยนาง ทิ้งถ้อยคำนี้ไว้แล้วพาลูกสมุนของเขาจากไป หนีกันไปจนหมด น้ำท่วมศีรษะของนาง หนาวเย็นสะท้านไปถึงกระดูก…
นางคิดว่าตนเองจะตายแล้ว ทันใดนั้นเอง นางเห็น เด็กชายชุดสีม่วงวิ่งมาทางตน แล้วกระโดดลงสระบัว
หลังจากนั้นความหนาวเย็นโอบล้อมรอบตัวนาง แล้วนางก็หมดสติไป ตอนที่นางฟื้นขึ้นมา เห็นใบหน้าหนึ่งขยายใหญ่ สีหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยความกังวล
ริมฝีปากของเขา คล้ายยังอยู่บนริมฝีปากของนาง คล้ายกำลังเป่าลมเข้าในปากของนาง
ท่ามกลางความวิงเวียน ใบหน้าของเขาอยู่แนบชิด ชั่วขณะหนึ่งนางตั้งตัวไม่ทัน ลืมไปเสียสนิทว่าตนเพิ่งตกน้ำ สิ่งที่นางคิดคือ นี่คือผู้มากตัณหาคนใดกัน เบื่อหน่ายกับชีวิต จึงกล้ามาล่วงเกินนาง ไม่ทันครุ่นคิดนางก็ฟาดฝ่ามือไปที่ใบหน้าของเขา
คนผู้นั้นละออกจากริมฝีปากของนาง เอามือกุมหน้าตนเอง มองนางด้วยความน้อยอกน้อยใจ นางเพิ่งรู้ตัวว่าคนที่นางตบคือซูชี และเพิ่งรู้ว่าซูชีเป็นคนช่วยชีวิตนางเอาไว้
แต่เขาช่วยนางก็พอแล้ว เหตุใดต้อง…ล่วงเกินนางด้วยเล่า
ขณะที่นางกำลังจะเอ่ยถาม ช่างไม่บังเอิญยิ่งนัก เสด็จพ่อและคนอื่นๆ เดินมาภายใต้การเดินนำของฉีซื่อจื่อพอดี เมื่อเห็นภาพทั้งหมดนี้เข้า เหตุเพราะชื่อเสียงของซูชีไม่ดี ปกติแล้วเขาก็เป็นอันธพาลน้อย อายุสามขวบเผาผมอี๋เหนียง…อายุเก้าขวบทำร้ายซื่อจื่อน้อยแห่งจวนกั๋วกง…แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นวีรกรรมที่น่าระทึกขวัญ
ร่วมกับฉีซื่อจื่อเป็นฝ่ายฟ้องก่อน ผู้ใดพูดก่อนจึงเชื่อคำพูดของผู้นั้น
ด้วยเหตุนี้ เสด็จพ่อจึงเข้าใจว่าซูชีใจกล้า อายุเพียงเล็กน้อยก็เปี่ยมไปด้วยความร้ายกาจและแรงปรารถนา ไม่เพียงผลักนางลงน้ำ ทั้งยังคิดจะล่วงเกินทำเรื่องระหว่างชายหญิงกับนาง
เสด็จพ่อฟาดฝ่ามือลงไปทันทีที่มาถึง หัวใจของนางกระดอนขึ้นมา ยื่นมือออกไปอยากจะหยุดเสด็จพ่อ แม้เสด็จพ่อจะไม่ใช่ยอดฝีมือ แต่ฝ่ามือของเสด็จพ่อย่อมไม่ธรรมดา เกรงว่าซูชีไม่ตายก็คงจะเจ็บหนัก
ทว่า เหตุเพราะจมอยู่ในน้ำเย็นเป็นเวลานาน อ่อนแรงไปทั้งตัว ทั้งยังรู้สึกหนาวสะท้าน บวกกับหัวใจบีบรัด ทันใดนั้นเองภาพตรงหน้าจึงมืดสนิท นางหมดสติแล้วล้มลง
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น นางป่วยหนัก เป็นไข้สูง นอนสามวันสามคืนกว่าจะตื่น ทั้งยังต้องรักษาตัวตลอดฤดูเหมันต์ กว่าจะดีขึ้นก็เข้าฤดูวสันต์ในปีที่สองแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น นางได้ยินว่า
ตอนนั้นเสด็จพ่อฟาดฝ่ามือลงไป ซูชีรับฝ่ามือของเสด็จพ่อเอาไว้ ไม่ตายและไม่เจ็บหนัก เพียงถอยหลังไม่กี่ก้าวเท่านั้นแต่ เขากระอักเลือด ซูชีที่มุมปากเปื้อนเลือดไม่เพียงไม่อ้อนวอนและยอมรับผิด แต่กลับยืนประจันหน้ากับเสด็จพ่ออยู่ตรงนั้นด้วยความหัวรั้น
ซูชีเป็นบุตรสายตรงของตระกูลซู ชาติกำเนิดไม่ธรรมดา หากเขาถูกเสด็จพ่อตบจนตายเช่นนี้ เกรงว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทุกคนย่อมเดือดร้อนไปด้วย เมื่อถึงเวลาตระกูลซูกล่าวโทษขึ้นมา ไม่มีผู้ใดรอดพ้นได้